วิธีทำเพจสาระให้สนุกแบบฉบับ ‘นวล’ เพจที่เชื่อว่าถ้าเป็นเรื่องสนุกใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น

สวัสดีเราคือนักเขียนที่จะมาเล่าเรื่อง ‘นวล’ (เลียนเสียงนวลหนึ่งแมตช์)

นวล คือเพจเล่าเรื่องที่มีตัวเอกเป็นคาแร็กเตอร์หมาบ้านสุดกวนที่ถอดแบบมาจาก ‘นวล’ หมาในชีวิตจริงของ กวิน ศิริพานิช คอยถ่ายทอดเรื่องราวที่บ้างก็เสียดสี บ้างก็ให้สาระ บ้างก็เน้นความสนุกขบขัน และบ้างก็แอบขายของทิ้งท้าย 

กวิน ชายผู้ให้กำเนิดคาแร็กเตอร์นวลมักบอกอยู่เสมอว่านวลไม่ได้เกิดจากความตั้งใจว่าจะเอามาทำมาหากิน ชายหนุ่มคนนี้ชอบวาดรูปมาแต่ไหนแต่ไร แต่ด้วยความที่เข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรม นอกจากการตัดโมเดล คิดไอเดีย โดนล้มไอเดีย กลับมาทำไอเดียใหม่วนไป เขาก็แทบจะไร้เวลามาจับดินสอร่างเส้น พอส่งทีสิสจบ สมองและร่างกายที่ผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงจึงร้องเรียกหางานอดิเรกเก่าเก็บที่คิดถึงมานาน

การวาดรูปและแต่งเรื่องเกี่ยวกับนวลเพื่อบำบัดจิตใจจึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น

นวล

“รูปชั่วมาก” กวินเปิดรูปประกอบให้เราดูพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาบอกว่านาทีที่สรรค์สร้างนวลขึ้นมาบนโลก แทบจะไม่ได้คิดอะไร วาดเสร็จก็โพสต์ลงในเฟซบุ๊กตัวเองแบบเรียลไทม์ แต่ด้วยความที่นวลอาจจะมีคาแร็กเตอร์เหมือนหมาในชีวิตจริงของคนทั่วไป คือเป็นหมาที่ถ่อยบ้างเอาแต่ใจบ้าง ต่างกับหมาที่ดูน่ารักตลอดเวลาในโลกอินเทอร์เน็ต อินไซต์นี้จึงกระแทกใจผู้คนที่พบเห็น ส่งผลให้กระแสความนิยมของนวลพุ่งสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น

จากที่วาดลงเฟซบุ๊กส่วนตัวให้เพื่อนเห็น กวินจึงต้องนำมาลงในเพจรวมงานอาร์ตของตัวเองให้คนอื่นๆ ได้ติดตาม และกลายเป็นต้องเปิดเพจนวลขึ้นมาโดยเฉพาะ!

จากวันนั้นจนวันนี้ นับเวลาคร่าวๆ ก็ผ่านไปกว่า 5 ปี นวลเติบโตมาหลากรูปแบบ จากการ์ตูนหน้าเดียว พัฒนาเป็นการ์ตูน 4 ช่อง อัลบั้มขนาดยาว จนทุกวันนี้นวลขยับแขนขาได้ ปรากฏตัวในรูปแบบแอนิเมชั่นที่ให้สาระ ผสานเรื่องเข้าใจยากอย่างเศรษฐศาสตร์ การเมือง การศึกษา ไปจนถึงจิตวิทยาด้วยความสนุกและความกวนที่เป็นลายเซ็น

นวลในฐานะเพจมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง และชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แบบเต็มตัวของกวินผู้สร้างนวลขึ้นมาล่ะ มีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า 

นี่คือเรื่องราวของกวินและเพจนวล (ฉบับอัพเดต!) 

