ถอดรหัสความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว เทพเจ้า และความรัก ตามความเชื่อเก่าแก่ของญี่ปุ่นในเรื่อง Your Name

วินาทีนี้ไม่มีแอนิเมชันเรื่องไหนจะมาแรงไปกว่า Your Name

พล็อตเรื่องน่ารักๆ เกี่ยวกับความรักของนักเรียน ม.ปลายที่สลับร่างมาลุ้นรักข้ามภพมาคบกันผ่านความฝันด้วยอภินิหารจากดวงดาวและพลังเหนือธรรมชาติ อาจจะทำให้โดนใจสาวๆ ง่ายอยู่แล้ว พอผสานกับความละมุนละไมของชีวิตในชนบท ความสวยงามทางธรรมชาติ และเพลงที่โดนทุกดอก ก็บึ้ม! ฮิตถล่มทลาย ทำเอาก็อตซิลล่าภาคใหม่ที่เข้าฉายไล่เลี่ยกันจ๋อยไปเลย

จุดกระแทกใจในหนังของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจเป็นพิเศษคือ การแทรกวัฒนธรรมเก่าแก่และเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและธรรมชาติแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นต่างๆ เช่น ความเชื่อเรื่องวิญญาณในธรรมชาติและจักรวาล บางอย่างอาจจะเป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ถูกนำมาบิดและผูกเข้ากับเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัว บทความนี้เลยขอยก 5 เรื่องที่แอบชอบ เป็นการเชื่อมต่อมุซุบิระหว่างฉัน หนังเรื่องนี้และคุณผู้อ่าน

 

มุซุบิ

สิ่งที่ร้อยเรียงด้ายไว้ด้วยกันก็คือมุซุบิสิ่งที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันก็คือ มุซุบิ การที่วันเวลาผ่านพ้นไปก็คือมุซุบิทุกๆ อย่างใช้คำเดียวกัน คำคำนี้เป็นทั้งชื่อเรียกเทพเจ้า
เป็นพลังของเทพเจ้า เชือกถักที่พวกเราทำก็แสดงถึงพลังของเทพเจ้าและการไหลผ่านของเวลา

สำหรับฉัน คำว่า ‘มุซุบิ’ คือหัวใจสำคัญของ Your Name คำพูดของคุณยายช่วยสรุปความสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องได้เป็นอย่างดี

จริงๆ แล้วคำว่า ‘มุซุบิ’ (結び) เป็นคำที่แปลยาก แปลตรงๆ ได้ประมาณว่า ความเกี่ยวพัน ความเชื่อมต่อ ใช้ได้ทั้งกับเรื่องที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ผูกเชือก ก็ใช้กับคำว่า มุซุบุ (รูปกริยาของคำว่ามุซุบิซึ่งเป็นคำนาม) ได้ หรืออย่างเวลาไปเที่ยววัดหรือศาลเจ้าของญี่ปุ่นที่โด่งดังเรื่องความรัก นั่นคือ ‘เอ็นมุซุบิ (縁結び)’ เอ็นคือความสัมพันธ์ มุซุบิคือเกี่ยวพันเชื่อมต่อรวมกันจึงกลายเป็นการผูกความสัมพันธ์ของคนสองคนไว้ด้วยกัน

ส่วนมุซุบิที่คุณยายบอกว่าเป็นชื่อเรียกเทพเจ้า น่าจะหมายถึงคำว่า มุซุบิ ที่เขียนอีกแบบ (産霊 เมื่อก่อนอ่านว่า มุซุฮิ) ซึ่งแปลว่า พลังหรือเทพเจ้าที่มีอำนาจในการให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งปวง ในโคจิกิซึ่งเป็นหนังสือตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นระบุไว้ว่า ตอนที่โลกมนุษย์และสวรรค์ถูกสร้างขึ้น มีเทพเจ้า 3 องค์ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพเจ้าที่มีพลังในการสรรสร้างและไม่มีเพศชัดเจน ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยก็เลยตั้งข้อสังเกตว่าเกี่ยวข้องกับการสลับร่างชายหญิงของ Your Name ซึ่งก็เน้นเรื่องมุซุบิและเทพเจ้า แถมชื่อของมิทซึฮะ (三葉) ก็น่าสนใจ เพราะอักษรตัวแรกของชื่อคือ 三 ที่แปลว่า 3 ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับเทพทั้งสามองค์นี้ด้วย และถ้าจะโยงให้ลึกเข้าไปอีก อาหารที่ทากิกินตอนบุกขึ้นเขาไปตามหามิทซึฮะ คือข้าวปั้นสามเหลี่ยม ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นคือ ‘ซังคะคุโนะโอะมุซุบิ’ (三角のおむすび) มีทั้งเลข 3 และคำว่ามุซุบิ (แต่ก็อาจจะบังเอิญก็ได้เนอะ)

