ผู้คน ศิลปะ พื้นที่สาธารณะ และหลายเหตุผลที่ทำให้เม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองน่าอยู่

“พวกเขาต่างคิดว่าฉันเป็นนักสร้างสรรค์ศิลปะเหนือจริง แต่ไม่นะ ฉันไม่เคยวาดภาพความ (เพ้อ) ฝันเลย ฉันแต่งแต้มสีรูปภาพสภาพจริงของชีวิตฉันต่างหากเล่า” (ฟริดา คาห์โล)

เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ชื่อเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) เรียกเป็นภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาราชการคือ Ciudad de Mexico หรือชื่อย่อว่า CDMX นับเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีประชากรย่านใจกลางรวมไปถึงปริมณฑลราวยี่สิบล้านคน

เราอาจคิดว่าคนจะอยู่กันแออัดยัดเยียดเป็นปลาซาร์ดีนราดพริกในกระป๋อง แต่ไม่ใช่เลย มองในสายตาผู้มาเยือน ที่นี่เป็นเมืองน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งด้วยเหตุผลหลายประการ และแม้เมื่อพักอาศัยนานขึ้น เริ่มมองเห็นสภาพปัญหากับแง่มุมท้าทายซึ่งเมืองกำลังประสบ เม็กซิโกซิตี้มีความอัปลักษณ์และมุมไม่น่ามองไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ผมยังคงมองว่า CDMX เป็นเมืองที่ใครๆ สามารถตกหลุมรักเมื่อมาเยือนได้อย่างง่ายดายอยู่ดี

ความชื่นชอบแรกๆ เกิดขึ้นเพียงเพราะได้คลายร้อน สภาพอากาศในช่วงหน้าฝนกำลังพอดี ไม่ร้อนเกิน ไม่หนาวเกิน ค่าที่ตั้งอยู่บนความสูงเฉลี่ยเกินสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล จึงเหมือนกับได้ขึ้นไปเที่ยวพักผ่อนเล่นในเมืองตากอากาศบนดอย ปกติช่วงกลางวันแดดดี ตกบ่ายเริ่มมืดครึ้ม ช่วงเย็นๆ แทบทุกวันฝนฟ้ากระหน่ำ แต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง กลางคืนยังนอนห่มผ้าห่มหนาหลับสบายโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศช่วยแต่อย่างใด 

ความดีงามอย่างที่สอง คือเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อคนใช้จักรยานมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่ผมเคยเจอมา อาจจะเทียบไม่เท่าอัมสเตอร์ดัมหรือโคเปนเฮเกน แต่เลนจักรยานครอบคลุมแทบจะทั่วทั้งเมือง ดีต่อคนใช้จักรยานสัญจร โดยเฉพาะต่อบรรดานักปั่นจักรยานส่งของทั้งหลาย เพราะนอกจากจะไปได้ไวแล้ว ยังปลอดภัยมากสำหรับพวกเขาด้วย

ทุกวันอาทิตย์จะมีการปิดถนนใหญ่หลายจุด เพื่อให้คนออกมาปั่นจักรยาน วิ่งออกกำลังกาย หรือพาสุนัขออกมาเดิน ดีต่อสภาพกายใจคนเมือง ได้ทั้งสุขภาพ และยังเป็นการสร้างการตระหนักแก่ทุกคนให้ร่วมแบ่งปันพื้นที่สัญจรสาธารณะกันด้วย ที่สำคัญ การใส่ใจในรายละเอียดอย่างจริงจังเรื่องถนนหนทางนี้ ยังเอื้อประโยชน์และเป็นการคำนึงถึงสิทธิของผู้พิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถเข็นก็ดูจะไม่เป็นประเด็นปัญหา ดังนั้น คนพิการหรือคนชราที่ต้องมีคนเข็นก็สามารถไปไหนต่อไปภายในเมืองนี้ได้อย่างค่อนข้างสบายใจ

ความประทับใจอีกอย่างแค่แรกพบ คือพื้นที่สีเขียว เม็กซิโกซิตี้สวนสาธารณะเต็มบ้านเต็มเมือง ต้นไม้ ม้าหิน หรือเก้าอี้ยาวมีอยู่ทั่วไป ลานน้ำพุ อนุสาวรีย์ เหล่านี้ล้วนเสริมเสน่ห์ให้แก่เมือง นอกจากเป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังเอื้อโอกาสให้คนตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายได้ทำมาหากิน ภาครัฐจัดสรรและอนุญาตให้มีตู้ขายของริมถนน ช่างขัดรองเท้ามีพื้นที่ทำงานและคนเม็กซิกันทั้งชายและหญิงก็นิยมขัดรองเท้ากันเสียด้วย ตามสวน บรรดาพ่อค้าแม่ขายเข็นรถเข็นขายขนมหรือน้ำ ซึ่งไม่แน่ใจว่าถูกกฎหมายไหม แต่ก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ปริมาณรถเข็นและคีออสค์ขายของริมทางเท้า ปริมาณสตรีทฟู้ดดาษดื่นชนิดที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับเมืองไทย สีสันฉูดฉาด กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ดนตรี นักแสดงริมทาง ความขวักไขว่บนท้องถนน ล้วนเป็นเสน่ห์ของเม็กซิโกซิตี้ สามารถกระแทกประสาทสัมผัสให้เปิดกว้าง 

คนจับกลุ่มทำกิจกรรมกันตามความสนใจ เช่น นักเต้นลีลาศสูงวัยหน้าโบสถ์เก่าแก่ นักสเก็ตบอร์ดวัยโจ๋ที่ลานในสวนอลาเมดา (Alameda Park) กลุ่มนักเพาะกายกำลังเล่นเครื่องเล่นที่มุมของอีกสวนสาธารณะโดยอาจจะมีแรงจูงใจจากการได้โชว์ซิกซ์แพ็กให้ใครที่ผ่านไปมา ชมรมคนนิยมตุ๊กตาก็รวมกันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อซื้อขายและชี้ชวนแสดงความเห็นของเล่นของแต่ละคน นักเล่นกระดานหมากรุกใช้เวลาช่วงบ่ายใต้ต้นไม้หน้าพิพิธภัณฑ์ประลองฝีมือกัน นักอาชีพจูงหมาเดินพบปะกันพร้อมกับฝูงเจ้าตูบหลากหลายสายพันธุ์ หรือแม้กระทั่งคนนิยมกัญชาก็รวมตัวกันตามมุมเมืองเพื่อสื่อสารสิทธิของพวกเขา กลุ่ม LGBTQ ก็มีย่านพบปะสังสรรค์ด้วย

ความโดดเด่นของเม็กซิโกซิตี้อีกอย่าง คือปริมาณพิพิธภัณฑ์ มากชนิดที่ถ้าจะไปให้ครบทุกที่คงต้องอยู่กันเป็นปี เพราะแต่ละแห่งมีสิ่งของ รายละเอียด เห็นไอเดียการจัดแสดง การได้ค่อยๆ ละเลียดเดินดูและอ่านคำอธิบายนับเป็นกิจกรรมเสริมความรู้ที่น่าอภิรมย์อย่างหนึ่ง เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม ศิลปะ ดนตรี และอื่นๆ อีกมากมายได้จากการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ยังเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีในการสร้างแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจอีกด้วย

เมืองนี้กินเนื้อที่กว้างใหญ่หลายสิบตารางกิโลเมตร หลายย่านน่าสนใจแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น ย่านโกโยอากาน (Coyoacán) ห่างจากใจกลางเมืองราวสิบห้ากิโลเมตร ตึกรามบ้านช่องย้อนยุคสไตล์โคโลเนียล ถนนปูด้วยก้อนหิน ร้านรวงเก๋คลาสสิก น่าเดินน่าจับจ่าย

แต่หนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมายังย่านนี้ คือบ้านของจิตรกรหญิงในตำนานอย่างฟริดา คาห์โล ซึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ รู้จักกันในฐานะบ้านสีน้ำเงิน (The Blue House – MUSEO FRIDA KAHLO) คนต่อแถวกันยาวเหยียดทุกวัน จัดเป็นวันละหลายรอบ มีเวลาจำกัดในการชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเธอเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก โดยภาพวาดแทบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งล้วนเข้มข้นชนิดนิยายเรื่องใดๆ ไม่อาจเทียบเคียงได้ ตัวฟริดาเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตได้สุดจริงๆ แสดงออกถึงความเป็นปุถุชน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างชัดเจน ประสบกับทั้งความรักยิ่งยวดและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ส่วนตัวผมชื่นชอบ (หลงใหล) กาแฟ ดังนั้น การทำ cafe hopping เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุก อยากทำความรู้จักวัฒนธรรมกาแฟของที่นี่ โดยเริ่มจากการค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เลือก แล้วทำรายการร้านกาแฟที่อยากไป เซ็ตขึ้นมาให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายประจำวัน เช่น วันนี้ไปร้าน Drip เพราะข้อมูลบอกว่าคนทำกาแฟเจ้านี้จริงจังถึงขั้นมีไร่กาแฟของตัวเอง อีกวันไปร้าน Memorias de un Barista เพราะนอกจากกาแฟดีแล้วชื่อร้านยังน่าไปเยือน อีกวันไป Avellaneda เพราะเห็นว่าเจ้าของร้านครองตำแหน่งแชมป์ Brewer’s Cup ระดับประเทศสองปีซ้อน อีกวันไป Café La Habana เนื่องจากเป็นร้านเก่าแก่หลายสิบปี โดยช่วงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) และเช เกบารา (Che Guevara) เคยมานั่งจิบกาแฟ ถกการเมือง และเตรียมการปฏิวัติคิวบากันที่นั่น

การสร้างเป้าหมายประจำวันมีส่วนทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ใช้ชีวิตล่องลอย อีกอย่าง ผมใช้หมุดหมายเล็กๆ เหล่านั้นเป็นโอกาสสังเกตสิ่งละอันพันละน้อยที่ผ่านไปพบเจอระหว่างทางขณะไปยังร้านกาแฟด้วย บางวันโชคดีเจอร้านกาแฟน่าสนใจโดยบังเอิญก็มี แน่นอน แบรนด์ใหญ่อย่าง Starbucks ยังครองเมือง เพราะทุนหนากว่า การจัดการองค์กรดีกว่า ดูดีมีระดับโดยประการทั้งปวง สามารถไปแปะสาขาตามตึกใหญ่หรือติดกับโรงแรมห้าดาวได้ ผมเลือกเข้าร้านกาแฟและโรงคั่วเล็ก เพราะได้เรียนรู้เรื่องราวแหล่งกาแฟของประเทศเม็กซิโกมากขึ้นจากการพูดคุยกับเจ้าของร้านหรือบาริสต้า สังเกตว่าคนทำกาแฟประเทศนี้ภูมิใจนำเสนอกาแฟจากแหล่งต่างๆ ของเม็กซิโก แทบจะไม่เจอกาแฟจากประเทศผู้ผลิตข้างเคียงในร้านกาแฟเหล่านี้เลย 

อันที่จริงยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์น่าสนใจ ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม เช่น เมืองโบราณอันเป็นที่ตั้งของมหาพีระมิดเตโอติวากาน (Teotihuacan) ซึ่งอยู่นอกเมือง ไม่ไกลนัก แต่รอบนี้ผมยังไม่ได้มีโอกาสไป หรือสถานที่บางแห่งในตัวเมืองอย่างพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาแห่งชาติ (National Museum of Anthropology) ก็ยังไม่ได้เข้าชม ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถเก็บไว้ในลิสต์ เผื่อจะได้เป็นข้ออ้างในการกลับมาเยือนเม็กซิโกซิตี้อีกนั่นเอง

หากมองในสายตานักท่องเที่ยว เม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองสนุก เต็มไปด้วยสีสัน มีแทบทุกอย่างที่คนต่างถิ่นผู้มาเยือนต้องการ อยู่แช่ได้เป็นเดือนไม่มีเบื่อ หรือแม้จะจากไปแล้ว ก็ยังคงกลับมาเยือนได้อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมพักอยู่ในเมืองนี้สิบวัน ไม่รู้สึกว่ามากเกิน ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าถึงเวลาแล้ว ยังมีหมุดหมายอื่นรออยู่ ขณะออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป ผมบอกกับเมืองนี้เบาๆ ว่า “ขอบคุณมาก แล้วพบกันใหม่นะ CDMX”

AUTHOR