นวล

ย้อนไปในช่วงแรกคุณบอกว่าวาด ‘นวล’ ขึ้นมาเพื่อบำบัดตัวเองจากความเครียดตอนทำทีสิส การที่อยู่ๆ นวลได้รับความนิยม มีคนเรียกร้องให้วาดการ์ตูนออกมาเรื่อยๆ ไม่กลายเป็นความเครียดใหม่เหรอ

ไม่เลย (หัวเราะ) อาจจะเพราะเราตั้งใจไว้แต่แรกว่าเพจนวลไม่ได้มีหน้าที่ทำตามความต้องการใคร จุดนี้มาจากนิสัยของนวลจริงๆ หมาตัวนี้มันนิสัยอย่างนี้ เป็นหมาที่เอาแต่ใจ และผมก็คิดว่ามันไม่เมคเซนส์ถ้าเราต้องมาผลิตคอนเทนต์ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า

แต่จากที่ทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร พอมีคนติดตามมากขึ้นเราก็เริ่มมองเพจนี้ในบทบาทใหม่ ที่จริงผมอยากวาดการ์ตูนอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ผมเรียนจบสื่อสิ่งพิมพ์ก็ล่มสลายไปประมาณหนึ่ง ความฝันที่อยากจะวาดการ์ตูนรวมเล่มแบบนักเขียนญี่ปุ่นก็ดูจะเป็นไปได้ยากมาก ยุคนั้น eBook ก็ยังไม่แข็งแรง เว็บอ่านการ์ตูนออนไลน์ก็ยังไม่สามารถซัพพอร์ตนักเขียนได้ ผมเลยมองว่าไหนๆ เพจนวลก็เป็นที่ที่เราสามารถวาดการ์ตูน เขียนเรื่องแล้วมีคนอ่าน งั้นก็เขียนสิ เขียนลงเพจนี้เลย ก็เลยทำไปเรื่อยๆ อย่างที่เห็น กลายเป็นการ์ตูนช่องเดียวจบบ้าง 4 ช่องจบบ้าง

วาดการ์ตูนช่องอยู่ดีๆ ทำไม ‘นวล’ ถึงพัฒนามาจับงานแอนิเมชั่นได้

ช่วงแรกที่ทำเพจมันเหมือนเราพายเรือไปโดยไม่มีแผนที่เลย สำหรับผมสิ่งที่ยากกว่าการทำเพจคือการวางแผนเพจ ผมว่าใครๆ ก็วาดการ์ตูนได้ แต่กับคำถามที่ว่าเราตั้งใจทำเพจไปเพื่ออะไร ช่วงแรกที่ทำมันไม่มีคำตอบและการหาคำตอบมันก็ยากด้วย คุณต้องผ่านประสบการณ์มาประมาณหนึ่งก่อนถึงจะเข้าใจว่าอ๋อ เพจเราเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้แล้วมันจะเกิดผลแบบนี้ 

ช่วงแรกคอนเทนต์ของนวลมันเลยจับฉ่ายมาก เห็นเขาทำคอนเทนต์แซวดาราแล้วได้ยอดดี มีคนสนใจเยอะ ผมก็ทำ ทั้งๆ ที่จริงๆ เราก็ไม่ได้แคร์ข่าวพวกนั้นด้วยซ้ำ อย่างข่าวนางงามนี่ไม่ใช่ตัวผมเลย แต่ผมก็ทำ ทำไปเรื่อยๆ จนพอทำไปสัก 400-500 คอนเทนต์เราก็จะเริ่มสังเกตได้ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่ทำแล้วเราไม่แฮปปี้เลย แบบไหนเราชอบและอยากทำ หรือแบบไหนที่เราชอบ อยากทำ และผลตอบรับดีด้วย แบบไหนเราชอบ อยากทำ แต่ผลตอบรับไม่ดี มันเป็นกระบวนการที่เราค่อยๆ ทำความเข้าใจตัวเอง ทำความเข้าใจคนดู ทำความเข้าใจลูกค้า ทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม สั่งสมประสบการณ์มา

อย่างเราพอรู้ตัวว่าไม่ได้สนุกกับการต้องทำคอนเทนต์เกาะกระแสก็พยายามวาดการ์ตูนเล่าเรื่องที่เราสนใจลงเพจมากขึ้น แต่ก็พบว่าอัลกอริทึมมันไม่ส่งเสริมเราเลย พอมีช่วงหนึ่งที่เฟซบุ๊กเริ่มผลักดันคอนเทนต์ประเภทวิดีโอ ถ้าทำวิดีโออะไรก็จะมีคนเห็นเยอะมาก ได้ยอดวิวเยอะ ผมเลยตัดสินใจว่าโอเค งั้นทำวิดีโอก็ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงเลยลองเปลี่ยนวิธีสื่อสารดู จนทุกวันนี้ก็ลงตัวที่วิดีโอแอนิเมชั่น 