 

ศาลเจ้ามิยะมิสึ

การบูชาอุกกาบาตในฐานะเทพเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ในความเชื่อของญี่ปุ่น นอกจากญี่ปุ่นจะเชื่อว่ามีวิญญาณอยู่ในทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว ยังเชื่อด้วยว่า ‘หิน’ เป็นสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในเวลาเดียวกัน จึงมีศาลเจ้าหลายแห่งในญี่ปุ่นที่บูชาหินอุกกาบาตและหินอื่นๆ เช่น ศาลเจ้าอิอิชิ จังหวัดฌิมะเนะ ที่นี่ก็บูชาหินอุกกาบาตที่เชื่อกันว่าตกลงมาเมื่อ 1,200 ปีก่อน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับศาลเจ้ามิยะมิสึในเรื่องพอดี

ส่วนจุดบูชาเทพเจ้ากลางปล่องภูเขาไฟที่คุณยายบอกว่าเป็น ‘โลกวิญญาณ’ คนญี่ปุ่นก็คิดกันว่าน่าจะหมายถึงโลกวิญญาณที่อยู่ระหว่างโลกหลังความตายและสวรรค์ตามตำนานเทพเจ้าของญี่ปุ่น

 

เหล้าคุจิคะมิซะเกะ

การถวายข้าวและเหล้าเพื่อบูชาเทพเจ้าเป็นเรื่องพื้นฐานของศาสนาชินโตอยู่แล้ว จึงสอดคล้องกับฉากที่มิทซึฮะเคี้ยวข้าวทำพิธีหมักสาเกถวายเทพเจ้า การทำเหล้าด้วยวิธีที่ว่ามีอยู่จริงและเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตสาเกญี่ปุ่นสมัยโบราณเลยทีเดียว แต่ตอนแรกสุด วิธีนี้เป็นเพียงวิธีผลิตสาเกทั่วไปเฉยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นมิโกะ (หญิงสาวผู้ทำงานเป็นสื่อกลางรับใช้เทพเจ้าในศาลเจ้าชินโต) ทำหรือทำเพื่อถวายเทพอย่างเดียว นอกจากที่ญี่ปุ่นก็มีที่อื่นเหมือนกัน เช่น ไต้หวันส่วนการเจาะจงให้ผู้หญิงเป็นผู้ทำพิธีและนำไปใช้บูชาเทพเจ้านั้นเพิ่งเริ่มมีในภายหลัง แต่ก็ไม่มีการระบุแน่ชัด ในปัจจุบันไม่มีสาเกแบบนี้วางขายแล้ว (แต่ตอนนี้ก็มีคนญี่ปุ่นที่อินหนักๆ หรืออาจจะอยากรวยทางลัดถ่ายคลิปตัวเองตอนทำสาเกแบบนี้แล้วประกาศขายทางทวิตเตอร์ก็มี…)

 

ช่วงเวลาโพล้เพล้

ย่ำสนธยาหรือ ‘คะตะวะเระโดกิ’ (かたわれ時) ช่วงเวลาที่เป็นรอยต่อระหว่างกลางวันกับกลางคืน ญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้นลับคล้ายกับไทย อย่างแรกคือช่วงเวลาที่เราจะสามารถพบดวงวิญญาณภูตผีปีศาจต่างๆ อย่างที่สองคือช่วงเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวง ทากิกับมิทซึฮะจึงได้พบกันในช่วงเวลาสั้นๆ และต้องแยกจากกันอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน สาเหตุที่ช่วงเวลาโพล้เพล้ดูลี้ลับซับซ้อนซ่อนวิญญาณอาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนผู้คนบูชาพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์จะหายลับไป มนุษย์ก็เกิดความกังวลและความกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก

เชือกถัก (คุมิฮิโมะ)

ปิดท้ายด้วยเชือกถักสีแดงซึ่งเป็นไอเท็มสำคัญระดับสิบดาวหาง เคียงคู่กันมากับคีย์เวิร์ดสำคัญอย่างมุซุบิ ทะนะกะ ผู้ออกแบบคาแรกเตอร์ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งหนึ่งที่ชินไคเน้นเกี่ยวกับการออกแบบคาแรกเตอร์ของมิทซึฮะคือ ขอให้มีเชือกถักสีแดงนี้ติดตัวอยู่ตลอด เขาจึงพยายามหาทางให้เชือกถักแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นอยู่กับนักเรียน ม.ปลาย อย่างมิทซึฮะได้โดยไม่ขัดเขิน สุดท้ายก็มาจบที่การผูกผม ดูร่าเริงใสๆ (ที่สำคัญ ยังเล่นคำได้ด้วย เพราะคะมิ เป็นคำพ้องเสียงแปลได้ทั้งเทพเจ้าและผม พอใช้กับคำกริยามุซุบุ จะได้ทั้งผูกผมและผูกสัมพันธ์กับเทพเจ้า แต่อันนี้ทะนะกะไม่ได้พูด แอบคิดเอง)

นอกจากนี้ ถ้าชอบอ่านการ์ตูนหรือดูหนังญี่ปุ่น คงจะเคยได้ยินเรื่องด้ายแดงแห่งรักมาบ้าง คนญี่ปุ่นเชื่อว่าคนที่เป็นเนื้อคู่กันจะมีด้ายแดงผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของแต่ละคน เชือกถักในเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นแนวคิดเดียวกัน แต่ปรับให้เป็นงานคราฟต์อย่างเชือกถักซึ่งเข้ากับกิจกรรมของสาวๆ มิโกะตระกูลศาลเจ้ามากกว่า เพราะเชือกถักเป็นงานฝีมือเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับการพัฒนาเทคนิคมาอย่างต่อเนื่องและถูกนำไปใช้หลากหลายทั้งงานพิธีกรรมในศาสนา พิธีชงชา หรืออาวุธของซามูไรต่างๆ

จะเชือกหรือด้ายก็ช่างเถอะ แต่ที่พีกสุดคือ มีคนญี่ปุ่นคนนึงเขียนรีวิวลงอินเทอร์เน็ตว่า หลังจากไปดูมา 2 รอบ (ในทวิตเตอร์มีแข่งเอาจำนวนตั๋วหนังมาอวดความอินกันด้วย บางคนล่อไป 12 รอบ) เขาคิดว่าเจ้าเชือกถักเนี่ย จริงๆ แล้วมันคือ ‘จดหมายรัก’ นี่นา!

ถ้าดูตามไทม์ไลน์ดีๆ มิทซึฮะนั่งรถไฟไปตามหาทะกิในโตเกียวและมอบเชือกถักให้ไป ทะกิเก็บไว้กับตัวถึง 3 ปีก่อนจะนำมาคืนให้มิทซึฮะอีกครั้งพร้อมกับสารภาพรัก แต่สำหรับมิทซึฮะ เวลาเพิ่งผ่านไปวันเดียว เชือกถักที่มอบให้ไปแทนความรู้สึกเมื่อวานก็ได้รับการตอบรับจากทะกิอย่างโรแมนติกที่สุด โอ๊ย!

สุดท้ายแล้วถึงฉันจะชอบหนังเรื่องนี้เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้า ดวงดาว มนุษย์ และกาลเวลา แต่ก็ขอยอมใจให้คุณเชือกถัก จดหมายรักที่แสนจะน่าอิจฉาเพราะถักทอผ่านกาลเวลาและความคิดถึง

AUTHOR