“คนอื่นไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตของฉัน” คุยกับ NIKI ศิลปินหญิงเอเชียที่กำลังมาแรงที่สุดในโลก

Highlights

  • NIKI คือศิลปินหญิงสัญชาติอินโดนีเซียสังกัดค่าย 88rising ที่ไปโด่งดังไกลในระดับโลกด้วยบทเพลงอย่าง lowkey, Indigo และ La La Lost You 
  • วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา NIKI เพิ่งปล่อย MOONCHILD อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชีวิต ซึ่งเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เธอย้ายไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาด้วยตัวคนเดียว รวมถึงแชร์สิ่งที่เธอได้เรียนรู้และค้นพบระหว่างการเดินทางในฐานะศิลปิน

9 กันยายนคือหนึ่งวันก่อนที่ NIKI ศิลปินหญิงหนึ่งเดียวใน 88rising ค่ายเพลงที่ตั้งใจผลักดันศิลปินเอเชียให้ดังไกลในระดับโลก จะปล่อย MOONCHILD อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชีวิตของเธอ

เช้าวันนั้นฉันกดฟัง 3 บทเพลงที่เธอปล่อยออกมาแล้วอย่าง Switchblade, Selene และ Lose วนไปวนมาเพื่อเตรียมตัวสนทนากับเธอผ่าน ZOOM เป็นเวลา 15 นาที ลำพังสามเพลงนี้ก็แตกต่างจากงานอื่นๆ ที่เธอเคยสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างมาก จนฉันอดตื่นเต้นไม่ได้ว่าอีก 7 เพลงที่เหลือจะเป็นยังไง 

ที่ผ่านมาเด็กสาววัย 21 ปีจากอินโดนีเซียคนนี้ได้รับการขนานนามว่า Asian R&B princess ด้วยบทเพลงดังอย่าง lowkey, Indigo, La La Lost You หรือกระทั่งเพลงที่เธอคอลแล็บกับศิลปินไทย Phum Viphurit อย่าง Strange Land ก็ไม่ห่างไกลจากแนวเพลงซิกเนเจอร์ของเธอมากนัก ดังนั้น MOONCHILD จึงเป็นการเติบโตในฐานะศิลปินของ NIKI ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

NIKI ย้ายจากอินโดนีเซียไปสหรัฐอเมริกาตอนอายุเพียง 18 ปี และใช้เวลาเพียงไม่นานในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองและปักหลักไมล์ใหม่ให้กับศิลปินเชื้อสายเอเชีย หากไม่มีโควิด-19 เธอ (และ Rich Brian เพื่อนร่วมค่ายสัญชาติเดียวกัน) จะเป็นศิลปินอินโดนีเซียสองคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงบนมิวสิกเฟสติวัลระดับโลกอย่าง Coachella และหากไม่มีโควิด-19 เราก็เกือบจะได้ฟังเสียงร้องของเธอสดๆ กันไปแล้วในงาน VERY FESTIVAL: SPRING-BREAK

และแล้วก็ถึงเวลานัด กดลิงก์ ZOOM เข้าไปคุยกับ NIKI พร้อมกับฉันได้เลย

คุณคิดคอนเซปต์ MOONCHILD ขึ้นมาได้ยังไง

ปกติฉันรักคอนเซปต์อัลบั้มอยู่แล้ว ฉันชอบเวลาที่ศิลปินคนอื่นๆ ปล่อยคอนเซปต์อัลบั้มออกมา ฉันจึงรู้มาตลอดว่าฉันอยากทำอัลบั้มแรกของตัวเองเป็นคอนเซปต์อัลบั้ม

ส่วนเหตุผลที่เป็น MOONCHILD คือมีช่วงหนึ่งที่ฉันมักจะอยู่โยงทั้งคืนเพื่อแต่งเพลง นั่นเป็นครั้งแรกที่คำคำนี้โผล่ขึ้นมาในหัว