จากเป็นเพจการ์ตูนเล่าเรื่องกวนๆ ของหมาที่เลี้ยง กระทั่งปัจจุบันเป็นเพจเล่าเรื่องผ่านวิดิโอแอนิเมชั่นที่สอดแทรกสาระความรู้มากขึ้น ทุกวันนี้คุณให้นิยามเพจนี้ว่ายังไง

นวลเป็นอะไรที่อยู่บนเส้นระหว่างการศึกษากับความบันเทิง นี่คือเรื่องที่ผมภูมิใจมากว่าเราได้รับความไว้วางใจจากผู้ชมว่าเขาอยากฟังเรื่องมีสาระที่เราพูด

ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักปราชญ์ ไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดล้ำเลิศ ดูนวลแล้วต้องบรรลุโสดาบัน เราแค่พยายามที่จะเติมเชื้อไฟให้กับผู้ชม ผมเชื่อในพลังของการเป็นเชื้อไฟ เพราะผมเองก็เป็นแบบทุกวันนี้ได้เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากกองไฟกองอื่นๆ สิ่งที่เราทำ เราไม่ได้ทำในลักษณะของการสอนคนดู เพราะเราไม่ได้อยากเป็นครู แต่เราอยากส่งต่อไอเดีย ส่งต่ออินสไปเรชั่นมากกว่า

นวลมันคือการเฉลิมฉลองความเนิร์ด ผมสนใจเรื่องอะไร ผมก็จะพูดเกี่ยวกับมัน สนใจเรื่องการเมืองก็ทำคอนเทนต์การเมือง สนใจจิตวิทยาก็ทำคอนเทนต์จิตวิทยา สนใจสถาปัตย์ฯ ก็ทำคอนเทนต์สถาปัตย์ฯ พอหัวข้อของงานมันเกิดจากว่าเราอยากรู้เรื่องอะไร เราสนุกกับเรื่องไหน การทำงานของเรามันเลยโคตรสนุกเลย เราค้นคว้าแล้วอยากมาเล่าต่อ ซึ่งต่อให้คนดูเขาจะไม่ได้อินกับเรื่องที่เราเล่าทุกเรื่อง แต่พอเขาสัมผัสได้ว่าเราหลงใหลมันขนาดไหน และเชื่อใจว่าเราจะไม่ทำให้เขาเสียเวลาเปล่า เขาก็อยู่กับเราจนจบวิดีโอ

เพราะเหตุนี้เนื้อหาของนวลจึงมีหัวข้อหลากหลาย ทั้งเรื่องเศรษฐศาสตร์ การเมือง ไปจนถึงเรื่องความรัก

(พยักหน้า) ถ้าเกิดจะมีคำที่มาอธิบายทั้งหมดได้ ผมว่าเนื้อหาของนวล คือสิ่งที่ชายวัยสามสิบที่กำลังมี midlife crisis สนใจ (หัวเราะ) เพราะมันมาจากตัวผม ที่เพจมีเนื้อหาหลากหลาย เพราะเราคิดว่ามันคือเพจของเราจะทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องชอบหัวข้อที่เลือกมาแม้ว่าจะเป็นงานที่มีสปอนเซอร์ก็ตาม

ต่อให้คนตามเพจส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 30 ปี และไม่ได้มี midlife crisis แบบผม ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ประโยชน์จากการฟังเราเล่าเรื่อง ผมมองว่าเรื่องสนุกก็คือเรื่องสนุก ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่ชอบฟังเรื่องสนุกหรอก มันสามารถเกี่ยวโยงกับชีวิตของทุกคนได้ สมมติผมพูดเรื่องการเลือกตั้ง ไม่ว่าคนฟังจะอายุถึงเกณฑ์ที่เลือกได้แล้วหรือยังไม่มีสิทธิเลือก ถ้าเกิดเราเล่าสนุก ยังไงมันก็เอาอยู่

ผมมองว่าในการทำคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ไม่ได้จำเป็นจะต้องยึดติดกับกลุ่มเป้าหมายตลอดเวลาขนาดนั้น ทำเรื่องที่ตัวเองสนใจบ้างก็ได้ แต่นี่ก็เป็นวิธีคิดของคนที่เอาแต่ใจนะ 

