20th Century Women : ความสัมพันธ์ของคนต่างวัยที่ร้อยเรียงมาให้เราเข้าใจกันและกัน

Director: Mike Mills
Region: USA
Genre: Drama / Comedy

ความซับซ้อนวายป่วง ความต่างเรื่องเพศและช่วงวัย เราต่างเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจในตัวเรา เราอยากเข้าใจคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยเข้าใจตัวเอง

เอาจริงๆ แล้วไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย เรื่องแม่ไม่เข้าใจลูก คนสูงวัยไม่เข้าใจวัยรุ่น ก็ยังเป็นอะไรที่คลาสสิก แต่ 20th Century Women
ก็มีอะไรมากกว่าการไปนั่งดูเด็กดื้อหัวรั้นที่แม่ตามง้อ

ตลอดทั้งเรื่องที่เราหัวเราะขบขันกับชะตากรรมของตัวละครผ่านบทสนทนาตลกกลบเกลื่อน ประชดประชัน
ไร้เดียงสา ที่ยอกย้อนเสียดแทงความรู้สึกที่เราเองก็กำลังเผชิญหรืออาจจะเคยโดนซัดมาไม่ต่างกัน
ทำให้เราต่อติดกับความรู้สึกของตัวละครได้ไม่ยาก
ซีนที่เป็นหมัดฮุกก็จุกอกอยู่เหมือนกัน

20th Century Women เล่าเรื่องของ Jamie (รับบทโดย
Lucas Jade Zumann) ลูกชายวัยรุ่นไม่ประสีประสาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
โดยมี Dorothea (รับบทโดย Annette Bening) แม่เลี้ยงเดี่ยวที่เพิ่งจะมีลูกตอนอายุ 40 Abbie (รับบทโดย Greta Gerwig) ช่างภาพสาวผมแดง
ผู้กำลังพักฟื้นจากมะเร็งปากมดลูก และ Julie (รับบทโดย Elle Fanning) เพื่อนสาวต่างวัยของเจมี่ที่สนิทกันตั้งแต่เด็กและชอบแอบมานอนค้างคืนที่ห้องของเจมี่

บรรยากาศของหนังเป็นช่วงปี 1979 ในเมืองซานตาบาร์บาร่า รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อย่าง เช่น
วิกฤตการณ์ขาดแคลนพลังงานอันเนื่องมาจากการปฏิวัติในประเทศอิหร่าน และวัฒนธรรมพังก์ที่กำลังเบิกบาน
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ บวกกับช่องว่างระหว่างวัยที่มาก โดโรเธียเกิดความวิตกกังวลว่าเธอจะไม่สามารถเลี้ยงดูเจมี่อย่างแม่ที่เข้าใจลูกได้ เธอจึงขอร้องให้แอ๊บบี้และจูลี่ช่วยเธอเลี้ยงดูเจมี่ให้เติบโตเป็นคนที่ดี
ความสัมพันธ์ของคนทั้งห้าในหลากหลายรูปแบบจึงก่อตัวขึ้นแบบที่ต่างคนต่างก็เป็นครูในวิชาชีวิตของกันและกัน

การที่หนังเล่าด้วยเสียงวอยซ์โอเวอร์มากกว่าหนึ่งตัวละคร
ช่วยกระชับโครงเรื่องหลักได้ดีมาก ทำให้เราเห็นการตอบโต้ระหว่างตัวละครและความขัดแย้งชัดเจน หนังแนะนำตัวละครหลักไปทีละคนๆ สลับกับฟุตเทจวิดีโอและภาพนิ่งเก่าๆ ค่อยๆ เล่าให้ลึกขึ้นรวมกับบทพูดที่ตลกร้าย ยิ่งดูยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ หนังเฉลี่ยบทบาทตัวละครได้ดีแบบไม่มีใครแย่งซีนใคร ยกเว้นน้องแอลล์ที่ออร่าความน่ารักนั้นดีต่อใจคนดูอย่างเราจริงๆ นับได้ว่าเป็นหนังที่มีจังหวะจะโคนที่ดีเลยแหละ

เพลงประกอบที่หลากหลายแนวก็ช่วยแบ่งให้เห็นความแตกต่างตัวละครอย่างชัดเจน
และสิ่งที่เราชอบในเรื่องเพลงอีกอย่างคือการเลือกเพลงช่วงปี
1979
มาใช้ประกอบภาพยนตร์จริงๆ ทำให้เรารู้สึกเข้าใจสภาพสังคมของคนในช่วงยุคนั้นมากขึ้น งานภาพ ฉากหลังของเรื่องเป็นฤดูร้อนในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ก็ถือว่างดงามชวนเพ้อฝัน ความวายป่วงของช่วงชีวิตและเรื่องเพศนั้นจี้ถูกเส้นมาก ดูจบแล้วหลงรักหนังได้ไม่ยาก

หลังออกจากโรง ความรู้สึกที่หนังมอบให้อย่างงดงามยังอยู่กับเราไปอีกหลายชั่วโมง เหมือนเก็บบทสนทนามาขบคิดกับตัวเองต่อได้อีกโดยไม่รู้ตัว

นี่คงจะเป็นเสน่ห์ของหนังที่สังเคราะห์ออกมาจากความทรงจำจากจิตใจของคนทำและส่งถึงคนดูได้อย่างมีชั้นเชิง
ให้ความรู้สึกคล้ายกับได้อ่านไดอารี่ที่ตัวละครทุกตัวช่วยกันเขียนถึงช่วงเวลานั้นผ่านมุมมองของทุกคนที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตร่วมกัน

AUTHOR