ซึ่ง MOONCHILD ก็คือตัวคุณเอง ถูกไหม

ใช่ แต่จริงๆ แล้วใครก็เป็น MOONCHILD ได้ 

ดวงจันทร์เป็นตัวแทนถึงอะไร

ฉันคิดว่าในเรื่องนี้ ดวงจันทร์คือผู้นำทางของ MOONCHILD เรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับการค้นหาและค้นพบตัวเอง และในท้ายที่สุดก็ยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ดังนั้นดวงจันทร์เลยเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลให้ MOONCHILD ได้เติบโตในเส้นเรื่องนี้ 

แล้วสำหรับคุณ ดวงจันทร์เป็นตัวแทนของใครหรืออะไร

สำหรับฉันดวงจันทร์หมายถึงอะไรหลายๆ อย่าง ฉันเชื่อในพระเจ้าและพลังที่สูงส่งกว่า ดังนั้นดวงจันทร์อาจหมายถึงพระเจ้าก็ได้ ขณะเดียวกันมันก็อาจหมายถึงความรักในตัวเองหรือครอบครัวได้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วฉันอยากให้ดวงจันทร์มีความหมายปลายเปิด เพราะฉันอยากให้แฟนๆ สามารถตีความตามเรื่องราวของตัวเองว่าสำหรับพวกเขาดวงจันทร์คืออะไร 

แล้วอัลบั้ม MOONCHILD เล่าเรื่องไหนของคุณ ใช่เรื่องที่คุณย้ายไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นศิลปินเต็มตัวหรือเปล่า

ใช่เลย ส่วนใหญ่ของอัลบั้มมีที่มาจากการเดินทางนั้นของฉัน

การย้ายไปประเทศใหม่ด้วยตัวคนเดียวเป็นยังไง

ที่จริงมันน่ากลัวมากๆ เลยล่ะ ตอนย้ายมาที่นี่ฉันอายุแค่ 18 ปี และฉันมาเองคนเดียว แต่ฉันเลือกที่จะมองมันเป็นการผจญภัยครั้งใหม่มากกว่าเป็นอะไรที่น่ากลัว เพราะว่าตอนแรกฉันไม่ได้มาเพื่อเป็นศิลปิน แต่ฉันมาเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย ดังนั้นฉันจึงโฟกัสกับการเรียนมากๆ ประสบการณ์ครั้งนั้นเรียกร้องความกล้าหาญจากฉันมาก แต่ฉันก็ดีใจที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่มันเกิด

แต่อย่างที่พวกเรารู้ คุณตัดสินใจดร็อปเรียนเพื่อมาทำงานดนตรีเต็มตัว แผนที่เปลี่ยนไปไม่ทำให้คุณกลัวเหรอ

ก็จริง สำหรับฉันมันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับคุณคืออะไรนอกจากตัวคุณเอง ตอนนั้นมีหลายเสียงตีกันในหัวของฉัน บ้างก็สนับสนุน บ้างก็บอกฉันว่า “ไม่ อย่าทำอย่างนั้น คิดจะทำอะไรน่ะ” 

มันน่ากลัวก็จริง แต่ท้ายที่สุดฉันรู้อยู่เต็มอกว่าดนตรีคือสิ่งที่ฉันอยากทำ ฉันจึงเทหมดหน้าตักแล้วใส่เต็มกับทุกอย่างที่ทำ ซึ่งนั่นก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ฉันอยากสื่อสารกับแฟนๆ ถ้าคุณมีแพสชั่นกับอะไรอย่างแรงกล้า คุณต้องตามมันไปและทำให้เต็มที่ที่สุด ต่อให้คนอื่นจะตัดสินคุณ ต่อให้สิ่งที่คุณทำมันไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคม จงกล้าหาญและเลือกที่จะไม่กลัวต่อให้มันจะน่ากลัวก็ตาม

เมื่อกี้คุณพูดถึงเสียงในหัวที่สงสัยในตัวเองและพยายามเหนี่ยวรั้งคุณไว้ คุณทำให้เสียงนั้นเงียบลงได้ยังไง