ความสนุกเลยเป็นเทคนิคสำคัญที่คุณใช้ในการดึงความสนใจคนใช่ไหม

ใช่ วิธีการที่เราใช้ หนึ่งคือเล่าให้เข้าใจง่าย สองคือทำให้สนุก

คนส่วนใหญ่เขาจะแยกคอนเทนต์เพื่อความรู้ และคอนเทนต์เพื่อความสนุกออกจากกัน คอนเทนต์ที่มีสาระมันจึงไม่เคยสนุกเพราะมันผลิตขึ้นโดยคนที่ไม่ต้องการความบันเทิง เขาตั้งโจทย์มาแค่ว่าจะทำยังไงให้เด็กสนใจบทเรียน ใส่ตัวการ์ตูน ใส่ดารา ใส่มุกตลกเข้าไปนิดหน่อย ที่เหลือคือบทเรียนล้วนๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยน มันก็ไม่แปลกที่คนจะสนใจน้อย

การทำนวลมันคือการพยายามดึงดูดความสนใจของผู้ชมด้วยความน่าสนใจของเนื้อหาจริงๆ ผมคิดว่าถ้าเราตั้งคำถามให้ถูกและตอบคำถามให้ดี มันก็ทำเนื้อหาให้เชื่อมโยงกับความสนใจของผู้ฟังได้ ทำให้มันราบรื่น ดูจบแล้วเข้าใจ ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาของคอนเทนต์ที่มีสาระส่วนใหญ่ คือมันไม่ราบรื่น ทางมันชัน คนดูต้องใช้ความพยายาม ต้องออกแรงสมองไต่บันไดทำความเข้าใจเอง

เราได้เปรียบตรงที่งานเป็นแอนิเมชั่น คลิปนวลมันสามารถทำงานที่มีสาระหนักๆ หรือเรื่องเครียดๆ ให้เข้าถึงง่ายขึ้น และพอเป็นแอนิเมชั่นปุ๊บ ข้อจำกัดของเรามีแค่ว่าเราหาข้อมูลได้ลึกหรือน่าสนใจแค่ไหน ไม่ต้องกังวลว่าจะออกไปถ่ายทำได้ไหม จะถ่ายฟุตเทจมาได้เท่าไหร่ 

ซึ่งเวลาเราสามารถย่อยข้อมูลยากๆ ให้คนเข้าใจ หรือทำออกมาเป็นคลิปได้มันฟินนะ มันยิ่งทำให้เราอยากแตะหัวข้อพวกนั้นมากขึ้นอีก

นวล

ด้วยความที่นวลเป็นคอนเทนต์แบบ research-based คุณมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่นำเสนอไปมันจะแข็งแรงมากพอแล้ว ไม่บ้ง (พลาด)

(หัวเราะ) ความบ้งมันน่ากลัวนะ 

(นิ่งคิด) แยกเป็นเรื่องรีเสิร์ชก่อนแล้วกัน ผมบอกไปแล้วว่าผมไม่ได้คิดว่านวลรู้ดีที่สุด เราทำคลิปออกมาไม่ใช่เพื่ออวดความรู้ แต่เพื่อนำเสนอว่ามันมีเรื่องอย่างนี้อยู่ เช่น เราเคยทำคอนเทนต์เรื่อง social distancing ตอนที่โควิด-19 เพิ่งระบาดมาใหม่ๆ  ตอนนั้นคนยังไม่รู้จักเรื่องนี้เท่าไหร่ ผมก็พูดไว้ในคลิปเลยว่าการ quarantine จะต้องส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจแน่นอน แต่ก็เป็นการเสียสละที่จำเป็นต้องแลก เพราะตอนนั้นที่ประเทศอิตาลียอดผู้ติดเชื้อโหดมาก แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นไง ล็อกดาวน์แล้วแต่เชื้อก็ยังไม่ลดลงเลย มันกลายเป็นว่าข้อมูลตอนนั้นถ้าเทียบกับปัจจุบันมันใช้ไม่ได้แล้ว และเราเองก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้นแล้ว 

ทีนี้เรื่องบ้ง ไม่บ้ง ผมยอมรับว่าตัวเองไม่มั่นใจในเรื่องนี้เลย และไม่คิดว่าจะมีวันที่มั่นใจด้วย เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวผม เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

นวลมีเรื่องที่เชื่อมั่นแน่ๆ คือเชื่อในประชาธิปไตย เสรีภาพ และการไม่ใช้ความรุนแรง แต่เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นผมมองว่าตราบใดที่เราไม่เคยคิดว่าเรารู้ดีที่สุด เราก็ไม่ต้องผูกมัดตัวเองกับความเชื่อหรือความเห็นก็ได้ มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเติบโตขึ้นความคิดของคนมันก็เปลี่ยนกันได้ ถ้ามันมีกล่องไอเดียที่เป็นชื่อนวลแล้วเราพบว่าความรู้หรือข้อมูลในโฟลเดอร์นั้นหมดอายุแล้ว หรือเราเจอของใหม่ที่ผ่านการพิสูจน์มากกว่า ถูกต้องกว่า เราเห็นด้วยมากกว่า เราก็สามารถเอาของเก่าออก เอาของใหม่ใส่ได้ การเปลี่ยนความคิดมันไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย นี่ไม่ใช่หรือที่เป็นนิยามของการเติบโต 

ผมว่าองค์ประกอบที่สำคัญของความบ้งคือการออกตัวแรง ถ้าเราติดเบรกไว้บ้างก่อนทำอะไร หรือเช็กให้ชัวร์ก่อนว่าข้อมูลนี้ถูกต้องแค่ไหนก็คงจะป้องกันความบ้งได้ในระดับหนึ่ง

ที่บอกว่าคอนเทนต์ของนวลเป็นการทำเพื่อนำเสนอว่ามีเรื่องอย่างนี้อยู่บนโลกด้วย แปลว่าหลักในการนำเสนอของคุณคือการให้ข้อมูลหรือมุมมองของทั้งสองฝั่งเท่าๆ กันหรือเปล่า

แบบนั้นก็เป็นวิธีคิดที่ปลอดภัยดี แต่การทำวิดีโอเล่าเรื่องมันก็ไม่เหมือนกับรายการโต้วาที บางครั้งมันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ เช่น ผมเคยทำคลิปชื่อ ความรัก VS การเมือง พูดถึงครอบครัวหรือคู่รักที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ในคลิปนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องนำเสนอที่มาที่ไปทางความคิดของคนที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เพราะจุดประสงค์ของเราคือนำเสนอคำถามว่าเราจะอยู่กันยังไงถ้าความเห็นไม่ตรงกัน หรือจริงๆ แล้วเราไม่ต้องทนอยู่? สำหรับคลิปนั้นผมมองว่าไม่จำเป็น

ทำไมครีเอเตอร์จำเป็นต้องกำหนดแนวทางของเพจ 

มันคงมีแหละคนที่ไม่ได้คิดอะไรเยอะ แค่มองว่าทำคอนเทนต์แบบนี้ขึ้นมาแล้วมีคนชอบก็โอเค สามารถทำต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้สนใจว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่ทำแค่ไหน

แต่ผมรู้สึกว่าถ้าสมมติวันหนึ่งเกิดมีคนที่ใหม่กว่า สดกว่า ปังกว่า เข้ามาในอาชีพนี้ แสงไม่ได้อยู่ที่เราอีกต่อไป และที่ผ่านมาเราไม่เคยตอบได้เลยว่าเราชอบงานที่ทำตรงไหน อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของงานของเรา มันจะเกิด crisis ขึ้นกับคุณแล้วว่าทั้งๆ ที่ทำเหมือนเดิม แต่ทำไมจากพันแชร์เหลือแค่ 15 แชร์ มันอาจจะทำให้เสียศูนย์ ไปต่อไม่เป็นเลยก็ได้ ซึ่งสิ่งพวกนี้มันเกิดขึ้นในวงการดิจิทัลคอนเทนต์แบบวันต่อวันเลยนะ มีคนที่เกิดขึ้นมาภายในวันเดียวแล้วก็หายไปเยอะมาก เพราะเขาไม่รู้จะรับมือยังไงต่อ

และเดี๋ยวนี้ก็มีคอนเทนต์ครีเอเตอร์เยอะมากที่เลือกทำคอนเทนต์เพื่อฟีดอัลกอริทึม แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่อง value มันมีแนวโน้มที่จะเยอะขึ้นด้วย เพราะแพลตฟอร์มมักจะสนับสนุนให้คนทำเพื่อแพลตฟอร์มมากกว่าทำเพื่อตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดเลยหากใครจะทำแบบนั้น แต่ผมแค่คิดว่ามันน่าเสียดาย เพราะแทนที่แต่ละคนจะได้เปล่งประกายความเป็นตัวเองออกมา มันกลายเป็นว่าทุกคนมาแข่งกันทำของเหมือนๆ กันตามสูตรสำเร็จแทน ซึ่งคนดูขาดทุนนะเนี่ย (หัวเราะ)

