“การแต่งเพลงเป็นสิ่งเดียวที่เรามั่นใจที่สุดในชีวิต” bowkylion เจ้าแม่เพลงเศร้า 302 ล้านวิว

Highlights

  • bowkylion หรือ โบกี้–พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ คือนักร้องสาวผู้โด่งดังจากการเป็นนักร้องคัฟเวอร์ในโซเชียลมีเดีย เป็นหนึ่งในผู้แข่งขันรายการประกวดร้องเพลง The Voice และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวผู้กำลังมีอัลบั้มแรกในชื่อว่า Lionheart ในเดือนกันยายนนี้
  • เธอถ่ายทอดตัวตนผ่านบทเพลงที่แต่งขึ้นเองทั้งเนื้อร้องเเละทำนอง เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเศร้าที่รวบรวมจากเรื่องราวรอบตัวจากคนรอบข้าง โดยมีคุณแม่ น้องหมา และทีมงานเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ
  • ภายใต้ความสนุกสนานร่าเริงของโบกี้ที่ชาวโซเชียลเห็น เธอเป็นเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ที่ไม่มั่นใจในตัวเองจนต้องพบจิตเเพทย์ แต่สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจและภูมิใจที่สุดในชีวิตคือบทเพลงที่เธอเรียงร้อยขึ้นเอง 

ไม่ใช่เพราะเทคนิคการคุยให้ได้คบด้วยคำว่า ‘ดงปราคช’ ที่ทำให้เราสนใจ bowkylion หรือ โบกี้–พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ แต่เป็นเพราะ description ใต้เอ็มวีเพลงในยูทูบที่ฟ้องว่าเธอเป็นคนทำเพลงเองเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเนื้อร้อง ทำนอง หรือแม้กระทั่งการอัดเพลง

Artist: bowkylion 

Lyrics: bowkylion 

Music: bowkylion 

Melody: bowkylion

Harmony: bowkylion 

Recording: bowkylion

จากนักร้องคัฟเวอร์ที่มีผู้ติดตามหลักล้านคน สู่ผู้เข้าประกวดเเข่งขันเวที The Voice Thailand ซีซั่น 4 ในวันนี้ bowkylion คือศิลปินเดี่ยวเจ้าแม่เพลงเศร้าที่มียอดชมในยูทูบรวมกว่า 302 ล้านครั้ง และกำลังจะมีผลงานอัลบั้มแรกในชื่อ Lionheart ที่ประกอบไปด้วยเพลงทั้งหมด 12 เพลง ในเดือนกันยายนนี้

ภายใต้ความดังเป็นพลุแตกของเพลง ลงใจ, คิดถึงแต่, คงคา และอีกหลายๆ เพลง เธอกลับเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองทั้งเรื่องรูปร่าง หน้าตา สีผิว และเสียงร้องจนต้องปรึกษาจิตแพทย์และลาวงการไปตามหาตัวตนที่หล่นหายอยู่พักใหญ่ แต่สิ่งที่เธอยืนยันกับเราตลอดการสนทนาคือ บทเพลงที่เธอแต่งขึ้นเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่เธอมั่นใจและภูมิใจที่สุด 

ด้วยฤกษ์งามยามดีต้อนรับอัลบั้มแรกในชีวิตของเธอ เราจึงอยากชวนเธอมาพูดคุยถึงเบื้องหลังเพลงเเสนเศร้าเคล้ารอยยิ้มที่เธอเรียงร้อยจากเรื่องราวรอบกายและความฝันละเมอ โดยมีทีมงาน เจ้าหมาทั้งสอง และคุณแม่ผู้มีอิทธิพลกับเธอในทุกย่างก้าวเป็นแรงบันดาลใจ

มาฟังบทเพลงจากหัวใจของโบกี้กัน

 

คุณเริ่มเเต่งเพลงตั้งแต่ตอนไหน

โห ถ้าแต่งแบบไม่จริงจัง แต่งมาตั้งแต่อนุบาลเลยนะ เริ่มจากเราฟังเพลงต่างประเทศแล้วไม่รู้เขาร้องว่าอะไร แต่ลองใส่เนื้อร้องของตัวเองในดนตรีเปล่า จนโตประมาณ 7-9 ขวบ ก็แต่งเพลงจริงจังขนาดเข้าห้องอัดมืออาชีพเพื่ออัดเพลงเซอร์ไพรส์วันเกิดแม่ซึ่งตอนนั้นอยู่ต่างประเทศ พี่ที่ห้องอัดเห็นว่าเราทำให้แม่ เขาเลยไม่คิดเงิน 

พอเราเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล ต้องแต่งเพลงส่งครูทุกเทอม เทอมละ 1 เพลง โดยทำเนื้อร้องและทำนองเองหมดเลย เราก็แต่งเรื่องชีวิตการเรียนที่ผ่านมา อยากลาออก อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ตอนนั้นทำไปโดยไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็นพื้นฐานอาชีพในตอนนี้ด้วย แค่ทำให้เสร็จๆ ไป แต่เสร็จไปในที่นี้ก็คือทำให้ดีในแบบของตัวเองในตอนนั้นนะ 

เราไม่เคยเปิดเผยในที่สาธารณะเลยนะว่าเคยแต่งเพลงมาตั้งแต่เด็ก เพราะเราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองระดับเต็มร้อยให้หนึ่งล้าน ที่เคยแต่งมาก็ไม่ได้คิดว่ามันดีและไม่คิดว่าคนจะชอบ

 

ความชอบในดนตรีของคุณมาจากไหน

มันเป็นสมบัติที่ครอบครัวมอบให้ เพราะว่าทุกคนในครอบครัวร้องเพลงได้หมดเลย อาจไม่ได้ถึงขั้นเป็นนักร้อง แต่มีพื้นฐานการร้องเพลง ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนเหมือนกัน เราเองก็ชอบร้องเพลง คิดว่าตัวเองร้องเพลงโอเค แต่ไม่ได้คิดว่าดีขนาดนั้น เราเพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองว่า อ้าว เราอยู่กับมันมาทั้งชีวิตเลยนี่หว่า

 

เห็นว่าคุณเริ่มต้นเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ตั้งแต่ ม.4  

จริงๆ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวว่าชอบดนตรีขนาดนั้น รู้แค่ตอน ม.ต้นต้องเรียนวิทย์คณิตแล้วเรารู้สึกฝืนมากจนคิดว่า หรือเราจะไม่มีการศึกษาไปเลยล่ะ (หัวเราะ)

พอดีแม่ซื้อใบสมัครวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล ใบละ 1,500 มาให้ มีรอบสอบสี่รอบ ตอนแรกคิดว่าคงไม่ยาก แต่จริงๆ ต้องสอบทฤษฎีเยอะมาก ทั้งพื้นฐานการตบมือ การอ่านโน้ตแบบทันที หรือการทดสอบเครื่องดนตรี เราก็คิดว่าทำไม่ได้แน่ เพราะไม่รู้อะไรเลย เลยตัดสินใจไม่ไปสอบ จนช่วงสอบครั้งสุดท้ายเพิ่งมาคิดได้ว่าค่าสอบแพง เราเลยตัดสินใจไปสอบ ปรากฏว่าข้อสอบทฤษฎีเต็ม 100 เราได้ 33 คะแนน แต่ภาคปฏิบัติเต็ม 100 เราได้ 89 คะแนน เลยดันทุรังเข้าจนได้

คุณแต่งเพลงมาเยอะ อยากรู้ว่าเพลงที่แต่งให้เเม่ เพลงที่แต่งส่งครู และเพลงที่แต่งตอนเป็นศิลปิน ต่างกันไหม

ต่างมาก (เสียงสูง) ตอนเด็กๆ เราแต่งแนวพระคุณแม่หรือซาบซึ้งในความรัก ส่วนตอนเรียนเราเเต่งอะไรก็ได้เพราะกรรมการตัดสินและอาจารย์ทุกคนเป็นคนดนตรี ไม่ว่าเราจะอินดี้แค่ไหน เขาเก็ตว่าเราแต่งอะไร แต่พอเป็นศิลปิน เราไม่ได้แต่งฟังเองคนเดียว เราต้องทำเพลงให้ดีและฟังง่ายเพื่อให้คนดนตรีฟังได้ คนไม่รู้ดนตรีก็ฟังได้ ซึ่งโคตรยากเลย ยากที่สุดเท่าที่จะยากได้แล้ว

ตอนเราเป็นนักร้องคัฟเวอร์ เราเล่าเรื่องที่คนอื่นเขาเล่ามาแล้วในแบบฉบับของเรา แต่การแต่งเพลงใหม่เป็นของตัวเอง มันเหมือนเราต้องสร้างเรื่องราว สร้างตัวตน ต้องมานั่งคิดไตร่ตรองกับตัวเองว่าถ้าแต่งอย่างนี้แล้วคนจะเชื่อ จะเข้าใจตามที่อยากเล่าไหม ดนตรีมันแสบหูไหม ทุกอย่างมันถูกคิดมาแล้ว

อย่างทุกเพลงในอัลบั้ม Lionheart ก็ผ่านการคิดมาหลายชั้นมากๆ เรายังต้องเป็นคนลงมือทำเองทุกอย่าง แต่งเนื้อร้อง ทำนอง ถึงจะมีทีมช่วยแต่เราต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่นถ้าคอร์ดนี้เราไม่ชอบก็ตัด อาร์ตเวิร์กของทุกเพลงเราก็ทำเอง รีทัชหน้าตัวเอง กระทั่งเอ็มวีเราก็คิดสตอรีบอร์ด โทนสี คอสตูมไปเสนอผู้กำกับ หรือการวางภาพลักษณ์ว่าเพลงนี้จะเป็นยังไง คนดูต้องมองเราแบบไหน ก็เป็นสิ่งที่เราดีไซน์เอง

