ด้วยความเป็นคนตามใจตัวเองเก่ง และรู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไรอย่างชัดแจ้ง ฉันจึงซื้อแนวคิด self-care ตั้งแต่ได้ยิน ไม่ว่าโลกนอกตัว การงาน ครอบครัว หรือชีวิตจะรุงรังรุมเร้าแค่ไหน แต่การที่เรา ‘ต้อง’ ใส่ใจ ให้เวลา และดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถันนั้น เป็นเรื่องสุดแสนพื้นฐานที่เราควรได้รับในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
หากเมื่อลองเข้าไปดูในวิธีปฏิบัติ ฉันกลับปล่อยผ่านไม่หือไม่อือกับคำแนะนำของเหล่ากูรูนักดูแลตัวเองทั้งไทยและเทศเท่าไหร่ และออกจะแปลกใจที่คำแนะนำในการหันมาดูแลตัวเองของแต่ละคน แต่ละสำนัก หรือแต่ละแอพพลิเคชั่น มันช่างฟังดูง่ายดายเหลือเกิน บ้างแนะนำให้เราดูแลตัวเองด้วยการใช้ไหมขัดฟัน ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ออกไปเดินเล่นบ้าง ทำอาหารกินเองบางมื้อ จุดเทียนหอมในห้อง เก็บเตียงให้เรียบร้อย พับผ้า นอนก่อนเที่ยงคืน และทำ social detox ในบางครั้ง ฯลฯ
ก็ทำอยู่แล้วปะ นี่มันเรื่องพื้นฐานนะเว้ย!–ฉันคิด
อย่างที่บอกว่าฉันตามใจตัวเองเก่ง อะไรที่รู้ว่าดีกับใจตัวเองก็ทำได้เลยโดยไม่ต้องพยายาม นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับฉันเลย
จนกระทั่งชีวิตพามาเจอเรื่องสั่นคลอนความมั่นคงในใจแบบกะทันหัน ซึ่งฉันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการฟูมฟายไปตามสมควร แล้วเดินหน้าใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมต่อไป ฉันไม่มีปัญหาเรื่องการงาน ยังพบปะพูดคุยกับผู้คนได้ปกติ ยิ้มได้ ทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำทั้งหมดได้ไม่ขัดข้อง แถมยังจัดการเรื่องยุ่งยากหลังการเปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างดี (ชมตัวเอง) แต่ดันทำทักษะการดูแลตัวเองหล่นหายไปไหนก็ไม่รู้
ฉันจมอยู่ในหน้าจอมือถือตั้งแต่ตื่นนอน จนไม่เหลือเวลาแล้วถึงจะจัดการตัวเองให้ลุกไปทำงานหน้าจอได้ ผมไม่หวี แป้งไม่ทา น้ำแก้วแรกจะได้รับความกรุณายกมาดื่มเมื่อร่างกายเรียกร้องด้วยการปวดหัว ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากกินอะไร แค่เดินไปที่ใกล้ๆ ก็เหนื่อยหอบ อาบน้ำลวกๆ ไม่ทาครีมบำรุงใดๆ เปิดผ้าคลุมเตียงแค่ครึ่งเดียวให้พอล้มตัวนอน แล้วก็เล่นเกม puzzle โง่ๆ ในมือถือเพื่อรอให้ง่วงจนทนไม่ไหวแล้วหลับไปโดยไม่ปิดโคมไฟข้างเตียง ก่อนที่จะลืมตาตื่นแล้ววนซ้ำกิจกรรมเดิมๆ ให้ผ่านไปอีกวัน
ก่อนหน้านี้ เวลาที่ยุ่งจนไร้เวลา หรือประสาทกินในบางวัน ฉันก็เคยปล่อยปละตัวเองแบบนี้บ้างเพื่อเอาคืน (เอาคืนใครก็ไม่รู้) แต่ในครั้งนี้มันเกิดขึ้นทุกวัน และโดยธรรมชาติ พฤติกรรมแย่ๆ มักจะเกาะหนึบกลายเป็นนิสัยได้รวดเร็วกว่าพฤติกรรมดีๆ มากนัก เมื่อมันลุกลามและกลายเป็นรูทีนใหม่ของชีวิต มันก็ชักน่ากลัวกว่าที่คิดไว้
ระหว่างที่นอนเหม่อผลาญเวลาให้หมดไป ในหัวฉันคิดตลอดเวลาว่าจะออกไปจากความไม่เฮลท์ตี้นี้ได้ยังไง ซึ่งเอาจริงมันก็ง่ายแค่เอื้อมมือไปปิดโคมไฟแล้วหลับตา แต่มันกลายเป็นเรื่องยากเหลือเกินในตอนนี้ (หัวเราะขมขื่น) ในหัวมีเสียงโวยวายว่าฉันควรจะพับผ้า ฉันควรเก็บกระเป๋าที่วางกองไว้กับพื้น ฉันควรเอาบิลในกระเป๋าสตางค์ไปแยกทิ้งให้ถูกที่ ฉันควรจะกินข้าวเย็นไม่ใช่มานอนหิวจนลำไส้กิ่วอย่างนี้ ฯลฯ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง จนต้องรอให้ร่างกายฟ้องว่าจะพังตามใจไปด้วย จึงรู้ชัดว่าคงปล่อยไปอีกไม่ได้
แบบฝึกหัดบีกินเนอร์ของวงการ self-care ที่เคยเบ้ปากใส่ กลับมาช่วยชีวิตฉัน
ก่อนหน้านี้ฉันเคยซื้อแอพฯ self-care มาใช้ แต่เห่อได้แป๊บเดียวก็เลิกไปเพราะมันง่ายเกินเบอร์นั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันกลับมา activate มันใหม่อีกครั้ง ตั้งโกลสุดแสนง่ายอย่างตื่นมาแล้วต้องดื่มน้ำเป็นอย่างแรก ทำอาหารเช้ากินเองให้ได้ ใช้เวลาจัดของรุงรังทุก 5 นาทีก่อนนอน และนอนให้ได้ก่อนเที่ยงคืน
ครั้งแรกที่กลับมาอยู่ในครัวที่คุ้นเคย หมุนวนอยู่หน้าเตาและอ่างล้างจานเพื่อทำอาหารเช้าง่ายๆ จังหวะล้างกระทะที่เคยเบื่อหน่ายกลายเป็นสิ่งที่ฉันคิดถึงและสะเทือนใจจนน้ำตาไหลออกมา
จริงๆ มันเยียวยาใจได้เล็กน้อยเวลากดปุ่มเช็กว่าเราทำสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว แทร็กดูได้ว่าเราทำมันต่อเนื่องได้แล้วกี่วัน (ซึ่งกระท่อนกระแท่นนิดหน่อย) และยิ้มเอ็นดูตัวเองแบบขื่นๆ เวลาได้รับคำชมปลุกพลังจากการประมวลผลของ AI
แต่โดยรวมมันก็ช่วยให้ฉันมองเห็นอะไรข้างหน้าได้เกินกว่าชั่วโมงถัดไป
ไม่มีอะไรปุบปับ ฉันไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็น ยังคงกินข้าวไม่อร่อย (ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนเคยตะกละอย่างฉัน) และยังคงต้องพึ่งเกม puzzle แทนยานอนหลับ แต่ทักษะใหม่ที่ฉันเพิ่งค้นพบ (ที่แม้แต่ตอนเฮลท์ตี้ดีก็ไม่เคยทำ) นั่นคือการสปอยล์ตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่ทำได้ ฉันซ่อนการ์ดน่ารักๆ ที่เคยซื้อมาไว้ตามลิ้นชักที่นานๆ เปิดที แม้จะทำเอง แต่พอได้เปิดเจอตอนเผลอก็ยิ้มได้จริงๆ เลือกใช้น้ำยาล้างจานที่กลิ่นหอมถูกใจ ตั้งใจฟังเพลงทั้งอัลบั้มอีกครั้ง หรือการบอกตัวเองดังๆ ว่าไม่เป็นไรนะแก
ไม่ว่าโลกจะเป็นอย่างไร รักตัวเองให้มากไว้นะ