ผมเชื่อว่าในระยะยาวสิ่งที่สำคัญกับการทำงานเป็นครีเอเตอร์มันไม่ได้มีแค่ยอดวิว แต่มันคือเรื่องว่าวันนี้คุณแฮปปี้กับการตั้งกล้องมากแค่ไหน คุณเบื่อแล้วหรือเปล่า ผมมีเพื่อนเบอร์ใหญ่หลายคนที่เขาเครียด ต้องกระดกยาก่อนทำงาน แต่ก็ยังต้องทำคอนเทนต์แบบที่ตัวเองไม่ชอบเพราะถ้าเลือกไปทำเนื้อหาแบบที่ตัวเองอยากทำจริงๆ คนดูก็จะลดลงไปเยอะมาก กลุ่มคนดูที่ติดตามไม่ได้สนใจที่ตัวเขา แต่สนใจคอนเทนต์ที่เทรนด์บังคับให้เขาทำ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นวงจรชีวิตที่เศร้าไป ไม่อยากให้ใครต้องเจอเรื่องแบบนั้น

มันน่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนมาคอยบอกว่าอาชีพนี้ต้องเจอโจทย์อย่างนี้ด้วย มีแต่คนบอกว่าคุณต้องบูสต์โพสต์อย่างนี้นะ ต้องอัพคอนเทนต์กี่โมง ต้องใส่แฮชแท็กยังไงบ้าง ต้องทำวิดีโอกี่ตัวในหนึ่งสัปดาห์ หรือสนใจแค่ว่าจะมีวิธีการยังไงให้ได้ยอดผู้ติดตาม ยอดวิวที่ดี ถูกมองในฐานะโรงงานผลิตคอนเทนต์ แต่ไม่ค่อยมีคนที่แคร์ในด้านที่เป็นมนุษย์ของคุณ

นวล

ถ้าอย่างนั้นครีเอเตอร์ควรจะจัดการกับจิตใจตัวเองยังไง หากความเป็นตัวเองที่อยากเป็น ไม่ใช่สิ่งที่แพลตฟอร์มสนับสนุน จนอาจทำให้สารที่เขาต้องการจะสื่อส่งไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย

ผมคิดว่าสิ่งที่จะช่วยครีเอเตอร์ได้มากคือการตอบตัวเองให้ได้ว่าคุณค่าที่เราต้องการสร้างขึ้นมาจากการทำคอนเทนต์นี้คืออะไร คือการทำเพื่อตัวเอง เพื่อว่าจะได้เขียน ได้ทำอะไรตามจิตวิญญาณ หรือคือการทำเพื่อผู้ชม สนุกกับการได้แลกเปลี่ยนกับคนที่มีความสนใจแบบเดียวกัน หรือคือการทำเพื่อเลี้ยงชีพ จะได้หาเงินจากค่าโฆษณา หลังจากคุณกำหนดทิศทางได้แน่นอนแล้ว คอนเทนต์ของคุณมันจะได้มุ่งหน้าไปทางนั้นแบบไม่หวั่นไหว สมมติพรุ่งนี้แพลตฟอร์มเปลี่ยนอัลกอริทึมขึ้นมา สิ่งที่เคยทำโดนลดยอดการมองเห็น คุณจะได้ประเมิน min-max ได้ถูกว่าพร้อมจะเปลี่ยนแนวทางการผลิตคอนเทนต์ของตัวเองแค่ไหน ฉันทำเพื่อไล่ตามยอดวิวที่เปลี่ยนแปลงไป หรือจริงๆ แล้วแค่มีคนติดตามที่เข้าใจเราก็ตอบโจทย์แล้ว

คุณค่าที่ว่านี้แต่ละคนก็มีไม่เหมือนกัน ลอกโมเดลของคนอื่นมาทำก็ไม่ได้แปลว่าจะแฮปปี้ หรือทำได้ดีแบบเขา หรือที่ตลกคือทำได้ดีแบบเขาแหละแต่เราดันไม่แฮปปี้เอง (หัวเราะ) เวลาคุยกันเรื่องการทำคอนเทนต์คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงแง่มุมนี้ จะไปพูดกันแค่เรื่องเชิงเทคนิคต่างๆ ที่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปลายน้ำ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยนะ บางคนอุตส่าห์ไปเข้าคอร์สเรียนเรื่องเทคนิค กว่าจะทำเป็น แพลตฟอร์มมันก็ปรับใหม่อีกแล้ว

