ก่อนหน้าและก้าวต่อไปที่ใหญ่ขึ้นของ แบงค์ ศุภณัฏฐ์ นักเตะอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ในไทยลีก

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้ยินสื่อบอกว่านักฟุตบอลสัญชาติไทยคนหนึ่งจะพาทีมชาติไทยไปบอลโลกได้

ถ้าคุณเป็นแฟนบอลทีมชาติไทยมานานพอ คุณจะรู้ว่าทุกๆ ครั้งที่มีดาวรุ่งพุ่งแรงเกิดขึ้น คำสรรเสริญต่างๆ จะทยอยเกิดขึ้นตามพาดหัวข่าว บ้างก็คาดการณ์ว่านี่คือเมสซี่เจ 2, มุ้ย 2 หรือตอง 2 บ้างก็บอกว่าความหวังใหม่ของฟุตบอลไทยเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นนักเตะคนไหน พวกเขาก็ต้องผ่านการพิสูจน์ฝีเท้ากันในสนามจริงทั้งสิ้น

บางคนเกิด บางคนดับ และบางคนก็สร้างประวัติศาสตร์

แบงค์–ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กำลังจะอายุครบ 17 ปีในปีนี้ แต่เรากล้าพนันว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แฟนบอลน้อยคนนักที่จะรู้จักแบงค์

ตอนนั้นเขายังเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แม้จะโชว์ฟอร์มได้ดีแต่ก็ยังมีคนรู้จักไม่มากนัก จำนวนประตูเป็นกอบเป็นกำในการแข่งขันระดับเยาวชนยังไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันอะไรมากว่าอนาคตของเขาจะประสบความสำเร็จ

จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว แฟนบอลน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักแบงค์

ประวัติศาสตร์ 2 อย่างเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลไทยโดยมีเขาเป็นคนที่จารึกมันไว้

หนึ่ง คือการเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกด้วยวัย 15 ปี 8 เดือน 22 วัน

สอง คือการเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ในไทยพรีเมียร์ลีกด้วยวัย 15 ปี 9 เดือน 25 วัน

หลังจากวันนั้น ชื่อของแบงค์ ศุภณัฏฐ์ กลายเป็นที่พูดถึงในสื่อกีฬาทันที หลายคนยกให้เขาเป็นความหวังใหม่ บางคนถึงกับบอกว่าด้วยฝีเท้าขนาดนี้ อนาคตในวงการลูกหนังของแบงค์ต้องสดใสเป็นแน่

แต่กว่าจะถึงวันนั้น เราคิดว่าคงจะเป็นการดีถ้าได้ไปรู้จักและเข้าใจเรื่องราวของแบงค์เพิ่มขึ้นอีกสักนิด กว่าที่จะสร้างประวัติศาสตร์แบบนี้ เด็กชายแบงค์เป็นใครมาก่อน เขาฝันอะไรในวัยเด็ก ฝันของเขาสำเร็จหรือยัง และในอนาคต เขาฝันถึงอะไรที่ใหญ่ขึ้นกว่าสิ่งที่เขาทำได้ในทุกวันนี้ไหม

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว อาจไม่มีแฟนบอลคนไหนรู้จักแบงค์

แต่เราอยากพาคุณไปทำความรู้จักเด็กน้อยคนนั้น

เพราะถ้าคุณได้ลองฟังเรื่องของเขา คุณจะเข้าใจว่าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น

ไม่มีคำว่าฟลุก

 

Go

เมื่อ 12 ปีที่แล้วที่สนามฟุตบอลแห่งหนึ่งของโรงเรียนในจังหวัดศรีสะเกษ เหล่าชายหนุ่มทั้งวัยรุ่นและวัยกลางคนต่างโม่แข้งเล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน

เด็กชายแบงค์–ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา วัย 5 ขวบ มองเห็นภาพนี้ทุกวัน อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ที่บ้านของเขาอยู่ใกล้โรงเรียนพอดี พ่อและพี่ชายอย่าง เช็ค–สุภโชค สารชาติ นำหน้าเขาลงสนามไปก่อนแล้ว

ด้วยความเป็นเด็ก เขายังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าลูกหนังสีขาวดำคืออะไร กฎกติกาคืออะไร และเล่นอย่างไร แต่เด็กชายคนนั้นรู้ในใจแค่เพียงว่าเขาอยากลองเตะมันดูสักครั้ง

‘เพราะอยากเล่นสนุกกับพี่ชายตามประสาเด็ก’ แบงค์คิดอย่างนั้น

“การโตมาแล้วเห็นพี่เช็คและคนในหมู่บ้านเล่นฟุตบอลกันคือจุดเริ่มต้น ตอนนั้นเราเล่นกันตามประสาเด็กมากกว่า ยังไม่ได้คิดจริงจังอะไร จนกระทั่งประมาณ 9 ขวบที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบแล้ว วันไหนไม่ได้เตะฟุตบอลจะรู้สึกไม่มีอะไรทำ

“ตอนนั้นผมยังไม่ถึงกับเล่นดีนะครับ แค่ชอบเล่น มีความสุขที่ได้เล่นกับพี่ชาย เพราะสำหรับผม พี่เช็คคือไอดอล เขาสอนผมทุกเรื่อง ดังนั้นเวลาเขาทำอะไรผมก็อยากทำแบบนั้น วันหนึ่งพอพี่เช็คเข้าบุรีรัมย์ อะคาเดมี ผมก็เลยอยากตามมาบ้าง”

ด้วยวัยที่มากกว่าและฝีเท้าที่เด็ดดวง ทำให้เช็คเข้าสู่บุรีรัมย์ อะคาเดมี (ระบบเยาวชนของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) ตั้งแต่วัยเด็ก เขาต้องห่างบ้านจากศรีสะเกษไปเริ่มชีวิตนักฟุตบอลฝึกหัดที่นั่น ทิ้งไว้เพียงแบงค์ที่ความสนุกในการเล่นฟุตบอลเริ่มลดหายไปเพราะพี่ชายไม่อยู่ สวนทางกับทักษะฟุตบอลที่เก่งขึ้นทุกวัน เขาเริ่มเดินสายเตะฟุตบอลเด็กตามรายการต่างๆ แม้จะลงไปข้ามชั้นไปเล่นกับรุ่นพี่ที่โตกว่า แต่แบงค์ยิงประตูในทุกการแข่งขันเสมอโดยที่ในใจของเขาแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะแกร่งพอก้าวตามรอยเท้าของพี่ชาย

จนวันที่เขาอายุถึงเกณฑ์ครบ 12 ปี เขาก็ได้โอกาสไปทดสอบฝีเท้าเพื่อเข้าสู่บุรีรัมย์ อะคาเดมี

“สารภาพว่าไม่คิดเลยครับว่าจะติด ตอนนั้นผมแค่อยากลองว่าเราดีพอไหม ไม่ติดก็ไม่เป็นไร ปีหน้ามาคัดใหม่ เพราะจริงๆ ผมแค่อยากมาเล่นฟุตบอลกับพี่”

การไม่คาดหวังอะไรล่วงหน้าคือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่โดดเด่นของแบงค์ เขาเล่าให้เราฟังว่าตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาจะพยายามก้าวเดินไปให้ไกลขึ้นโดยไม่คิดอะไรเยอะเกินไปจนบางคนอาจจะคิดว่าเขาไม่มั่นใจก็ได้ แต่สำหรับเรา เหมือนเขาให้ฝีเท้าพูดแทนความคิดมากกว่า

แม้กระทั่งตอนที่เขาติดทีมเยาวชน เขาก็ไม่ได้คิดไว้ว่ามันจะเป็นไปได้

“เนื่องจากผมเพิ่งเคยมาคัดตัวที่นี่ที่แรก ผมเลยไม่รู้ว่าการติดไม่ติดดูจากอะไร มันทำตัวไม่ถูก แต่จำได้ว่ามีคนเรียกเราไปบอกว่าเดี๋ยวจะโทรหา ผมยังบอกแม่อยู่เลยว่าสงสัยเขาจะเรียกให้มาทดสอบอีกที แต่กลายเป็นว่าเขาโทรมานัดหมายให้มาเข้าแคมป์” แบงค์เล่าติดตลกถึงจุดเริ่มต้นของตัวเอง

