“ผ่านปีใหม่มา 2 อาทิตย์ เหมือนใช้พลังงานของอีก 300 กว่าวันที่เหลือไปหมดแล้ว”
นี่คือสิ่งที่ผมเริ่มสังเกตเห็นเพื่อนฝูงบางคนโพสต์บนโซเชียล และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนสองคนเสียด้วย ราวกับว่าพ้นช่วงเวลาของเทศกาลปีใหม่มาไม่นาน กลิ่นอายของความร่าเริงสดใสจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว และความจริงอันน่าเหนื่อยหน่ายก็ปรากฏอีกครั้ง
แท้จริงแล้วมันอยู่ที่เดิม เพียงแค่ถูกม่านหมอกของเทศกาลปกคลุมก็เท่านั้น
เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบกับภาวะซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว (Post-vacation blues) ที่หลังผ่านพ้นความผ่อนคลายในช่วงวันหยุด แต่ต้องรู้สึกเศร้าเพราะยังติดอยู่ในความทรงจำของวันหยุด จนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร (บางคนอาจบอกว่า ไม่หรอก แกแค่ขี้เกียจ) ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกาย แต่ก็ส่งผลทางใจและรบกวนการใช้ชีวิต
นอกจากการเผชิญความรู้สึกส่วนตัวแล้ว การต้องคอยเดินผ่าน ‘สมรภูมิโซเชียล’ ที่ผู้คนรอบตัวเริ่มโพสต์ระบายความทุกข์ ความเศร้า ความเหนื่อย ทั้งที่เพิ่งเริ่มปีมาไม่นาน ก็ยิ่งทำให้ ‘เป้าหมาย’ ที่เราตั้งใจไว้เมื่อปลายปีก่อน เริ่มจะสั่นคลอนตามไปด้วย จนกลายเป็นความห่อเหี่ยว แทนที่จะเป็นความตื่นเต้น
ปีใหม่ควรจะเป็นช่วงเวลาของความสดใสของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่วาดหวังไว้ หากต้องถูกดูดกลับไปสู่ความหมดแรงจากพลังงานลบรอบๆ ตัวก็คงไม่ดีแน่ แล้วเราจะรักษา ‘โมเมนตัม’ ที่ดีที่(ยัง)มีอยู่ เพื่อผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร
หมั่นคอยดูแลรักษาเป้าหมาย
แน่นอนว่าเป้าหมายของเรามักถูกตั้งไว้ด้วยความตั้งใจที่ดีที่สุด แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านั้นค่อยๆ สูญหายไปจากความวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิต รวมถึง ‘พลังงานลบ’ จากปัจจัยภายนอก แม้แต่ ‘คำบ่นหมดแรง’ ของเพื่อนในโซเชียล จนกลายเป็นความเหนื่อยหน่ายที่ถูกส่งต่อ
ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยให้เรายังคง ‘ยึด’ เป้าหมายไว้ให้มั่นได้ คือ ความสม่ำเสมอ ในการทบทวนเป้าหมายที่ตั้งไว้บ่อยๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เรายังไม่หลุดจากความรู้สึกตื่นเต้นที่มีต่อเป้าหมาย ยังช่วยให้มองเห็นภาพของเป้าหมายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมองเห็น ‘ขั้นตอน’ หรือ ‘เส้นทาง’ ที่จะพาเราไปยังเป้าหมายนั้นได้
แชร์ฝันให้ใหญ่ขึ้น
บางครั้ง การแชร์หรือแบ่งปันบางสิ่งบางอย่าง สามารถช่วยให้เรายังคงรักษาความตั้งใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นไว้ได้ แน่นอนว่ารวมถึง เป้าหมายที่ตั้งไว้ เคยมีการศึกษาโดย เกล แมทธิวส์ (Gail Matthews) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ที่พบว่า 76 เปอร์เซ็น ของผู้เข้าร่วมทดสอบที่มีการจดเป้าหมาย ขั้นตอนการดำเนินการ และแจ้งความคืบหน้ารายสัปดาห์ให้เพื่อน สามารถบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ ขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้มีการแชร์สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหรือล้มเลิกระหว่างทาง
นอกจากนี้ การแชร์เป้าหมายส่วนบุคคล สามารถสร้างระบบ ‘การสนับสนุน’ เพิ่มขึ้นได้ ลองจินตนาการว่า มีคนที่สนใจในสิ่งที่เราคิด ฝัน และมีเป้าหมายใกล้เคียงกัน เมื่อมันสอดคล้องกัน การสร้างแรงผลักดันหรือความกระตือรือร้นในการบรรลุเป้าหมายก็จะง่ายขึ้น เสมือนว่าต่างคนต่างคอยประคองและช่วย ‘ช้อน’ ความหย่อนยานของกันและกัน และให้กำลังใจกันได้มากขึ้น
ให้เป้าหมายเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต
แม้ว่าเราควรหมั่นทบทวนเป้าหมายให้บ่อยเข้าไว้ และยึดมันให้แน่น แต่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องโฟกัสแต่สิ่งนั้นจนลืมความธรรมดาในชีวิต เพราะบางครั้งการโฟกัสที่มุ่งเน้นไปแค่ความสำเร็จ อาจส่งผลตรงข้าม และให้ความรู้สึกทุกข์และเครียด เหมือนถูกดูดพลังงานไม่ต่างจากสิ่งที่เราพยายามเลี่ยง อย่าลืมว่าเป้าหมายไม่ได้เปรียบเสมือน ‘โครงการ’ ที่มีกำหนดเวลาเสมอไป และไม่จำเป็นต้องให้มันกลายเป็น ‘ความเร่งด่วน’ จนกลบชีวิตปกติธรรมดาที่มนุษย์เราควรมี
การเดินไปสู่เป้าหมายด้วยการมุ่งเน้นไปที่ ‘การพัฒนาส่วนบุคคล’ มากกว่า ‘ความสำเร็จส่วนบุคคล’ จะทำให้เป้าหมายของเราเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การเติบโต’ ในชีวิต มากกว่าจะแยกส่วนมันออกจากกัน
อย่างไรเสีย ควันหลงปีใหม่นี้ เรายังคงหลีกหนีจากสมรภูมิความเหนื่อยหน่ายหลังปีใหม่บนโลกโซเชียลได้ยาก แต่อย่างน้อยที่สุด หากเราเลือก ‘จัดการ’ ในสิ่งที่สามารถควบคุมได้ เราก็อาจไม่ต้องเก็บเกี่ยวความรู้สึกแง่ลบจนทำให้หมดแรงไปตามๆ กัน
เอาไว้ผ่านครึ่งปีไปก่อน ค่อยว่ากันอีกทีนะ