ผมเลยคิดว่าถ้าเราตอบตัวเองได้ว่าคุณค่าในการทำคอนเทนต์ของเราคืออะไร มันจะมีประโยชน์มากกว่า แข็งแรงกว่า ยั่งยืนกว่า ต่อให้มีแพลตฟอร์มใหม่เกิดมาอีกกี่อัน แต่ตัวคุณก็ยังเป็นคนเดิม ถ้าคนดูจะรักคอนเทนต์ของคุณ ก็น่าจะรักกันตรงที่คุณเป็นคุณมากกว่า

อย่างผมเคยพยายามทำ TikTok  แต่สุดท้ายก็ยกธงขาว เพราะตัวตนผมไม่เหมาะกับการจะทำคอนเทนต์ 58-59 วิฯ จริงๆ หรือกับทุกวันนี้เราก็ยังรู้สึกว่าเราสู้ในตลาดยูทูบไม่ได้เลย ยอดซับสไครบ์ขึ้นช้ามาก เพราะมันไม่ถูกฟีดให้คนเห็น แต่เราก็พยายามทำคอนเทนต์ที่จะทำให้คนเห็นว่าการเคารพสติปัญญาคนดูมันยั่งยืน ทำให้คนสัมผัสได้ว่า 7 นาทีที่คุณให้มาผมโคตรให้ค่ากับมันเลยนะ ผมอยากทำคอนเทนต์ที่เมื่อคนดูจบแล้วเขารู้สึกว่ามันสมศักดิ์ศรีกับการดูชื่อผู้สนับสนุนรายการ ผมรู้สึกว่านี่คือความสัมพันธ์ที่คนทำและคนดูเคารพสติปัญญาซึ่งกันและกัน นี่คือคุณค่าของผม ของนวล และคนดูนวลก็รับรู้ได้

อย่างนี้ยังเชื่ออยู่ไหมว่าใครๆ ก็เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้

ได้ ได้จริงๆ แต่ก็กลับมาที่เรื่องเดิมแหละว่าถ้าได้เป็นแล้วยังอยากเป็นต่อไหม หรือเป็นแล้วมีความสุขไหม ถ้าทำคอนเทนต์แล้วไม่มีความสุข ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าจะมีเหตุผลอะไรต้องฝืนทำ (หัวเราะ) 

เพราะถ้าคุณไม่ได้เป็นเบอร์ยักษ์ใหญ่ รายได้จากยอดวิวมันก็แค่กระจึ๋งเดียวเท่านั้นแหละ ผมกล้าพูดเลยเพราะผมไม่ได้เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์เพื่อหาเงิน แอนิเมชั่นที่ทำทุกวันนี้นี่ไม่ได้ได้เงินเยอะอะไรมากมายเลย มันเหมือนเราดิ้นรนการทำงานเพื่อหาเอาเงินมาทำแอนิเมชั่นมากกว่า

ฉะนั้นถ้าจะกระโดดเข้ามาโดยที่มีเป้าหมายว่าจะฟาร์มเงินเป็นหลักเนี่ย ผมว่าคุณเป็นทุกข์แหงๆ เผลอๆ ทำอย่างอื่นจะรวยเร็วกว่า เราควรจะตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราทำคอนเทนต์ไปเพื่ออะไร ถ้า value ตรงนี้ชัดเจนเมื่อไหร่ ทิศทางมันจะมาของมันเอง ผู้ติดตามจะเข้าใจในความเป็นคุณ ถึงจุดนั้นมันก็จะมีวิธีสร้างรายได้ตามมาอีกมากมาย จะเลือกทำแบบไหนก็แล้วแต่ใจ

ในเมื่อการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ก็ไม่ได้มีแต่ความสุข ความสนุกตลอดไป คุณมีวิธียังไงที่ทำให้นวลยืนระยะต่อไปได้