ความสงสัยในตัวเองมันมีที่มาที่ไป ถูกไหม แม้ว่าบางครั้งเสียงในหัวของพวกเราจะมาจากตัวเราเอง แต่บ่อยครั้งสำหรับฉันแล้ว เสียงนั้นมาจากสังคม มาจากคนอื่น มันเป็นความคิดเห็นของคนอื่น ซึ่งฉันก็แค่ต้องย้ำกับตัวเองว่า ไม่มีทางที่ชีวิตของฉันจะเหมือนชีวิตของคนอื่น ดังนั้นจึงไม่มีใครมีสิทธิตัดสินฉัน ไม่มีใครมีสิทธิบอกฉันว่าต้องทำหรือไม่ทำอะไร เพราะเขาไม่ได้กำลังใช้ชีวิตของฉันสักหน่อย 

ฉันพยายามบอกตัวเองแบบนี้ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกกลัว ทุกครั้งที่เริ่มมีเสียงผุดขึ้นมาในหัวว่า หรือฉันควรกลับไปเรียน หรือฉันไม่ควรทำงานดนตรีเต็มตัว เพราะฉันก็รู้อยู่ในหัวใจเลยว่าฉันอยากทำงานดนตรีจริงๆ ดังนั้นฉันต้องปิดเสียงพวกนั้นเสียแล้วเชื่อว่าผลลัพธ์ที่ดีรออยู่ข้างหน้า แค่เชื่อมั่นในตัวเองให้มากๆ แล้วก็ทำให้ดีที่สุด 

ว่าแต่คุณโน้มน้าวพ่อแม่ว่าจะดร็อปเรียนได้ยังไง เพราะการมีปริญญานั้นเป็นอันดับหนึ่งบนลิสต์ของพ่อแม่เอเชียเลยนะ

(หัวเราะ) จริง แม้ฉันจะโชคดีมากๆ ที่พ่อแม่เป็นคนมีทัศนคติที่เปิดกว้าง แต่ตอนแรกพ่อของฉันไม่เข้าใจเลย เราคุยกันหลายรอบมากๆ แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจ 

ตอนนั้นฉันรู้สึกลำบากใจมากๆ เพราะพวกเราคนเอเชียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เรารักครอบครัวของเรา ครอบครัวต้องมาก่อนเสมอ มันยากที่จะจัดลำดับความฝันของตัวเองไว้ก่อนสิ่งที่คนอื่นๆ คาดหวังจากตัวเรา แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันมั่นใจมาก (เน้นเสียง) ว่าฉันไม่มีทางมีความสุขได้เลยถ้าต้องทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ดนตรี ดังนั้นฉันจึงลุยเต็มที่และพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าฉันทำได้ ซึ่งฉันก็รู้สึกขอบคุณที่ในที่สุดเขาก็เข้าใจ

ฉันอยากบอกกับแฟนๆ ที่กำลังอ่านอยู่ด้วยว่า ลองก่อน คุณไม่มีทางรู้หรอก พ่อแม่อาจจะเซอร์ไพรส์เราก็ได้ บางอย่างที่ฉันคิดว่าพ่อแม่คงไม่เข้าใจหรอก กลายเป็นว่าพวกเขาเข้าใจเฉย ดังนั้นคุณต้องลองก่อน ลองคุยกับพวกเขาดูก่อน 

MOONCHILD พูดถึงการค้นพบตัวเอง มีอะไรที่คุณเพิ่งค้นพบเกี่ยวกับตัวเองหลังจากเป็นศิลปินเต็มตัวไหม

ฉันได้เรียนรู้ว่าฉันรักการสังเกตและการเรียนรู้มากๆ และฉันได้เรียนรู้ว่าการได้สร้างสรรค์เป็นความรู้สึกที่ฉันชอบที่สุดบนโลกใบนี้ มันเติมเต็มใจมากเลยนะเวลาที่ฉันปล่อยเพลงออกไปแล้วมีแฟนๆ ส่งข้อความมาหาว่า ‘ขอบคุณสำหรับเพลงนี้ มันมีความหมายมากๆ มันช่วยให้ฉันอดทนไปโรงเรียนได้ มันช่วยให้ฉันเอาตัวรอดจากความสัมพันธ์ที่กำลังจบลง’ ฉันรู้สึกเติมเต็มมาก ฉันได้เรียนรู้ว่าฉันควรเป็นนักสร้างสรรค์อย่างแน่นอน การเดินทางของฉันยืนยันว่าฉันควรเป็นนักดนตรีจริงๆ

แล้วคุณใส่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคอนเซปต์หรือประสบการณ์ส่วนตัวลงไปใน MOONCHILD ได้ยังไง กระบวนการสร้างสรรค์เบื้องหลังอัลบั้มเป็นยังไง 

ฉันใช้เวลา 2 ปีในการทำอัลบั้มนี้ เพราะฉันพยายามจะทำให้ทั้งอัลบั้มเชื่อมโยงกันมากที่สุด ฉันไม่อยากจะใส่เพลง 10 เพลงลงไปแบบแรนดอมแล้วเรียกมันว่าอัลบั้ม ดังนั้นกระบวนการสร้างสรรค์จึงมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง มันเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะเลยล่ะ เพราะว่ามันเรียกร้องความคิด พลัง และความพยายามจากฉันอย่างมากในการเข็นมันมาถึงจุดนี้ แต่ถึงมันจะยากลำบากฉันก็คงไม่ทำอะไรต่างไปจากนี้ เพราะว่าสองปีที่ผ่านมาทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีคุณค่ามากๆ  

คุณบอกว่าอยากทำให้ MOONCHILD เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากๆ แต่ฉันได้ยินมาว่าในแง่ดนตรีทุกเพลงจะแตกต่างกันมากๆ ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำมันหลากหลายล่ะ

เป็นคำถามที่ดี ฉันคิดว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นถูกสื่อสารผ่านธีมและเนื้อเพลงมากกว่า มันเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะว่ามันเล่าเรื่องราวหนึ่งเดียว การฟังอัลบั้มนี้เป็นเหมือนการฟังเทพนิยายหรือนิทาน ส่วนในภาคดนตรีนั้น ฉันคิดว่าถึงแม้มันจะต่าง แต่มันก็ยังอยู่ในโลกเดียวกัน และฉันอยากทำให้แต่ละเพลงแตกต่างหลากหลายเพราะอยากให้แฟนๆ ได้เห็นแง่มุมอื่นๆ ของฉัน จากแต่ก่อนที่อาจจะได้เห็นเพียงด้านเดียว ฉันอยากจะมอบความหลากหลายและรสชาติแปลกใหม่ให้คนฟังบ้าง และฉันคิดว่าโปรเจกต์หรืออัลบั้มที่ดีควรมีเพลงหลายๆ genre อยู่รวมกันจะได้น่าฟังและน่าสนใจ

เวลา 15 นาทีของเราจะหมดแล้ว คุณอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ยังคงรอให้คุณมาเล่นที่ไทยหลังจากเฟสติวัลเมื่อเดือนมีนาคมต้องยกเลิกไปเพราะโควิด-19 ไหม

ถึงแฟนๆ ชาวไทยทุกคน ฉันอยากขอบคุณมากๆ ที่สนับสนุนฉันมาโดยตลอด ฉันหวังว่าพวกคุณจะชอบ MOONCHILD นะ ฉันเสียใจมากๆ ที่ไม่ได้ไปแสดงที่เฟสติวัล แต่ก็หวังว่าจะได้กลับไปแสดงที่ไทยเร็วๆ นี้ ระหว่างนี้รักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองและดูแลกันและกันด้วย!

ฟัง MOONCHILD เต็มๆ ได้แล้ววันนี้

AUTHOR