จาก Birkenstock คู่ละล้านถึงรองเท้าซาตาน MSCHF สตาร์ทอัพสุดปั่นจากบรูกลิน

ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อยู่ดีๆ Lil Nas X แรปเปอร์เจ้าของซิงเกิลฮอตฮิตอย่าง Old Town Road ได้ประกาศว่าเขาได้ร่วมงานกับ MSCHF สตาร์ทอัพจากบรูกลิน ผลิตสนีกเกอร์รุ่นพิเศษในชื่อ ‘Satan Shoes’ ออกมา 666 คู่ด้วยกัน

ลำพังแค่ชื่อของมันก็สร้างข้อถกเถียงภายในสังคมได้อย่างร้อนแรงแล้วว่าเป็นเรื่องเหมาะสมจริงๆ เหรอกับการตั้งชื่อสนีกเกอร์คู่นี้ว่ารองเท้าของซาตาน ความปั่นป่วนอีกประการของสนีกเกอร์คู่นี้คือการที่โมเดลของมันคือ Air Max 97 หนึ่งในรองเท้าระดับไอคอนิกของ Nike ที่ใครๆ ต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยที่เขาและ MSCHF ได้สอดแทรกสารพัดดีเทลที่สอดคล้องกับคอนเซปต์ซาตานลงไปในรองเท้าคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์กางเขนกลับหัวตรงลิ้นรองเท้า เครื่องรางรูปดาว 5 แฉกที่ห้อยลงมาบริเวณด้านหน้าของรองเท้า ตัวอักษรสีแดงที่เขียนว่า Luke 10:18 ซึ่งเป็นบทหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่มีข้อความว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” (I saw Satan fall like lightning from heaven.) ไปจนถึงการใส่หยดเลือดของมนุษย์จริงๆ ลงไปผสมกับน้ำหมึกสีแดงบริเวณส้นรองเท้า

แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงของลิล นาส เอกซ์ และคอนเซปต์ที่โคตรจะปั่นของสนีกเกอร์คู่นี้ Satan Shoes ทั้ง 666 คู่ขายหมดเกลี้ยงในทันทีที่วางจำหน่าย ปัญหาอยู่ที่ว่าพอ Nike ผู้เป็นเจ้าของโมเดล Air Max 97 รับรู้เรื่องรองเท้าคู่นี้เข้าก็เกิดความไม่พอใจและตัดสินใจฟ้องร้อง MSCHF ในทันที นั่นเพราะ Nike มองว่าการกระทำนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ Nike เท่านั้น หากยังสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคที่เข้าใจว่า Nike กำลังออกตัวสนับสนุนแนวคิดเรื่องซาตานผ่านรองเท้าคู่นี้อีกด้วย

เรื่องราวการฟ้องร้องสิ้นสุดลงที่ชัยชนะของ Nike โดยที่แม้ว่า MSCHF จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หากชื่อของ MSCHF ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ MSCHF ปล่อยไอเทมปั่นๆ ออกมาก่อกวนแบรนด์ต่างๆ และผู้บริโภคในตลาด เราจะพาไปทำความรู้จักกับแบรนด์สัญชาติอเมริกันสุดกวนแบรนด์นี้กัน

เพราะทุกอย่างรอบตัวคือเรื่องสนุก

MSCHF ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดย Gabriel Whaley เด็กหนุ่มอดีตพนักงาน BuzzFeed ที่หลังจากทำงานไปได้สักพักก็ตัดสินใจลาออกเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการสักเท่าไหร่ เกเบรียลเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองผ่านโปรเจกต์ที่ทำขึ้นอย่างขำๆ ในทวิตเตอร์ นั่นคือเขาจะให้คำแนะนำแย่ๆ กับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่เขาได้รับ ต่อมาเด็กหนุ่มก็ได้สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่งซึ่งจะใช้ได้หลัง 5 ทุ่มเท่านั้น เกเบรียลสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาภายใต้แนวคิดที่อยากจะลองสร้างโซเชียลมีเดียจำลองเพื่อใครสักคนที่รู้สึกเหงาและอยากหาคนคุยยามดึกๆ โดยที่ลึกๆ ก็แฝงไว้ด้วยความพยายามที่จะเสียดสีสังคมปัจจุบันที่ปฏิสัมพันธ์อยู่กับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา “มุมมองของเราคือ ทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องสนุกในทิศทางที่ไม่ค่อยจะมีคุณค่าสักเท่าไหร่” เกเบรียลกล่าวในบทสัมภาษณ์หนึ่ง 