ผมทำนวลด้วยความคิดที่ว่าเราจะเติบโตไปพร้อมกับมันแต่แรก ไม่เคยบังคับตัวเองว่าจะต้องพูดถึงแต่เรื่องวัยรุ่น ต้องพูดถึงแต่เรื่องการเมือง หรือเรื่องที่เป็นกระแสเพียงอย่างเดียว คือตราบใดที่เราสามารถเติบโตไปกับมันได้ ผมคิดว่ามันน่าจะทำให้ความอยากทำไม่หมดอายุเร็วขนาดนั้น และเพราะได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาตลอด หากถึงจุดที่เราเลิกทำ เราก็น่าจะโอเคกับความคิดนั้น เพราะรู้ว่าทั้งหมดที่เราทำมามันไม่ได้สูญเปล่า 

ผมคิดว่านวลจะโตไปพร้อมผม และที่สำคัญคือคนติดตามก็เติบโตไปพร้อมกับเรา การที่คนรักนวลมันมีความหมายต่อผมมากเลยนะ การที่เขาบอกว่างานที่เราทำ สิ่งที่เราคิด เราส่งต่อ มันเกิดประโยชน์อะไรสักอย่างกับเขา มันคือเรื่องที่ดีมากเลย ผมคงไม่ได้สิ่งนี้จากการประกอบอาชีพอื่น เพราะผมทำเป็นแค่นี้

คุ้มค่าแล้วที่ตัวเองเป็นครีเอเตอร์อย่างทุกวันนี้

(ตอบทันที) แน่นอน ถ้าไม่คุ้มค่าผมคงเลิกทำไปนานแล้วเพราะค่าโปรดักชั่นแพงมาก (หัวเราะ) 

การเป็นครีเอเตอร์ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเลือกอาชีพได้มีแก่นสาร ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากกับการได้สร้างทีมเล็กๆ ที่เชื่อในคุณค่าเดียวกัน

ส่วนถ้าลึกไปถึงระดับสังคม ผมก็คิดว่านวลมันก็มาตอบความต้องการของสังคมได้ด้วย เพราะจุดหนึ่งที่ทำให้เราก้าวเข้ามาทำก็เพราะเรารู้สึกว่าทำไมกูต้องทนดูรายการภาษาต่างประเทศอย่างเดียวด้วย ทำไมถึงไม่มีคนไทยทำอะไรแบบนั้นให้ดูบ้าง การที่เราพยายามจะสอดแทรกสาระมาควบคู่กับความบันเทิงมันไม่ใช่แค่เพื่อความฟินของเราเองคนเดียว แต่เรารู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ เรารู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่นวลสามารถทำคอนเทนต์แบบนี้ให้แมสขึ้นมาได้ มันจะไปอินสไปร์คนอื่นได้อีกมหาศาล และมันจะทำให้เกิดคอนเทนต์จากคนเนิร์ดๆ คนที่เป็นตัวจริงในสาขาต่างๆ อีกมากมาย ระบบนิเวศอินเทอร์เน็ตไทยจะดี ชาวเน็ตเจเนอเรชั่นถัดไปก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ

ทุกวันนี้ยูทูบมันอยู่ในตำแหน่งพิเศษมาก มันเข้าไปอยู่ในตารางเวลาของเด็กๆ ได้ง่ายกว่าตารางเรียน เด็กอยากจะเปิดยูทูบด้วยตัวเอง สิ่งนี้มันเคยเกิดขึ้นกับผมในวัยเด็กมาแล้ว และเราเป็นเราแบบทุกวันนี้ได้ก็เพราะเชื้อไฟจากคอนเทนต์ครีเอเตอร์รุ่นก่อน การศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญ มันเชปความคิดและตัวตนของคนไปทั้งชีวิต แต่เด็กไทยน่าสงสารที่ถูกผูกติดอยู่กับการเรียนที่ทั้งไม่สนุกและไม่สัมพันธ์กับตัวเขาเลย ถ้าเกิดว่างานที่เราทำมันสามารถส่งต่อแนวคิดว่าของสนุกๆ มันก็มีสาระได้ไปถึงผู้ชมจำนวนมากได้ หลังจากนี้เขาก็ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนแล้ว อยากจะรู้อะไรเขาก็ค้นคว้าเองต่อได้เลย เพราะการรู้เรื่องใหม่ๆ มันสนุกไงล่ะ ถ้าผมทำได้นะ นี่มันคือโคตรของความสำเร็จเลย ชีวิตนี้ผมคงตายตาหลับ 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย