Director: Sunao Katabuchi
Genre: Animation / Drama
Region: Japan
ถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเป็นช่วงเวลาโหดร้ายสำหรับชาวญี่ปุ่นที่ทิ้งรอยแผลกรีดลึกไว้ในใจคนยุคนั้นมากมายและยังส่งต่อมาถึงปัจจุบันไม่น้อย
แต่ภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องก็ยังเลือกหยิบเอาเหตุการณ์นี้มาฉายซ้ำอีกครั้ง
ให้เห็นความโหดร้ายของสงครามควบคู่ไปกับความหวัง (แบบญี่ปุ่นๆ) ของคนที่ยังต้องมีชีวิตต่อไป
ล่าสุดกับแอนิเมชันเจ้าของรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที Kinema Junpo Best 10 ครั้งที่
90
เรื่อง
In This Corner of The World (Kono Sekai no Katasumi ni) ที่เราคนไทยได้ดูเป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาล Japanese Film Festival 2017 ก็ยังคลุมเนื้อหาไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ
แต่ความธรรมดาของลายเส้นและการเล่าออกมาอย่างจริงใจของผู้กำกับ
ก็ทำให้เรายินดีจะตกหลุมพรางและเสียน้ำตาให้จนได้
In This Corner of The World คือเรื่องของซึสึ
หญิงสาวธรรมดาผู้ไร้เดียงสา ชีวิตวัยเด็กของซึสึที่จังหวัดฮิโรชิม่าสนุกไปกับการวาดภาพและเล่นกับเพื่อนๆ
จนเมื่ออายุ 18 ปี มีชายชื่อ ซูซะกุ มาขอเธอแต่งงาน ซึสึต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามีที่เมืองคุเระซึ่งเป็นฐานทัพเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 เรียนรู้ที่จะดูแลคนอื่น ทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ
พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มาพร้อมสงครามที่คืบคลานเข้ามา
หนังเปิดตัวด้วยบทเพลงเย็นๆ Kanashikute Yarikirenai ที่กล่อมให้เราเศร้าได้โดยไม่รู้สาเหตุ
ลายเส้นสองมิติน่ารักๆ แสนเรียบง่ายทำให้โทนของหนังออกมาอ่อนละมุนดูสบายๆ
ดูได้ไม่เบื่อ ที่เซอร์ไพรส์มากคือมุขตลกแสนจริงใจที่ใส่เข้ามาเยอะกว่าที่เราคาดไว้
กลายเป็นข้อดีที่ทำให้เราลดความคาดหวังว่าหนังจะขยี้น้ำตาเกินไป
เสียงหัวเราะส่วนใหญ่มาจากความซื่อใสของซึสึตามแบบฉบับเด็กสาวต่างจังหวัดที่รับมือกับโลกใหม่ๆ
ไม่ถูก ทั้งสามีแสนเย็นชา พี่สะใภ้จอมเข้มงวด
การออกไปซื้อของที่ตลาดมืด หรือแม้แต่ไปวาดภาพจนถูกตำรวจจับข้อหาว่าเป็นสายสืบ
สิ่งที่ทำงานกับเรามากที่สุดใน In This Corner of The World คือการเลือกโฟกัสชีวิตชาวบ้านญี่ปุ่นธรรมดาๆ
ที่แทบไม่รู้เรื่องรู้ราวกับสงคราม แต่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้และยอมรับการเปลี่ยนแปลงในภาวะที่ไม่รู้ว่าจะมีสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นเมื่อไหร่
ไม่ว่าเหตุการณ์จะร้ายหรือดี ทุกคนยังต้องตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไป
คือปรัชญาของดินแดนปลาดิบที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ยังเป็นอยู่
ถึงอย่างนั้น หนังไม่ได้เค้นอารมณ์คนดูด้วยซีนซึ้งเศร้าเรียกน้ำตา
แต่เล่าอย่างธรรมดาที่สุดผ่านชีวิตประจำวันของซึสึและครอบครัวของซูซะกุตามวันเวลาที่เคลื่อนไป
นี่เองที่ทำให้เมื่อหนังเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง
ผู้กำกับก็ยังเลือกใส่เข้ามาให้คนดูในช่วงเวลาที่เราไม่ทันตั้งตัว และปล่อยให้ฉากนั้นผ่านไปเหมือนฉากอื่นๆ
แต่กลับส่งผลสะเทือนในใจเราอย่างรุนแรงจนใจหายและกดเราให้จมไปกับที่นั่งในโรงภาพยนตร์ได้เลย
บทสรุปของสงครามเป็นสิ่งที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว
ฉากที่ซึสึพรั่งพรูความเสียใจออกมาหลังจากจักรพรรดิฮิโรฮิโตะประกาศยอมแพ้สงคราม คือความรู้สึกสับสนที่ปะปนไปด้วยความเจ็บใจและผิดหวังต่อประเทศชาติ
แต่มากกว่านั้น มันคือน้ำตาของคนธรรมดาที่รับรู้มาตลอดว่า สุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในเกมที่พวกเขาเล่นกันโดยไม่สนใจคนตัวเล็กๆ
ที่กลายเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
คำพูดหนึ่งที่ซึสึพูดขึ้นมาและเราจำได้แม่นคือ
“ถึงอยู่ในช่วงสงคราม จักจั่นก็ยังคงร้อง ผีเสื้อก็ยังโบยบิน” เป็นประโยคที่บอกว่าความธรรมดาทุกอย่างยังมีอยู่และดำเนินไปของมัน
แม้ว่าเรากำลังเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน
ขอให้สายตายังมองเห็นแง่มุมงดงามของโลกใบนี้
เป็นมุมเล็กๆ มุมเดียวที่เราได้อยู่กับคนรอบข้างอย่างปลอดภัย สบายใจ และมีพื้นที่ให้ได้เผลอจินตนาการว่ากำลังอยู่ในโลกความฝันของตัวเองบ้าง
มันก็เป็นชีวิตที่ดีแล้วล่ะ
In This Corner of The World ยังมีรอบฉายใน Japanese Film Festival 2017
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ รอบ 16.10 น.
และจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไทยหลังจากนี้ด้วย
ดูรายชื่อภาพยนตร์ญี่ปุ่นคุณภาพเยี่ยมในเทศกาลนี้ได้เพิ่มเติมที่ th.japanesefilmfestival.org