ภายใต้ทัศนคติเช่นนี้เอง เกเบรียลจึงสร้าง MSCHF ขึ้นมา โดยที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสตาร์ทอัพ แต่กระทั่งตัวผู้ก่อตั้งก็ไม่รู้จะนิยามบริษัทของเขาว่าอะไร “เป็นแบรนด์งั้นเหรอ ไม่รู้สิ ผมคิดว่าการบอกว่าเป็นบริษัทมันทำให้เสน่ห์ของ MSCHF หายไป เราแค่อยากจะทำสิ่งที่โลกนี้ไม่สามารถนิยามได้น่ะ” เกเบรียลกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Insider

ตรงตามที่เขาว่า เพราะนับตั้งแต่ MSCHF ออกสตาร์ท เขาและทีมก็ได้สร้างสรรค์โปรดักต์ปั่นๆ และโปรเจกต์ป่วนๆ ที่ไม่เพียงยียวนกวนประสาทแต่ก็ยากเกินที่จะนิยามว่าพวกเขาจะทำมันออกมาทำไม ตัวอย่างเช่น บ้องกัญชาที่ผลิตมาจากไก่ยางสีเหลืองที่ส่งเสียงโอ๊กอ๊าก add-ons บนเว็บเบราว์เซอร์ที่จะช่วยให้คุณแอบดูเน็ตฟลิกซ์ในเวลางานโดยการเปลี่ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เสมือนว่ากำลังประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อยู่ ไปจนถึงแชนแนลยูทูบที่จะมีแต่วิดีโอของชายวัยกลางคนกัดกินใบหน้าของคนดังไปเรื่อยๆ 

MSCHF

แต่พ้นไปจากตัวอย่างคร่าวๆ เหล่านี้แล้ว MSCHF ยังได้ผลิตไอเทมแปลกๆ อีกหลายชิ้น ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

Birkenstock

MSCHF

เมื่อพูดถึง Birkenstock หลายๆ คนย่อมจะนึกถึงรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ ราคา 2,000-3,000 กว่าบาทที่หาได้ไม่ยากตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ MSCHF กลับหยิบรองเท้าแตะที่ใครๆ ก็คุ้นเคยนี้มาปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่ เพราะแทนที่จะใช้หนังทั่วๆ ไป พวกเขากลับเลือกใช้หนังจากกระเป๋า Hermès Birkin ที่ราคาตั้งแต่ 9,000-500,000 ดอลลาร์มาผลิตเป็นรองเท้าคู่นี้

มองเผินๆ หน้าตาของมันแทบจะไม่แตกต่างกับ Birkenstock ธรรมดาคู่หนึ่ง แต่รองเท้าคู่นี้กลับปรากฏโลโก้ Hermès สีทองสลักไว้บริเวณหนังรองเท้า ด้วยทำมาจากกระเป๋าที่แพงมหาศาล ราคาของ Birkenstock คู่นี้จึงอยู่ระหว่าง 34,000-76,000 ดอลลาร์ ถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า MSCHF จะผลิตรองเท้าแตะ Birkenstock คู่ละเป็นล้านไปเพื่ออะไร คำตอบก็คือ เพื่อเป็นการตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมในสังคมปัจจุบัน

“เราล้อเลียนกับสินค้าและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอยู่บ่อยๆ ซึ่งกระเป๋า Birkin คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นค่านิยมของความร่ำรวยได้อย่างชัดเจนดี ถ้าคุณมีเงินมากพอที่จะซื้อกระเป๋า Birkin นั่นแปลว่ามันย่อมจะมีความหมายอะไรสักอย่างกับคุณและผู้คนที่เห็นคุณกำลังถือกระเป๋าใบนี้ เพราะฉะนั้นการที่เราเลือกจะเปลี่ยนกระเป๋าใบนี้ให้เป็นรองเท้า Birkenstock ที่ใครๆ ต่างก็ใส่กันอย่างเป็นปกติ ราคาไม่สูง แถมยังหาซื้อได้ง่าย มันจึงเป็นการตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อสังคมปัจจุบันที่คลั่งไคล้สินค้าและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงความร่ำรวยได้เป็นอย่างดี” MSCHF อธิบาย

Jesus Shoes

MSCHF

ก่อนหน้าที่จะมีรองเท้าของซาตาน MSCHF เคยผลิตรองเท้าของพระเยซูมาก่อน โดยที่คอนเซปต์ของมันก็แทบไม่ต่างอะไรจาก Satan Shoes นั่นคือใช้โมเดล Air Max 97 เพียงแต่เป็นสีขาวสนิท และมีไม้กางเขนขนาดเล็กห้อยลงมาบริเวณด้านหน้าของรองเท้า ส่วนด้านข้างก็สลักตัวอักษรสีดำว่า Matthew 14:25 ที่มีเนื้อหาว่า “เมื่อเวลาใกล้รุ่งเช้า พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปยังพวกสาวก” (And in the fourth watch of the night Jesus went unto them, walking on the sea.) แถมบริเวณส้นเท้ายังมีส่วนผสมของหยดน้ำจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในจอร์แดนอีกด้วย

เรื่องตลกก็คือ ในตอนที่ MSCHF วางจำหน่ายสนีกเกอร์คู่นี้ Nike ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านอะไร ปล่อยให้มีการขายรองเท้าคู่นี้ได้อย่างเป็นปกติ แตกต่างกับรองเท้าซาตานที่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตแทบจะในทันที MSCHF เล่าว่าโปรเจกต์นี้คือการวิพากษ์วัฒนธรรมคอลแล็บในวงการสนีกเกอร์ที่มักจะเชิญชวนศิลปินดังๆ มาร่วมงาน

“เรามองว่าการคอลแล็บมันต้องเกิดจากสองฝ่ายที่มีชื่อเสียงพอๆ กัน เพราะฉะนั้นในฐานะที่ Nike เป็นแบรนด์ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุดในโลกเนี่ย คนที่น่าจะโด่งดังสมฐานะ Nike น่ะมันมีไม่เยอะหรอก ซึ่งเราคิดว่าหนึ่งในจำนวนอันน้อยนิดก็น่าจะเป็นศาสนาคริสต์นี่แหละ” 

จากไอเทมทั้งหมดที่เล่ามาจะเห็นว่า พ้นไปจากความต้องการที่จะวิพากษ์สังคมปัจจุบันแล้ว อีกจุดร่วมหนึ่งคือความกวนตีนนั่นเอง เกเบรียลเล่าว่าจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์โปรดักต์ต่างๆ ของ MSCHF คือความสนุก 

“วิธีคิดของเราคือ เราจะสร้างความสนุกให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ยังไง จากนั้นเราก็พยายามสนุกกับกระบวนการสร้างสรรค์ แล้วถึงค่อยรอดูผลลัพธ์ที่ตามมา” เกเบรียลเล่าถึงอุดมการณ์ที่ขับเคลื่อนสตาร์ทอัพของเขา

สำหรับใครที่สนใจ MSCHF สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเกเบรียลและทีมของเขาได้ที่นี่เลย

ลำพังแค่ชื่อของมันก็สร้างข้อถกเถียงภายในสังคมได้อย่างร้อนแรงแล้วว่าเป็นเรื่องเหมาะสมจริงๆ เหรอกับการตั้งชื่อสนีกเกอร์คู่นี้ว่ารองเท้าของซาตาน ความปั่นป่วนอีกประการของสนีกเกอร์คู่นี้คือการที่โมเดลของมันคือ Air Max 97 หนึ่งในรองเท้าระดับไอคอนิกของ Nike ที่ใครๆ ต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยที่เขาและ ได้สอดแทรกสารพัดดีเทลที่สอดคล้องกับคอนเซปต์ซาตานลงไปในรองเท้าคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์กางเขนกลับหัวตรงลิ้นรองเท้า เครื่องรางรูปดาว 5 แฉกที่ห้อยลงมาบริเวณด้านหน้าของรองเท้า ตัวอักษรสีแดงที่เขียนว่า Luke 10:18 ซึ่งเป็นบทหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่มีข้อความว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” (I saw Satan fall like lightning from heaven.) ไปจนถึงการใส่หยดเลือดของมนุษย์จริงๆ ลงไปผสมกับน้ำหมึกสีแดงบริเวณส้นรองเท้า
แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงของลิล นาส เอกซ์ และคอนเซปต์ที่โคตรจะปั่นของสนีกเกอร์คู่นี้ Satan Shoes ทั้ง 666 คู่ขายหมดเกลี้ยงในทันทีที่วางจำหน่าย ปัญหาอยู่ที่ว่าพอ Nike ผู้เป็นเจ้าของโมเดล Air Max 97 รับรู้เรื่องรองเท้าคู่นี้เข้าก็เกิดความไม่พอใจและตัดสินใจฟ้องร้องในทันที นั่นเพราะ Nike มองว่าการกระทำนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ Nike เท่านั้น หากยังสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคที่เข้าใจว่า Nike กำลังออกตัวสนับสนุนแนวคิดเรื่องซาตานผ่านรองเท้าคู่นี้อีกด้วย
เรื่องราวการฟ้องร้องสิ้นสุดลงที่ชัยชนะของ Nike โดยที่แม้ว่า จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หากชื่อของ ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ปล่อยไอเทมปั่นๆ ออกมาก่อกวนแบรนด์ต่างๆ และผู้บริโภคในตลาด เราจะพาไปทำความรู้จักกับแบรนด์สัญชาติอเมริกันสุดกวนแบรนด์นี้กัน
ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดย Gabriel Whaley เด็กหนุ่มอดีตพนักงาน BuzzFeed ที่หลังจากทำงานไปได้สักพักก็ตัดสินใจลาออกเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการสักเท่าไหร่ เกเบรียลเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองผ่านโปรเจกต์ที่ทำขึ้นอย่างขำๆ ในทวิตเตอร์ นั่นคือเขาจะให้คำแนะนำแย่ๆ กับทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่เขาได้รับ ต่อมาเด็กหนุ่มก็ได้สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่งซึ่งจะใช้ได้หลัง 5 ทุ่มเท่านั้น เกเบรียลสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาภายใต้แนวคิดที่อยากจะลองสร้างโซเชียลมีเดียจำลองเพื่อใครสักคนที่รู้สึกเหงาและอยากหาคนคุยยามดึกๆ โดยที่ลึกๆ ก็แฝงไว้ด้วยความพยายามที่จะเสียดสีสังคมปัจจุบันที่ปฏิสัมพันธ์อยู่กับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา “มุมมองของเราคือ ทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องสนุกในทิศทางที่ไม่ค่อยจะมีคุณค่าสักเท่าไหร่” เกเบรียลกล่าวในบทสัมภาษณ์หนึ่ง 
ภายใต้ทัศนคติเช่นนี้เอง เกเบรียลจึงสร้าง ขึ้นมา โดยที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสตาร์ทอัพ แต่กระทั่งตัวผู้ก่อตั้งก็ไม่รู้จะนิยามบริษัทของเขาว่าอะไร “เป็นแบรนด์งั้นเหรอ ไม่รู้สิ ผมคิดว่าการบอกว่าเป็นบริษัทมันทำให้เสน่ห์ของ หายไป เราแค่อยากจะทำสิ่งที่โลกนี้ไม่สามารถนิยามได้น่ะ” เกเบรียลกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Insider
ตรงตามที่เขาว่า เพราะนับตั้งแต่ ออกสตาร์ท เขาและทีมก็ได้สร้างสรรค์โปรดักต์ปั่นๆ และโปรเจกต์ป่วนๆ ที่ไม่เพียงยียวนกวนประสาทแต่ก็ยากเกินที่จะนิยามว่าพวกเขาจะทำมันออกมาทำไม ตัวอย่างเช่น บ้องกัญชาที่ผลิตมาจากไก่ยางสีเหลืองที่ส่งเสียงโอ๊กอ๊าก add-ons บนเว็บเบราว์เซอร์ที่จะช่วยให้คุณแอบดูเน็ตฟลิกซ์ในเวลางานโดยการเปลี่ยนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เสมือนว่ากำลังประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อยู่ ไปจนถึงแชนแนลยูทูบที่จะมีแต่วิดีโอของชายวัยกลางคนกัดกินใบหน้าของคนดังไปเรื่อยๆ 
เมื่อพูดถึง Birkenstock หลายๆ คนย่อมจะนึกถึงรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ ราคา 2,000-3,000 กว่าบาทที่หาได้ไม่ยากตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ กลับหยิบรองเท้าแตะที่ใครๆ ก็คุ้นเคยนี้มาปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่ เพราะแทนที่จะใช้หนังทั่วๆ ไป พวกเขากลับเลือกใช้หนังจากกระเป๋า Hermès Birkin ที่ราคาตั้งแต่ 9,000-500,000 ดอลลาร์มาผลิตเป็นรองเท้าคู่นี้
มองเผินๆ หน้าตาของมันแทบจะไม่แตกต่างกับ Birkenstock ธรรมดาคู่หนึ่ง แต่รองเท้าคู่นี้กลับปรากฏโลโก้ Hermès สีทองสลักไว้บริเวณหนังรองเท้า ด้วยทำมาจากกระเป๋าที่แพงมหาศาล ราคาของ Birkenstock คู่นี้จึงอยู่ระหว่าง 34,000-76,000 ดอลลาร์ ถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า จะผลิตรองเท้าแตะ Birkenstock คู่ละเป็นล้านไปเพื่ออะไร คำตอบก็คือ เพื่อเป็นการตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมในสังคมปัจจุบัน
“เราล้อเลียนกับสินค้าและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอยู่บ่อยๆ ซึ่งกระเป๋า Birkin คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นค่านิยมของความร่ำรวยได้อย่างชัดเจนดี ถ้าคุณมีเงินมากพอที่จะซื้อกระเป๋า Birkin นั่นแปลว่ามันย่อมจะมีความหมายอะไรสักอย่างกับคุณและผู้คนที่เห็นคุณกำลังถือกระเป๋าใบนี้ เพราะฉะนั้นการที่เราเลือกจะเปลี่ยนกระเป๋าใบนี้ให้เป็นรองเท้า Birkenstock ที่ใครๆ ต่างก็ใส่กันอย่างเป็นปกติ ราคาไม่สูง แถมยังหาซื้อได้ง่าย มันจึงเป็นการตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อสังคมปัจจุบันที่คลั่งไคล้สินค้าและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงความร่ำรวยได้เป็นอย่างดี” อธิบาย

AUTHOR