 

ทำไมถึงต้องทำเพลงเองคนเดียวทุกขั้นตอน 

เพลงที่ดีสำหรับเราคือเพลงที่มีความเป็นเรา การได้เป็นตัวเองทำให้เรายังอยู่ตรงนี้และสร้างงานศิลปะอย่างเพลงได้ ดังนั้นเราจึงต้องดื้อดึงลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทางค่ายจะรู้ว่าห้ามให้ใครทำเด็ดขาด 

 

ทำเองทั้งหมดแบบนี้ ยังต้องมีทีมงานช่วยตัดสินใจอยู่ไหม 

ตอนแรกมีทีมงานคนเดียวก็คือตัวเอง (หัวเราะ) ประชุมกับตัวเองทุกวัน ทะเลาะกับตัวเองตลอด เลยตัดสินใจมีทีมงานเพิ่มหนึ่งคน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้อีก เลยเพิ่มเป็นสามคนให้มาตัดสิน ถ้าเราบอกว่าอันนี้ดี แล้วคนที่สองก็ว่าดี จะให้คนตรงกลางเลือก ถ้าเขาเลือกอันไหนเราก็จะเอาอันนั้น จะไม่ดื้อดึง 

ส่วนทีมงานคนอื่นๆ ถึงเขาไม่ได้ทำเพลงด้วย เเต่เขามีส่วนร่วมเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของเรา เพราะเวลาเรานอยด์นิดหนึ่งทุกคนจะช่วยกันมากๆ 

เวลาแต่งเพลงคุณเริ่มจากเมโลดี้หรือเนื้อเพลงก่อน   

มันไม่ได้มาจากเมโลดี้หรือเนื้อเพลงก่อนเลย เพราะปกติมันจะมาพร้อมๆ กัน เราเป็นคนที่มีเมโลดี้ มีชุดคอร์ด และไลน์ประสานในใจ สมมติคิดถึงคำว่า ‘ทางหนีไฟ’ ในหัวต้องมีเมโลดี้มาแล้วว่าเราจะร้อง ‘ทางหนีไฟ’ ยังไง 

ความจริงคือ 80 เปอร์เซ็นต์ของเพลงเราได้มาจากการแต่งชื่อเพลงก่อน อย่างเพลง ลงใจ ตอนนั้นเรากำลังกินหมูกระทะกับเพื่อน แล้วก็ปรึกษาปัญหาความรักกันไปด้วย แล้วอยู่ๆ เราก็พูดขึ้นมาว่า ไปไม่ได้หรอกเพราะว่าลงใจไปแล้ว เราก็เอ๊ะ ลงใจ แล้วก็ทิ้งหมูหยิบมือถือขึ้นมาจด 

ส่วนเพลงที่ได้ชื่อเพลงทีหลังเราจะรู้สึกเฟลมากๆ  อย่างเพลง คิดถึงแต่ ตอนแรกเราคิดชื่อเพลงไม่ออกเลยตั้งว่า ‘ปล่อยฝน’ เพราะมันมีท่อนที่ร้องว่า แค่ในบางทีเมฆบนฟ้านั้นดูหม่น แต่ไม่อาจปล่อยฝนลงมาให้เป็นสาย แต่ตอนนั้น Three Man Down ปล่อยเพลง ฝนตกไหม ออกมาก่อน เรากลัวซ้ำ สรุปพอเปลี่ยนเป็นคิดถึงแต่ ก็ปล่อยออกมาพร้อมๆ กับ คิดแต่ไม่ถึง ของ Tilly Birds อยู่ดี (หัวเราะ) ตอนนั้นก็รู้สึกเฟลนิดๆ เพราะไม่ค่อยอยากตั้งชื่อเพลงทับกับใครเท่าไหร่

 

วัตถุดิบในการแต่งเพลงของคุณมาจากอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่มาจากเรื่องรอบตัว เราจะจดทุกอย่างไว้ในโทรศัพท์เป็นโน้ตเดียวยาวๆ จดสิ่งที่เรารู้สึกไม่ดีกับมัน สมมติว่าตอนนี้ร้อน เราก็จะจดว่า ทำไมร้อนแบบนี้วะ ไม่ได้จดให้ความไม่ดีมันครอบงำเรานะ แต่จดเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ต่อ แล้วทุกเพลงในชีวิตจะซ่อนคนๆ หนึ่งไว้เสมอ เราเป็นคนจำประสบการณ์ชีวิตได้ขึ้นใจและใส่ใจในรายละเอียดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกแล้วนะ แต่จำความรู้สึก จำกลิ่น จำเหตุการณ์ได้ เลยหยิบทุกเรื่องที่ตัวเองเจอหรือแม้แต่คนรอบข้างไปแต่งเพลง

อย่างเพลง ลงใจ เรียกได้ว่ามาจากประสบการณ์ทั้งของเพื่อนและตัวเองที่ช่วงนั้นมีปัญหา อยากออกไปจากความสัมพันธ์ แต่ไปไม่ได้สักที สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือขอให้ตัวเองอยู่กับมันได้โดยเจ็บปวดน้อยที่สุด ตอนนั้นเราเป็นที่ปรึกษาทางด้านความรักให้เพื่อนเยอะ สมมติแฟนเพื่อนมีคนอื่นเราจะไม่ว่าอะไร แต่เราจะพูดแค่ว่าความรักแบบนี้มันไม่ดียังไง ถ้าอยากอยู่ก็อยู่ไปนะเพราะเราเข้าใจคนที่พูดว่า ‘เนี่ย ฉันจะไปแล้วนะ’ แต่เรารู้ว่ายังไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าไปได้แกไปนานแล้ว เราจะไม่บังคับว่าทำไมถึงไม่ออกมาสักที เพราะรู้ว่าเขาผูกพันกันขนาดที่เราคาดไม่ถึง ขนาดที่ว่าคนหนึ่งคิดจะไปแล้วแต่พอมองอะไรที่สวยๆ งามๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเขาไม่มาอยู่ด้วยกันตรงนี้วะ อ้าว สุดท้ายก็ยังรักเขานี่หว่า 

บางทีเราก็ได้เพลงจากการละเมอ อาจดูเว่อร์แต่เราละเมอจริงๆ เราจะมีอัลบั้มละเมอที่รวบรวมความละเมอทั้งหมด คือจะละเมอถ่ายคลิปอะไรแบบนี้ เพลง ลงใจ ก็มาจากการละเมอร้องท่อนฮุกแล้วเอาไปรวมกับประสบการณ์อย่างที่บอก

นอกจากนอนละเมอแต่งเพลงแล้ว เห็นว่าคุณอัดเพลงบนเตียงด้วย ปัจจุบันยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม

ยังเป็นอยู่เลย การทำเพลงบนเตียงเริ่มตั้งแต่ตอนที่เรายังใช้ชีวิตที่คอนโดซึ่งมีห้องเดียว แต่ถึงจะขยับขยายมาอยู่บ้านแล้ว เราก็ยังทำทุกกระบวนการที่เตียงเพราะเป็นที่เดียวที่เซฟที่สุดและสามารถปล่อยอะไรออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และมีประสิทธิภาพ แล้วต้องเป็นเตียงเท่านั้นด้วยนะ เคยลองไปอัดที่ห้องทำงาน นั่งอัดอยู่ก็ปวดหลัง อัดได้แป๊บหนึ่งก็คัน ไม่มีสมาธิเลย 

 

ไม่กลัวว่าคุณภาพเสียงจะไม่ดีเหรอ 

ช่วงแรกเราอัดกับไอโฟน แต่พอฟังไปฟังมาเราว่ามันแสบหูคนฟังมากเลยซื้อไมค์ ทำที่ทางให้ดีขึ้น ตอนนี้คุณภาพดีขึ้นมาก เพราะเราซื้ออุปกรณ์ที่ดีที่สุดมาแล้ว 

เราค้นพบว่าเเราไม่ชอบห้องอัดตั้งแต่ตอนไปอัดเพลงให้แม่ เพราะมันกดดันมาก มีกระจกอันเดียว เราอยู่ห้องหนึ่ง มีคนคุมอยู่ห้องหนึ่ง เขาก็แค่กดอัดให้เรา เราต้องร้องให้ตรงจังหวะและตรงโน้ตที่สุด ตอนนั้นรู้สึกว่าเราไปยืนทำอะไรไม่รู้ หายใจก็ไม่ทัน เลยจบที่การอัดเอง 

ได้ยินว่าคุณเคยหายจากค่ายไป 8 เดือนเพื่อไปหาตัวเอง

ตอนนั้นก็หายไปแต่งเพลงบ้าง และไปพบจิตเเพทย์ เราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ และเป็นเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ตั้งแต่เด็ก เราคิดว่าตัวเองไม่สวย ไม่ขาว เสียงใหญ่ เรียนไม่เก่ง ไม่มีอะไรดีเลย ต่อให้เราผอมขนาดไหน หน้าจะเล็กแค่ไหน เราก็ยังบีบรูป รีทัชรูปจนไม่มีรูขุมขน เราว่าเราขาดความธรรมชาติที่มนุษย์ควรมี แม้แต่การร้องเพลง ถ้าไม่ตรงคีย์เราจะไม่ร้อง รับไม่ได้ บางทีเรารู้สึกว่ามันฉุดรั้งเรา 

