ปีนี้ ฉันตั้งใจว่าจะเป็นคนไม่รู้จักโตดูบ้าง

เมื่อเรียนจบและมีงานทำ เมื่อหาเงินได้ เมื่อออกจากบ้านของครอบครัวมาดูแลชีวิตตัวเอง เมื่อต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น เมื่อแต่งงาน เมื่อมีลูก เมื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ เมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์และเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ (แม้บางคนจะยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญเพราะรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม)  

เรามีทั้งค่ากลางและหมุดหมายในใจ ว่าแต่ละคนจะกลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ตอนไหน บ้างเคร่งครัดตามวันเดือนปีเกิด บางทียึดถือตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ บางครั้งก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราเองเท่านั้นจะรู้ว่าได้ข้ามผ่านมาสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว

และบางที เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่า เราเป็นผู้ใหญ่ ‘พอ’ หรือยัง

ด้วยอายุอานามและหน้าที่ความรับผิดชอบ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การเป็นลูกคนเดียวและอยู่กับแม่มาตลอด ไม่เคยได้ออกไปอยู่หอตอนเรียนมหาวิทยาลัย หรือออกไปอยู่คอนโดฯ ใกล้ที่ทำงาน มันทำให้ฉันยังกลายเป็นลูกแหง่ที่มีแม่คอยทำอาหารให้กิน คอยดูแลการใช้ชีวิตพื้นฐาน และยังต้อง ‘ขออนุญาต’ เวลาทำเรื่องต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ แม้จะพูดได้เต็มคำว่าเป็นคนรับผิดชอบภาระในบ้านอย่างเบ็ดเสร็จ 

ในที่ทำงาน ฉันเป็นผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว มีพาร์ตเนอร์ร่วมหัวจมท้าย แต่ด้วยบรรยากาศที่ทั้งบรรจงสร้าง (และบ้างก็ไม่จงใจ) แทนที่จะเป็นเจ้านายจ๋า ฉันกลับเป็นเหมือนพี่คนหนึ่งในทีมที่มีแต่น้องๆ อายุน้อยกว่า บางทีก็ทำเป็นเด็ดขาด ตัดสินใจชึบชับฉับไว แต่บางครั้งก็ลังเลเฉไฉ ชอบฟังความเห็นของทุกคนจนหลายครั้งบทสรุปก็เป๋ไปเป๋มา 

ในความสัมพันธ์ ฉันเป็นภรรยาที่อายุน้อยกว่า 7 ปี แม้จะพยายามเจ้ากี้เจ้าการ จัดระเบียบความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าอย่างมีอนาคต แต่ก็พบว่าจริงๆ แล้วฉันเหนื่อยล้ากับการบังคับตัวเองและคนรักให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ช่วงเวลามีความสุขและราบรื่นแท้จริงคือการไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เราจึงตัดสินใจไม่มีลูกด้วยหลายเหตุผล แต่เงื่อนไขสำคัญที่เรา (น่าจะทั้งคู่) รู้ดีอยู่แก่ใจ คือเราไม่มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ

ว่าแต่ เราต้องเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนกัน ถึงจะมากเพียงพอ

เมื่อวันสิ้นปีที่ผ่านมา ฉันจดจ่ออยู่กับโมงยามข้ามปีเป็นพิเศษกว่าปีไหนๆ เพราะใจมั่นสั่งการว่าอยากให้ปี 2021 หมดไปไวๆ เสียที ฉันทุกข์ทนกับปีนี้มามากเกินไป 

แต่ความจริงยืนรอสั่งสอนเราแค่ชั่วเวลาเข็มวินาทีกระดิก ฉันรู้ได้ทันทีว่าเราไม่ได้รับสิทธิ์ให้ขึ้นบทใหม่เพียงเพราะปฏิทินมันหมดปีหรอก ความรู้สึกหม่นเศร้าในปีก่อนยังตามมาในปีนี้ ทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พังทลายไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในไม่ช้า ฉันร้องไห้ออกมา แล้วด่าตัวเองในใจว่าไม่รู้จักโตซะที

ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าปีที่ผ่านไม่อาจช่วยอะไร new year resolution พังไม่เป็นท่ามาแล้วกี่ปี ยังจะมาโรแมนติกกับการเปลี่ยนผ่านอยู่ได้!

น้ำตาในคืนวันปีใหม่ทำให้เรื่องไปกันใหญ่ เพราะฉันยังพบว่า ตัวเองหมกมุ่นกับการเป็นผู้ใหญ่ให้พอเหลือเกิน ชุดคำตำหนิตัวเองมักจะเป็นจะตายกับการเติบโตอยู่นั่น “โตแล้ว อย่าฟูมฟาย” “โตแล้ว คิดเยอะๆ หน่อย” “โตแล้ว อย่าทำอะไรไร้สาระ” “โตแล้ว อย่าผิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ”  “โตแล้ว อย่างอแงเป็นเด็กๆ” ฯลฯ 

ไม่รู้จะรีบไปโตที่ไหน!

เมื่อได้ร้องไห้แบบผู้ใหญ่ (กล่าวคือ ร้องไห้เงียบๆ เน้นฟังก์ชั่นการระบายความอัดอั้นในใจ) ฉันก็เข้านอน แล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ใช้ชีวิตวันหยุดที่เหลือเคลียร์งานคั่งค้าง และดูแลความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว นอน ตื่น ไปทำงาน นอน ตื่น ประชุม ฯลฯ วนซ้ำไปเท่าที่ชีวิตจะเคลื่อนไหวได้ แล้วก็ชักลืมๆ เรื่องที่ก่นด่าตัวเองไว้ในบางที, ซึ่งไอ้ช่วงเวลาที่ลืมไปได้ มันเบาสบายยังไงไม่รู้

หรือบางที เราอาจจะต้องการเวลาที่ไม่รู้จักโตซะบ้าง

ไม่ต้องกลับไปเป็นเด็ก ไม่ต้องมีพื้นที่เล็กๆ ในใจก็ได้ถ้าไม่ได้โหยหา แต่อย่าคาดคั้นตัวเองนักเลย 

เติบโตผ่านปีเลวร้ายมาได้ ก็กร้านโลกพออยู่แล้ว!

AUTHOR

ILLUSTRATOR

EAOWEN

ชอบวาดรูป ร้องเพลง เล่นกีตาร์ กินข้าวหลายจาน และไมเคิล โอเวน