Director: Damien Chazelle
Region: USA
Genre: Romance / Drama / Musical
คงไม่ต้องพูดถึงความดีงามและกระแสชื่นชมปากต่อปากของผู้ชมในไทยถึงภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมส่งท้ายปี
2016 อย่างสวยงามเรื่องนี้แล้ว
La La Land ผลงานของ เดเมียน ซาเชลล์ ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานที่เราจดจำได้ขึ้นใจอย่าง
Whiplash (2014) มาแล้ว
คราวนี้เขาเปลี่ยนแนวมากำกับภาพยนตร์โรแมนติกมิวสิคัลที่เราแอบประหลาดใจไม่น้อย
และยิ่งมากขึ้นเมื่อภาพยนตร์จบลง เราถูกมนต์เสน่ห์ของดนตรีแจ๊ส ความฝันของตัวละคร และฉากหลังของเมืองลอสแองเจลิสที่แดเมียนสร้างขึ้นตลอดสองชั่วโมง สะกดให้นั่งซึมลึกถึงความสวยงามและเจ็บปวดไปพร้อมกัน
La La Land เล่าเรื่องหนุ่มสาวที่ต่างเดินทางมาในมหานครแห่งแสงสีอย่างลอสแองเจลิส
ไล่คว้าความฝันของตัวเองที่อยู่แสนไกลให้ค่อยๆ ใกล้เข้ามา มีอา (รับบทโดย เอมมา
สโตน) บาริสต้าสาวผู้ฝันอยากเป็นนักแสดงมืออาชีพแม้จะเจ็บช้ำกับการแคสติ้งไม่ผ่านหลายสิบครั้ง
กับ เซบาสเตียน (รับบทโดย ไรอัน กอสลิ่ง) นักเปียโนหนุ่มผู้หลงใหลเพลงแจ๊สและอยากเปิดคลับแจ๊สของตัวเอง
เสียงเปียโนพาพวกเขามาเจอกัน พูดคุยด้วยภาษาเดียวกัน และตั้งใจจะใช้ชีวิตเพื่อความฝันร่วมกัน
โดยไม่มีใครคิดว่าเส้นทางข้างหน้าจะเลี้ยวลดคดเคี้ยวและเปลี่ยนพวกเขาไปขนาดไหน
เอาเข้าจริง พล็อตเรื่องหนุ่มสาวที่ตามหาความฝันแสนหวานและต้องพิสูจน์ระหว่าง
‘สิ่งที่ชอบ’ กับ ‘สิ่งที่อยู่รอด’ ไปพร้อมกันไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่สิ่งที่ทำให้
La La Land พิเศษขึ้นมาในสายตาเราอยู่ที่ความเฉิ่มเชยแต่จริงชะมัดของสิ่งที่หนังบอกเล่านี่แหละ
หนังดึงดูดตัวละครสองคนให้มาเดินเคียงข้างกัน
แล้วต่างฝ่ายก็ค่อยๆ ผลักให้อีกคนเดินไปในอีกทิศทางโดยไม่ตั้งใจในวันและวัยที่ต้องตัดสินใจจะเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่าเดิม
เราต้องยอมรับว่าบ่อยครั้ง การสัตย์ซื่อกับความฝันก็ไม่ใช่หนทางเดินไปหามันได้อย่างสมบูรณ์
มีทางอ้อม ทางลัด และทางด่วนมากมายให้เราไปถึง เมื่อทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง
เราเลยไม่อาจนิยามสิ่งที่เซบาสเตียนและมีอาตัดสินใจทำได้ว่าพวกเขาทรยศความฝันตัวเอง
พวกเขาต่างแค่ทำในสิ่งที่คิดว่าน่าจะดีกับอีกฝ่าย
โดยไม่ได้คิดว่าจะทำร้ายกันแต่อย่างใด
ความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ
ก็อยากจะไขว่คว้ามันท่ามกลางดาวนับล้านในมหานครแห่งดารา แต่เมื่อรับมา พวกเขาปฏิบัติกับมันยังไงต่อ
รักษาไว้ ไม่ใส่ใจ เชิดชูขึ้นบนหิ้ง หรือปล่อยไปเมื่อถึงเวลา หนังยิงคำถามใส่คนดูว่าถ้าโอกาสมาถึง
เราจะไม่ลองดูสักครั้งหนึ่งเชียวหรือ? แม้ว่าอาจต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองสักอึก ทิ้งตัวเองที่เติบโตมาด้วยกัน
หรือแม้แต่คนรอบข้างไว้กลางทางบ้างก็ตาม
นอกจากการแสดงของสองนักแสดงหลักที่กินขาดซึ่งส่งให้เซบาสเตียนและมีอามีชีวิตจิตใจจริงๆ
ผ่านนัยน์ตาซ่อนความเศร้าของไรอัน และดวงตากลมโตที่แค่มีหยดน้ำตาคลอเบ้าก็ทำเราใจสั่นของเอมมาแล้ว
ดนตรีแจ๊สจังหวะดีๆ
ที่รวมพลังกับการถ่ายทำฉากมิวสิคัลแบบลองเทกที่ไม่ทำให้เราสะดุดก็เป็นส่วนที่หลายคนน่าจะประทับใจในภาพยนตร์เรื่องนี้
ส่วนตัวเรามีบางฉากที่คึกคักเสียจนอยากลุกจากที่นั่งชวนคนข้างๆ จับคู่เต้นสวิงเลยล่ะ
รวมไปถึงองค์ประกอบศิลป์แสนฉูดฉาดที่ผ่านการคิดมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฉากของเมืองไร้กาลเวลาที่มีทั้งโลเคชันทันสมัยและคลาสสิกผสมกัน
การออกแบบแสงในหลายๆ
ฉากที่ใช้สปอตไลต์ส่องไปยังตัวละครทำให้ดูเหมือนกำลังชมละครเวที โดยเฉพาะในฉากที่เอมีกับเซบาสเตียนควงจังหวะสวิงหน้าดวงจันทร์กลมโตแสนสวยงามนั้นช่างเพลิดเพลินเสียจริง
และยังไม่นับเสื้อผ้าสีจัดสุดวินเทจที่คนรักแฟชั่นตีตั๋วเข้าไปดูชุดสวยๆ
ที่เอมมาใส่ก็คุ้มแล้ว
เรานั่งนิ่งปล่อยให้เดเมียนปล่อยหมัดฮุกใส่เราด้วยเรื่องราวความฝันและการเติบโตของเซบาสเตียนกับมีอา
แต่แค่นั้นเขาคงยังไม่หนำใจ ปล่อยท่าไม้ตายสุดท้ายอีกครั้งด้วยซีเควนซ์สุดท้ายก่อนหนังจบที่ทำเราแพ้อย่างหมดรูป
เป็นซีเควนซ์ของหนังที่เราชอบมากและเพิ่มคะแนนให้หนังในตอนสุดท้ายโดยไม่รู้ตัว
เพราะมันทำให้เราได้กลับมานั่งใคร่ครวญถึงชีวิตที่ผ่านมา
ว่าเราปล่อยให้ความสัมพันธ์ของใครบางคนขาดหายไปแค่ในจินตนาการที่ไม่เป็นจริงบ้างหรือเปล่า
La La Land เปิดรอบพิเศษในไทยตั้งแต่วันที่
29 ธันวาคม 2559 รอบ 20.00 น. เป็นต้นไป เข้าฉายจริง 12 มกราคม
2560