ฟังเผินๆ เหมือนความตั้งใจที่แบงค์จะได้เล่นฟุตบอลกับเช็คใกล้จะเป็นจริง เพราะสุดท้ายแบงค์ก็ได้เข้ามาฝึกและใช้ชีวิตกับบุรีรัมย์ อะคาเดมี แต่เมื่อวันที่เขามาถึง เขาก็ค้นพบความจริงว่าเป้าหมายของเขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เพราะตอนนั้นเช็คได้พัฒนาตัวเองจนได้ไปฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ดังนั้นถ้าแบงค์อยากจะอยู่ในสนามเดียวกับพี่ชายอีกครั้ง เขาต้องไปให้ไกลขึ้นและใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหลายขุม

เพราะกำแพงที่มีชื่อว่า ‘ทีมชุดใหญ่’ ช่างใหญ่สมชื่อมันจริงๆ

 

Go Big

ในวันหนึ่งระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แบงค์ผู้ซึ่งวันนั้นโชว์ฟอร์มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กำลังเดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวก่อนที่เขาจะได้ยินเพื่อนนักเตะคุยอะไรบางอย่าง

‘มันติดทีมเพราะพี่ชายแหละ’

‘พี่มันอยู่นี่ มันก็ต้องติด’

‘มันใช้เส้นพี่’

กับแบงค์ที่อายุยังไม่ถึง 15 ปี สิ่งที่เขาได้ยิน มันกระทบจิตใจเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ผมเจ็บใจนะ” แบงค์เล่าให้เราฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ยอมรับว่าผมโกรธมาก ก็จริงที่วันนั้นผมเล่นไม่ค่อยดี แต่พอได้ยินแบบนี้เหมือนเขาไม่เห็นความสำคัญของเราเลย สุดท้ายผมตัดสินใจเอาเรื่องนี้ไปบอกโค้ช แต่คำตอบของโค้ชก็ทำให้ผมคิดได้ เขาบอกผมว่า ‘มึงไม่ต้องไปสนใจอะไรอย่างนั้นหรอก แค่ทำผลงานในสนามให้ดี เดี๋ยวพวกมันก็หยุดพูดเองแหละ’

“หลังจากนั้นผมเลยพยายามพิสูจน์”

เส้นทางของคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีขวากหนามให้ต้องก้าวข้าม สำหรับแบงค์ในวัยเพียงแค่ 12 ปี สิ่งเหล่านี้เองคือขวากหนาม แม้จะได้ยินหรือได้ฟังคำครหามากขนาดไหน แต่แผ่นหลังของพี่ชายและความอยากเอาชนะลึกๆ ในตัวเขาก็ผลักดันให้แบงค์พยายาม และความพยายามที่ว่าของแบงค์ก็เปลี่ยนเป็นประตู

เขาเริ่มสร้างชื่อให้แฟนบอลรู้จักก็ช่วงนี้นั่นเอง อาจจะมีน้อยคนที่ติดตามบอลเยาวชน แต่ถ้าคุณติดตามบอลเยาวชนช่วงนั้น ไม่มีทางที่คุณจะไม่รู้จักแบงค์ จำนวนประตูหลักร้อยถูกผลิตจากเท้าทั้งสองข้างของเขา เขาทำให้คำครหาหายไปได้จริงๆ

แต่ที่มากกว่านั้น คือประตูแห่งโอกาสที่แง้มเปิดออกให้เขาก้าวข้ามไปในกำแพงที่เรียกว่า ‘ทีมชุดใหญ่’

“ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องขึ้นไปทีมชุดใหญ่เลยสักนิดเดียวครับ” แบงค์ชี้แจงความคิดในหัวเมื่อครั้งอดีต

“ผมยังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่าถ้าได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ คงสุดยอดแล้วแหละ แต่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 14 เอง ถือว่าน้อยมาก ผมคิดแต่ว่าถ้ารักษาฟอร์มดีๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเขาคงเห็นเราเอง แต่กลายเป็นว่าตอนนั้นทีมชุดใหญ่มีคนเจ็บ

“ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้อยู่เลย ผู้จัดการอะคาเดมีเขาเรียกผมไปบอกว่าไอ้แบงค์ พ่อเน (เนวิน ชิดชอบ – ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) เขาเรียกมึงไปซ้อมชุดใหญ่ ตอนนั้นผมไม่เชื่อนะ ผมยังบอกโค้ชอยู่เลยว่าอย่ามาโกหกผม ผมดีใจนะเนี่ย เขาเลยตอบกลับว่าไม่ได้โกหก วันต่อมาผมก็ได้ไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่จริงๆ”

ไม่ใช่นักฟุตบอลทุกคนที่จะทะลุจากทีมเยาวชนมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ ยิ่งกับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนี่คือสโมสรใหญ่เจ้าของสถิติการเป็นแชมป์ไทยลีกมากครั้งที่สุด คนที่อยู่ในทีมนี้ล้วนเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพที่มีฝีเท้าระดับพระกาฬทุกคน ไม่ว่าจะคนไทยที่อยู่ในระดับติดทีมชาติ หรือคนต่างชาติที่มีฝีเท้าเล่นในยุโรปได้สบายๆ

เด็กอายุ 14 ปีที่ได้ทะลุขึ้นไปซ้อมกับพวกเขาเหล่านี้รู้สึกอย่างไร, นั่นคือสิ่งที่เราสงสัย

“ผมตัวเล็กมากเลยถ้าเทียบกับพี่ๆ” แบงค์เรียกรอยยิ้มให้เราได้อีกครั้ง

“วันแรกที่ไปซ้อม ผมยอมรับว่าผมกลัวนะ เขาเล่นดุดันกันจัง เล่นบอลเร็ว ความเป็นมือออาชีพก็สูงมาก ตอนซ้อมไม่มีเหยาะแหยะ เต็มที่คือเต็มที่ ต่างจากเด็กๆ เยอะ ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองยังเล่นไม่เก่งเท่าที่เขาซ้อมกันอยู่ มันทำเอาผมไม่กล้าเล่น เวลาซ้อมก็กลัวเสีย กลัวไปหมด”

“จุดเปลี่ยนคืออะไร” เราถาม

แบงค์ยิ้ม ก่อนที่เขาจะเตือนเราถึงความจริงข้อหนึ่งว่าถึงแม้เขาจะกลัว แต่สิ่งที่เขาตั้งใจ มันกำลังจะสำเร็จแล้ว

“พี่เช็คเดินมาหาผม แล้วบอกผมว่าไม่ต้องกลัวหรอก เล่นไปเลย ตอนแรกที่เขาขึ้นมา เขาก็กลัวแบบนี้แหละ เล่นของเราไปเรื่อยๆ และทำให้เต็มที่ก็พอ”

หลังจากนั้น แบงค์เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น แต่ถ้าว่ากันตามตรง วัย 15 ปีกับการจะได้เล่นแมตช์เป็นทางการแทบจะดูเป็นไปไม่ได้เลย ยังไม่ต้องว่ากันด้วยฝีเท้า ด้วยสรีระร่างกายและความคิดความอ่าน ไม่แปลกที่นักเตะอาชีพส่วนใหญ่ทั่วโลกมักจะได้ลงประเดิมสนามกันตอนอายุประมาณ 17-18 ปี ดังนั้นถึงแม้จะได้ทะลุขึ้นมาซ้อมชุดใหญ่ แต่แบงค์ก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้รับโอกาสเล่น

จนวันที่ 26 เมษายน 2561 ประวัติศาสตร์ก็ถูกจารึก

 

Go Bigger

“จริงๆ แค่มีชื่อบนม้านั่งสำรองก็ดีใจแล้ว” แบงค์เกริ่นกับเราถึงโมเมนต์ที่เป็นประวัติศาสตร์

หลังจากซ้อมกับทีมชุดใหญ่ได้ดีเป็นเวลากว่าครึ่งปี แบงค์ก็ได้รับโอกาสให้มีชื่อบนม้านั่งสำรอง เขาสารภาพกับเราว่าถึงแม้จะอยู่ใกล้โอกาสที่จะได้จารึกชื่อเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในไทยลีก แต่ตอนนั้นแบงค์ก็ยังเป็นแบงค์ เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะการได้นั่งอยู่และเห็นพี่ชายตัวเองลงสนามในฐานะทีมชุดใหญ่แบบใกล้ๆ เขาก็มีความสุขมากแล้ว

“จำได้ว่าแมตช์กับโคราช (วันที่ 26 เมษายน 2561) ผมโทรไปบอกแม่ด้วยว่าผมมีชื่อเป็นตัวสำรองและแมตช์นั้นเตะที่บุรีรัมย์พอดี พ่อแม่ก็เลยมาดูเพราะอย่างน้อยก็ได้มาเห็นพี่เช็คเล่น แต่กลายเป็นว่าแมตช์นั้นแม่ได้เห็นทั้งพี่ทั้งน้องเลย”

ช่วงท้ายเกมที่ผลการแข่งขันแน่นอนแล้ว แบงค์ถูกเปลี่ยนลงสนาม แม้จะเป็นนาทีที่ 92 แต่นั่นก็เพียงพอให้เขาสร้างชื่อเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในไทยพรีเมียร์ลีก จะบอกว่านี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพนักฟุตบอลของเขาก็ได้ แต่ในวันนั้นก็ยังมีจุดที่ทำให้เขาเสียใจเล็กๆ อย่างหนึ่ง คือคนที่เขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน กลับเป็นเช็ค พี่ชายของเขาเองเสียนี่ การเล่นร่วมกันในนามนักเตะอาชีพเลยยังไม่เกิดขึ้นตามที่แบงค์หวังไว้

“ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ขาสั่น ทำอะไรไม่ถูก ตอนลงไปในสนาม ทุกคนจ้องมาที่เรา ผมไม่กล้าจ้องแฟนบอลบนอัฒจันทร์เลยนะ แต่ก็มันเหมือนเป็นการสั่นสู้มากกว่า สุดท้ายถึงแม้จะอยู่ในสนามแป๊บเดียว แต่พอหลังแมตช์ ผมกับพี่เช็คก็มากินข้าวกับพ่อแม่ เขายังแซวอยู่เลยว่าเสียดาย ผมน่าจะลงมาเร็วกว่านี้ ไม่น่าเปลี่ยนเขาออกและเอาผมเข้าเลย”

ความเสียดายนั้นแทบไม่ต้องรอนานในการแก้ตัวใหม่ เพราะแค่เดือนต่อมา แบงค์ก็มีชื่อเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง ถ้าเราลองย้อนดูภาพข่าวกีฬาในวันนั้น เราจะรู้โดยทันทีว่าคนไหนคือแบงค์ เพราะถ้าเทียบกับทุกคนในสนาม เขาดูตัวเล็กมาก แต่ท่ามกลางความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับแบงค์แล้วความทรงจำก่อนหน้าของเขาค่อยๆ หวนกลับมา เพราะเขาและเช็คได้ลงเล่นร่วมกันอีกครั้งเหมือนครั้งอดีต

“ตอนก่อนลงผมก็ยังคงมีความกลัว แต่พ่อเนก็เดินมาบอกให้ผมอย่ากลัว คนเรามีสองขาสองแขนเหมือนกัน สมองเหมือนกัน ดังนั้นมันอยู่ที่ใจ อย่าไปกลัว แต่เหนืออื่นใดคือมันเป็นความฝันที่เป็นจริงครับ เราได้ลงเล่นกับพี่เช็คแล้วหลังจากเราไล่ตามเขามานาน ได้เล่นในสนามเดียวกันเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราได้เล่นร่วมกัน”

ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่แฟนบอลที่นั่งดูในสนามวันนั้นจะรู้ดีว่าเด็กวัย 15 ปีคนนี้แทบไม่มีอาการตื่นสนามสักนิด แบงค์ขยับอย่างลื่นไหล ค่อยๆ มีสติและจับจังหวะตัวเองได้ ฟอร์มของเขาในวันนั้นไม่เหมือนเด็กวัย 15 เลยสักนิด นักเตะที่เสื้อด้านหลังสกรีนว่า ‘SUPHANAT’ ก้าวข้ามความหวั่นวิตกในใจไปสู่คำว่ามืออาชีพอย่างเต็มตัว

แต่เหมือนโชคชะตาขีดไว้อย่างไรอย่างนั้น ในแมตช์ที่ความฝันของแบงค์เป็นจริง เขาได้จารึกอีกประวัติศาสตร์ไว้ด้วยฝีเท้า 2 ประตูจากเด็กอายุ 15 ส่งผลให้เขาเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในไทยลีก แสงไฟจากสื่อทั่วทุกสารทิศสาดส่องมาที่เขาบนสนามในวันนั้น แต่เมื่อเดินกลับเข้าสู่ห้องแต่งตัว มือที่คุ้นเคยก็ตบบ่าเขาพร้อมคำชมกึ่งแซวที่เขารอมานาน

“โอ้โห ยิง 2 ลูกเลยเหรอวะ ยิงเยอะกว่าพี่อีกนะเนี่ย” เช็คบอกน้องของเขาแบบนั้น และนั่นทำให้แบงค์ตระหนักได้ว่าเขาก้าวมาไกลมากแล้วจริงๆ

ปัจจุบันแบงค์อายุ 17 ปีแล้ว เขายังคงอยู่ในทีมชุดใหญ่ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดร่วมกับเช็ค แม้จะยังไม่ได้เป็นตัวจริงถาวรแถมยังต้องเก็บประสบการณ์อีกมาก แต่พัฒนาการที่ดีก็ทำให้หลายคนจับตาดูเขาพร้อมให้ฉายาว่านี่แหละคือความหวังใหม่ของฟุตบอลไทย แต่ถึงอย่างนั้น แบงค์ก็บอกกับเราว่าเขายังคงเหมือนเดิม เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน สำหรับเขา จุดหมายเป็นเหมือนธงที่ปักอยู่ห่างๆ ระหว่างทางต่างหากที่เขาต้องรับผิดชอบ

“สำหรับผม วินัยสำคัญสำหรับการเป็นนักฟุตบอลมากเลยครับ เรามีอะไรหลายอย่างต้องหักห้ามใจและเราต้องคิดเสมอว่าต้องการทำอะไร อย่างผม ผมต้องการเล่นฟุตบอลจริงๆ ถ้าเราไปทำสิ่งไม่ดีแล้วอนาคตฟุตบอลเราพัง เราจะไปทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ดังนั้นผมก็ไม่ทำดีกว่า ทำทุกวันนี้ให้ดี เพราะผมยังมีเป้าหมายไกลๆ ที่ตั้งไว้”

“เป้าหมายที่ว่าคืออะไร” เราถามคำถามสุดท้ายก่อนจะจากกัน

แบงค์นิ่งคิดสักครู่ ก่อนจะตอบด้วยสายตามุ่งมั่น

“ผมอยากติดทีมชาติชุดใหญ่ ผมอยากพาทีมชาติไทยไปบอลโลก

“และถ้าเป็นไปได้ผมอยากทำสิ่งนั้นร่วมกับพี่ชาย”


เชิญพบกับความสนุกที่มากกว่าเคยพร้อมเปิดโลกจินตนาการที่กว้างกว่าเดิมใน 5 เวิร์คช็อปจาก Nike AirMax ที่คุณไม่ควรพลาด ที่ WAREHOUSE26 ซอยสุขุมวิท26 วันที่ 30 มีนาคม 2561

หากใครสนใจทั้ง 5 เวิร์กช็อป ดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ nike.com 

AUTHOR