มีครั้งหนึ่งเราอยู่ในรถ รถติดมาก ด้านหน้าด้านหลังมีรถ ขยับไม่ได้เลย แล้วมือก็เกร็ง แล้วอยู่ดีๆ เราตัดสินใจเหยียบคันเร่งพุ่งออกไป เราไม่ได้พุ่งไปแบบอยากจะฆ่าคน แต่มันอึดอัดมาก เราชนหลายคันเลย ต้องลงไปเคลียร์กับคู่กรณีหลายคน แต่กลายเป็นว่าเราร้องไห้จนคู่กรณีต้องมาปลอบ ตอนนั้นตัดสินใจไปโรงพยาบาลเลย เพราะรู้สึกว่าไม่ปกติแล้ว 

พอได้เจอหมอ หมอเขาก็วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า โรคแพนิก และโรคกังวล ซึ่งจะกำเริบเมื่อมีบางอย่างกระทบจิตใจหรือปม เช่น อยู่ในที่แคบ ที่ที่ขยับตัวไม่ได้ หรือที่ที่ไม่มีอากาศถ่ายเท อย่างในรถหรือในโรงพยาบาล เราจะมีอาการคลุ้มคลั่งนิดหน่อย อยู่ดีๆ มือจะจีบ จะเกร็ง หมอก็พยายามรักษาอาการเหล่านี้ที่มันซ่อนอยู่ในอาการเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ที่เราเป็นมาตั้งแต่เด็ก

 

ตอนเด็กๆ คุณไปเจออะไรมา

ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอน ม.4 เราหยุดร้องเพลงไปหนึ่งปีเพราะเส้นเสียงอักเสบ มีรุ่นพี่คนหนึ่งพูดกับเราว่า ‘เสียงอย่างนี้ไม่มีใครเขาเอาหรอก ถ้าเป็นพี่นะพี่ลาออกไปแล้ว อย่าคิดนะว่าตัวเองจะเป็นนักร้องที่ดีได้’ เราก็ร้องไห้ กลายเป็นคนไม่ตั้งใจเรียนจนติด ร 29 ตัว มาสำนึกได้ตอนใกล้จบแล้วเพราะคำพูดแม่ ตอนนั้นได้รางวัลนักร้องยอดเยี่ยมจากเวที Hotwave Music Awards ที่ไปกับเพื่อนสนิท แม่คงภูมิใจในตัวเรา เขาบอกว่า ‘เห็นหรือยังว่าสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ให้ไม่ใช่เงินทองแต่มันคือเสียง ตอนนี้รู้หรือยังว่าควรรักษามันไว้’ พอคิดได้แล้วก็แก้ ร จนจบ หลังจากนั้นก็ปฏิญาณกับตัวเองว่า จะไม่หวั่นไหวกับอะไรอีก 

แล้วตัวตนที่คุณค้นพบและอยากถ่ายทอดผ่านอัลบั้มแรกนี้เป็นยังไง 

อัลบั้มนี้ชื่อว่า Lionheart ที่แปลว่ากล้าหาญ lion มาจาก bowkylion ส่วน heart คือหัวใจ นั่นคือทุกเพลงในอัลบั้มจะมีคำว่าหัวใจเพื่อสื่อถึงหัวใจที่แตกต่างกัน เพลง เเขนซ้าย คือหัวใจไม่หยุดร้องไห้ เพลง คนไข้ ก็หัวใจไม่สบาย เพลง ลงใจ คือหัวใจที่เจ็บ อีกอย่างคำว่า Lionheart มันมีคำว่า art หรือศิลปะอยู่ในนั้น คือเราคิดว่าการทำเพลงมันไม่ใช่แค่การทำๆ ออกมาแล้วใครจะฟังก็ได้ แต่มันคือการสร้างงานศิลปะที่เราทุ่มเทที่สุด เข้าใจมันมากที่สุด เข้าใจตัวเองมากที่สุด แล้วก็ถ่ายทอดไปสู่คนฟังแบบจริงใจที่สุด

 

เพลงส่วนใหญ่ของคุณเศร้ามาก ตัวตนของคุณคือความเศร้าหรือเปล่า

เหมือนเราแสดงความดีใจไม่เก่งมากกว่า เรามีความสุขแหละแต่แค่ยิ้มไม่เก่ง แสดงความสุขไม่เก่ง เวลาบอกรัก เราไม่ได้บอกว่าเรารักเขาจังเลย แต่จะแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจขนาดไหน เลยพ่วงมาถึงการแต่งเพลงที่หยิบคำพูดดีใจมาเผยแพร่ไม่ถนัด 

เราก็เครียดนะที่มีแต่เพลงเศร้า คนน่าจะเลี่ยนหมดแล้ว ตอนนั้นเลยแต่งเพลงรักขึ้นมา 1 เพลง คือ คิดถึงแต่ ที่เล่าถึงความรักระหว่างเพื่อน คนก็ด่ากันทั้งประเทศว่านี่คือเพลงรักแล้วเหรอ แต่เรากลับคิดว่าการที่เรารักใครโดยไม่หวังอะไรตอบแทน เห็นเขามีใคร เราก็ยินดีด้วย มันก็มีความสุขแล้วหรือเปล่าวะ เลยคิดว่าเราคงทำได้แต่เพลงเศร้า 

 

ในเมื่อคุณเป็นโรคซึมเศร้า การแต่งเพลงเศร้าไม่ทำให้คุณยิ่งเศร้ากว่าเดิมเหรอ

ส่วนใหญ่ไม่นะ เราแค่จำความเศร้าได้เฉยๆ แต่การเศร้ามันดีอย่างหนึ่งเพราะเวลาเราแต่งเพลงตอนเศร้า เพลงที่ได้มันจะสื่ออารมณ์มาก เราจะรู้สึกถึงเพลงที่เรากำลังแต่งจริงๆ พอเศร้าทีไรจะตื่นเต้นตลอดว่ามีเพลงแล้ว เหมือนมีความสุขบนความทุกข์ของตัวเอง 

แล้วการแต่งเพลงถือเป็นการบำบัดตัวเองหรือเปล่า

จริงๆ มันไม่ใช่การบำบัด แต่การแต่งเพลงทำให้เรามีสมาธิขึ้น เหมือนเราได้ใช้ความทุกข์ให้เกิดประโยชน์ แต่ถามว่าทุกวันนี้เราเศร้าขนาดนั้นไหมก็ไม่ได้เศร้านะ ตอนแรกเราเป็นคนคิดลบกับตัวเองมาก รู้สึกว่าไม่มีความสุข ไม่มีอะไรดีในชีวิต แม่เสีย ต้องอยู่คนเดียว เราแม่งบากบั่นมากกว่าจะหาเงินมาจ่ายค่าเทอมได้ หัวก็ช้ากว่าชาวบ้าน ร้องเพลงก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น หาข้ออ้างให้ตัวเองตลอด จนเราอ่านเจอบทความของพี่เบิร์ด ธงไชย ที่บอกว่าทำไมต้องรู้ว่าความสุขคืออะไร แค่เห็นใบไม้สวยๆ อยากอาบน้ำอุ่นแล้วได้อาบ นั่นก็คือความสุขแล้ว เราก็แบบ เฮ้ยจริง อะไรวะเนี่ย ทำไมเราไม่อ่านเจอเร็วกว่านี้ อยู่ดีๆ ก็รู้ว่าความสุขคืออะไร เลยลองไปกินข้าว เฮ้ย ข้าวอร่อยว่ะ มีความสุข เดินไปกอดหมา นี่ไงความสุข จากนั้นเลยรู้ว่าความสุขคืออะไร ขอบคุณบทความนั้นของพี่เบิร์ด

 

ความสุขในตอนนี้คืออะไร

อาหารอร่อยๆ และหมา เราได้เขามาหลังจากแม่เสียไม่นาน ตอนนั้นมันวังเวงมาก คิดแต่ว่าทำไมเรารับปริญญาแล้วไม่มีครอบครัวมา ทำไมไม่มีพ่อแม่มาดูคอนเสิร์ตเหมือนศิลปินคนอื่นบ้าง ก่อนไปโชว์ที่ไหนเราก็จะร้องไห้ตลอด ทั้งที่เขาเสียไป 6-7 ปีแล้ว เรารับได้แล้วนะแค่มันเหงามากๆ แต่พอกลับบ้านมาเจอหมานอนรอหรือเวลาดูกล้องวงจรปิดก็เห็นเขานั่งเฝ้าเราที่หน้าประตูทั้งวัน เพราะชีวิตเขามีแค่เรา เลยคิดว่า เฮ้ย เรายังมีเขาว่ะ เขาเป็นเหมือนครอบครัวจนเราไปลงเรียนทฤษฎีเกี่ยวกับหมาเพื่อให้เขามีความสุขที่สุด เรียกได้ว่าหมาเป็นที่สุดแห่งแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง พอๆ กับแม่

 

คุณกับแม่สนิทกันมาก

ใช่ เขาเป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่คุยอะไรกันก็ได้ เป็นเพื่อนของเพื่อนเพราะเขาเป็นคนตลก และเป็นคนสำคัญที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ เรียกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในเพลงของเรามาจากแม่ เราไม่ได้อยากเอาเรื่องแม่มาทำมาหากินแต่ยังคิดถึงเขาอยู่ในใจบ่อยๆ อย่างที่เล่าว่าแม่พูดว่าสมบัติที่เขาให้เราคือเสียง ก็เพราะแม่อยากเป็นนักร้องและเคยได้โอกาสเป็นนักร้องมารอบหนึ่ง แต่ที่บ้านกีดกัน แม่คงเสียดายที่ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลยดันให้ลูกๆ เจอสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วเราเป็นเหมือนเขาพอดี  ถ้าวันหนึ่งเราประสบความสำเร็จก็อยากให้เขาเห็นแม้เขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม 

ตอนเด็กๆ ครอบครัวเราอยู่พร้อมหน้าแต่วันหนึ่งพอพ่อแม่แยกทางกัน เรากับแม่ย้ายออกมาอยู่คอนโด ส่วนพี่สาวไปอยู่หอ สักประมาณปีสอง อยู่ดีๆ แม่ก็ป่วยเป็นไข้หวัดทั่วไปแต่ตรวจพบว่าเม็ดเลือดขาวเหลือ 8,000 จากปกติ 200,000 แล้วเขาก็เสียกะทันหันมาก ชีวิตเราเปลี่ยนเลย เราต้องหาเงินเรียนเอง หาที่อยู่ใหม่ ตอนเพื่อนๆ กลับบ้านช่วงเทศกาลกันเราก็ไม่รู้จะไปไหนเพราะเราไม่มีบ้านให้กลับ แล้วเราเพิ่งมารู้ว่าแม่เป็นคนเลี้ยงดูยาย ป้า น้า ลุง ที่เขาแก่แล้วและไม่ได้มีฐานะอะไรเท่าไหร่ เราเลยต้องส่งเงินให้ที่บ้านด้วย ทำให้เราต้องมีวินัยในตัวเองมากๆ เพราะเรายังมีอีกหลายคนที่ต้องดูแล ดังนั้น เราจึงคิดว่าการเป็นศิลปินก็ต้องมีวินัยในตัวเองด้วย ห้ามเอาคำว่าติสท์มาเป็นข้ออ้างในการไม่ทำงานให้ตรงเวลา

ทำงานเป็นศิลปินเต็มตัวมา 4 ปี รู้หรือยังว่าชอบตัวเองในสถานะนักร้องหรือนักแต่งเพลงมากกว่ากัน 

เพิ่งมารู้เหมือนกันนะว่าชอบแต่งเพลงมากที่สุดเพราะทำให้เรามีสมาธิ จริงๆ การร้องเพลงก็ทำให้เรามีสมาธิ แต่การร้องเพลงสดทำให้เราเครียด มันไม่ใช่การไปร้องคาราโอเกะแหกปากกับเพื่อนตามอัธยาศัย แต่มันคือการหัดเป็นผู้ฟังที่ดี ทั้งฟังเสียงตัวเองในมอนิเตอร์ว่าเสียงแย่หรือดี ร้องเข้ากับดนตรีไหมและฟังว่าคนดูฟีดแบ็กยังไง สมมติเช่น เวลาร้องเพลงแผดเสียงสูงมากๆ คนจะว้าว ในขณะที่ร้องเพลงเสียงต่ำแล้วคนจะเฉยๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมาก เลยจะอยู่แต่ในเซฟโซน ต่อให้คนชอบแบบแรกเราก็จะเลือกแบบหลัง เขาไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเราร้องเสียงสูงแล้วเสียงหลงหรือเพี้ยน เพราะฉะนั้นการเป็นนักร้องที่ดีมันไม่ใช่แค่ร้องดี แต่มันคือการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย

 

จนถึงวันนี้ที่คุณเป็นศิลปินเดี่ยวและกำลังจะมีอัลบั้มแรกในชีวิต คุณมั่นใจในตัวเองมากขึ้นไหม พร้อมออกจากเซฟโซนหรือยัง

จริงๆ เราใช้ชีวิตอยู่ในเซฟโซนมาตลอด เช่น ถ้าเราชอบเมนูอะไรเราก็จะกินแต่เมนูนั้น ชอบร้านไหนจะไปแต่ร้านนั้น ไม่ไปลองร้านใหม่ ขนาดคบใครก็คบคนเดิมๆ ไม่ค่อยเปลี่ยน 

แต่น่าแปลกใจนะว่า ถึงเราจะไม่กล้าออกจากเซฟโซนทั้งเรื่องการใช้ชีวิตหรือกระทั่งเรื่องเทคนิคการร้องเพลง แต่การเเต่งเพลงแม่งเป็นสิ่งเดียวที่เราไม่เคยคิดจะเซฟกับมันเลย เราจะลองไปให้ไม่เหมือนคนอื่นดู เป็นสิ่งเดียวที่เรารู้สึกมั่นใจที่สุดในชีวิต เพราะเราคิดและกลั่นกรองอย่างดีมาก เรียกได้ว่าเพลงเป็นตัวแทนแห่งความมั่นใจและการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่จริงๆ 

 

5 เพลงในอัลบั้ม Lionheart ที่เจ้าแม่เพลงเศร้าผู้มีหัวใจกล้าหาญอยากแนะนำ

 

คงคา

เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่เศร้าที่สุด แต่งเสร็จร้องไห้เลย เปิดให้โปรดิวเซอร์ฟังก็ร้องไห้ ตอนร้องเดโม่ก็พยายามร้องเพี้ยนๆ จะได้ขำ ยังไม่สามารถฟังได้จริงๆ เพราะแต่งให้แม่ซึ่งเสียชีวิตแล้ว คอนเซปต์เพลงนี้คือแม่ และความคิดที่ว่า ถ้าวันหนึ่งเราตายไปเราจะไม่มีโอกาสบอกคนที่รักแล้วว่าเราภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน เหมือนที่แม่อาจอยากบอกเราว่าเขาภูมิใจในตัวเราแบบที่เขาเคยบอกตอนมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้บอกไม่ได้เพราะเขาไม่อยู่แล้ว 

 

คนไข้

 ตอนนั้นเพลงกำลังจะปล่อยแต่เราดันเป็นไข้หวัดใหญ่ เราโมโหมาก เพลงก็ต้องส่ง อัดก็ไม่ได้  เสียงมันแย่มาก พีอาร์มาถามว่าไปเดินสายไหม เราก็ตอบว่าเหมือนจะไม่สบาย โอ้ เหมือนจะไม่สบาย (หัวเราะ) เลยแต่งใหม่ ทั้งที่จริงๆ เราแต่งอีกแบบไปแล้ว

 

เจ้าป่า

เพลงเจ้าป่าหรือ Lionheart เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่เราแต่งเสร็จเป็นเพลงสุดท้ายแต่นำมาเปิดเพราะอยากให้เห็นตัวตนของเรา เป็นเพลงเดียวที่ไม่ได้มีวัตถุดิบจากสิ่งที่จดแต่มาจากภาพรวมอัลบั้ม และเป็นเพลงที่เป็นตัวเองที่สุดในทุกๆ เพลงในชีวิตที่ทำมา เพราะจะมีเสียงป่าเขาที่เราชอบ เหมือนเราเป็นเจ้าป่าที่แข็งแกร่งของสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามองกลับไปเราว่าเราเเข็งแกร่งมากที่ผ่านปัญหาต่างๆ มาได้

จำได้ว่าตอนนั้นมันใกล้เดดไลน์แล้วแต่ยังไม่มีดนตรีในหัว คิดได้แค่ชื่อเพลง เเล้วเราจะแต่งยังไงวะ นาซิเพนย่าเหรอ แต่สุดท้ายกลายเป็นเพลงที่มีพลังเฉยเลย 

 

เพลงยิ้มมา

ชื่อภาษาอังกฤษคือ crush หรือคนที่ฉันแอบชอบ เนื้อเพลงเล่าถึงการแอบชอบคนคนหนึ่งที่เราไม่ค่อยกล้าบอกเขา เลยทำเป็นไปหาเรื่องเขาว่าอยากมีปัญหากับเขาเป็นการส่วนตัว ที่เขามองหน้าเรานี่มีปัญญารับผิดชอบหัวใจเราไหม ตอนที่แต่งเรามีประจำเดือน อยู่ดีๆ มีประโยคขึ้นมาในใจว่า อยากมีปัญหากับคุณเป็นการส่วนตัว คือมาจากความหงุดหงิดที่อยากมีปัญหากับทุกคนในช่วงนั้น เพลงนี้เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่เป็นเพลงรักจริงๆ แต่นี่ขนาดรักแล้วนะยังอยากจะต่อยหน้าเขาเลย รักได้ประมาณนี้ (หัวเราะ)

 

ทิวาสวัสดิ์

เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เป็นเพลงที่พูดถึงคนที่ยังคบกันอยู่แต่มีปัญหากัน คนหนึ่งปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งร้องไห้คนเดียว เราเปรียบความรักเป็นดวงจันทร์ในเวลากลางคืน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ามันสวยไปหมด ไม่ร้อนด้วย แต่ทิวาสวัสดิ์แปลว่าสวัสดีตอนกลางวัน เรานึกถึงแสงอาทิตย์ร้อนๆ ที่ชอบแยงตาจนต้องตื่นจากฝันดี เราเปรียบเป็นการทะเลาะกันของคนสองคน จริงๆ เพลงนี้เป็นเพลง คงคา มาก่อน แต่เราเห็นว่าท่อนฮุกของเพลงน่าใช้เลยหยิบมาแต่งใหม่เป็นเพลง คงคา

 

ขอบคุณสถานที่: Mutual Bar

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone