ความรักและความฝันของ YOUNG MAN AND THE SEA

YOUNG MAN AND THE SEA คือวงดนตรีโฟล์กชายล้วนที่ประกอบไปด้วย ตั๊ด-วิรชา ดาวฉาย, โย-ศุภชัย บุญดี, มิค-ชวพล รัตนพิภพ, มะเฟือง-สมาธิ ลือชารัศมี และ โจ-อภิวิชญ์ พวงศรีเจริญ

ชื่อวงที่ฟังแล้วคุ้นหูชื่อนี้ เราขอเฉลยแทนพวกเขาว่า YOUNG MAN AND THE SEA เป็นชื่อวงที่ได้แรงบันดาลใจจาก
The Old Man and the Sea วรรณกรรมสุดคลาสสิกของ Ernest Hemingway ที่ว่าด้วยเรื่องราวการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ นานาบนผืนทะเลของชาวประมงสูงวัยนามว่า Santiago ด้วยความไม่ย่อท้อของชายผู้นี้ ภาพที่ปรากฏในตอนสุดท้ายของเรื่องก็คือชัยชนะที่เขามีต่อ ‘ธรรมชาติ’ เหล่านั้น

เป็นเวลา 4 ปีแล้วที่พวกเขาตัดสินใจก้าวลงเรือลำเดียวกันและปล่อยซิงเกิลแรก
คนสวน เพลงโฟล์กสีสันจัดที่ได้ไอเดียจากประโยคปิดนวนิยายชื่อดังเรื่อง Candide ของ Voltaire ที่บอกว่า ‘Il faut cultiver notre jardin’ หรือ ‘จงทำสวนของเราต่อไป’ ปลุกให้คนเดินหน้าทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นให้ดีที่สุด ระหว่างทางคลื่นลมต่างๆ ที่ซัดเข้ามา อาจทำให้เรือของพวกเขาโคลงเคลงบ้าง แต่แววตาของพวกเขาที่เราเห็นดูเหมือนจะไร้ซึ่งท่าทีถอดใจกับ ‘ธรรมชาติ’ ที่พวกเขาพยายามสู้ด้วยเลย

วันนี้เหล่าชายหนุ่มลงหลักปักฐานในบ้านหลังที่สามอย่าง Sanamluang Music พร้อมกับส่งบทเพลงรักเพราะๆ อย่าง
จ้องพระอาทิตย์, ดวงจันทร์สีดำ และดาวเหนือ เป็นใบเปิดของ YOUNG AND FOOLISH อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกที่พวกเขาตั้งใจเรียบเรียงเพื่ออุทิศให้ชีวิตวัยหนุ่มของตัวเอง

เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่อสุดใจว่า แรงขับเคลื่อนในการเดินทางบนท้องทะเลแห่งเสียงดนตรีของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรากลุ่มนี้ ไม่ผิดแผกแตกต่างอะไรกับความตั้งใจของชาวประมงสูงวัยคนที่ว่าเลย

(จากซ้ายไปขวา: มะเฟือง, ตั๊ด, โย, มิค)

YOUNG MAN AND THE SEA เริ่มต้นขึ้นได้ยังไง


ตั๊ด :
ผมกับโยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนที่จุฬาฯ ผมเรียนอักษรฯ โยเรียนศิลปกรรมฯ ตอนวัยรุ่นเราก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากเล่นกีต้าร์แล้วก็กินเบียร์ ผมเลยคบหากับโยตั้งแต่ปี 1 แต่งเพลงเล่นกันประมาณ 30-40 เพลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ใช้ไม่ได้เลย (หัวเราะ) เป็นเพลงจีบน้องปี 1 หรือเวลาเพื่อนอยากจีบสาวก็แต่งเพลงแจกให้เพื่อน หนึ่งในนั้นคือเพลง รูปไม่หล่อมีสิทธิ์ไหมครับ ที่วงคาวบอยเอามาร้อง เป็นเพลงแนวๆ นั้นเลย

พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป หลังจากนั้น 7-8 ปี วันหนึ่งโยก็โทรมา นัดเจอกันแล้วเขาก็บอกว่าอยากทำวงดนตรี มันเป็นเรื่องค้างคาตอนเด็กๆ แต่เมื่อก่อนเราไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้อะไรเลย ระหว่างนั้นผมก็มีโอกาสได้หัดเขียนเพลงกับพี่กบ Big Ass และพี่ๆ คนอื่นมาบ้าง เลยเริ่มทำวงกัน 2 คน แต่งเพลงเก็บไว้ 10 เพลง แล้วขอให้พี่ๆ ช่วยอัดเป็นเดโมง่ายๆ แล้วก็เดินไปตามค่ายหลายๆ ค่ายดู ก็ได้รับการตอบรับจาก Tigger Twins ค่ายเพลงค่ายแรกของพวกเรา

สมาชิกอีก 3 คนมาร่วมลงเรือล่องทะเลด้วยตอนไหน


ตั๊ด :
ตอนที่กำลังจะเริ่มอัดเพลงกัน เราอยากให้วงมีพาร์ตดนตรีที่เข้มข้นขึ้นด้วยก็เลยนัดบอด ใช่ครับ นัดบอดกับนักดนตรีประมาณ 3 คน ผมโทรไปหาเพื่อนสมัยเรียนที่เราคิดว่าเขาน่าจะรู้จักนักดนตรีที่เล่นแบ็กอัพเยอะ เขาก็ให้เบอร์มาจำนวนหนึ่งคือมีมือกีต้าร์ มือเบส และมือคีย์บอร์ด ครบเซ็ต แต่ทุกคนไม่เคยเจอกันเลยนะ ผมโทรนัดทุกคนให้มาเจอกัน แล้วหลังจากวันนั้น 4 ปีแล้วครับ พวกเราก็ทำงานด้วยกันมาจนถึงวันนี้ ไม่มีโอกาสเลือกเลย (หัวเราะ)

จำได้ว่ารวมวงได้หนึ่งเดือนก็มี Big Mountain Music Festival เป็นจุดหมายแรก ตอนนั้นก็ทำเพลง ค่ายก็สนับสนุนเรื่องการทำมาสเตอร์ อัดเสียงกับวงออร์เคสตราจริงจัง แล้ววงก็ซ้อมกันหนักมาก ผมไม่ทำงานอะไรเลย มะเฟืองก็ลาออกจากทุกวงที่ไปเล่นให้ ทุกคนทุ่มเทกันมาก นัดซ้อมกันตอนพักเที่ยง ตอนกลางคืนก็กลับมาซ้อมด้วยกันอีกตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนอยู่หลายเดือนเพื่อที่จะได้อัดเพลงพร้อมกันทั้งวง อัดเสร็จไป 6 เพลง เป็นอีพีแรกที่ไม่ได้ปล่อยเพราะค่ายระเบิดเสียก่อน

รู้สึกเหมือนอกหักเลยไหม


ตั๊ด :
โอ้ย จะเหลือเหรอ (หัวเราะ) มันเจ็บปวดมากเลยนะครับ ทุกวันนี้เรายังไม่ได้ใช้เพลงเหล่านั้นเลย แต่ก็ไม่เป็นไร ผมว่าดีตรงที่มันทำให้คนที่ไม่เคยเจอกัน ได้มาทำงาน ได้เจอเรื่องราวต่างๆ ด้วยกัน ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันกลายมาเป็นเพื่อน กลายมาเป็นวงดนตรีวงเดียวกัน


มะเฟือง :
เราได้มีโอกาสทำเพลงในห้องอัดเจ๋งๆ โปรดักชั่นใหญ่ๆ กลายเป็นว่าเราได้กำไรเรื่องประสบการณ์มาแล้ว อาจจะแย่หน่อยที่ไม่ได้ปล่อยเพลงออกไป แต่จริงๆ เหตุการณ์ตอนนั้นมันวัดใจเหมือนกันนะ เราชอบเรียกกันเล่นๆ ว่าเป็นช่วงเข้าค่ายทหาร ออกจากค่ายมาก็เหมือนผ่านการละลายพฤติกรรมกันมาแล้ว ได้ลุยมาด้วยกันระดับหนึ่ง เกิดความสามัคคี ความแน่นแฟ้นขึ้น


ตั๊ด :
จริงๆ ตอนนั้นเราปล่อย คนสวน เพลงแรกออกมาแล้ว พอเกิดเหตุการณ์นั้นวงเราก็เงียบหายไปเลย คือเราไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่ยังอยากออกไปเล่นดนตรี พยายามหางานเล่น เดินไปคุยกับสปอนเซอร์เอง เพราะเราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดถ้าเราได้เล่นสด เราก็ยังอยู่ในแทร็กที่เดินไปข้างหน้าอยู่ มาสเตอร์นั้นก็คงไม่ได้ใช้อีกแล้ว ก็คุยกันว่าแต่งเพลงใหม่ไปเลย หนึ่งปีหลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ออกเพลง 3 เพลงกับ Universal Music Thailand ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ Sanamluang Music

คนสวน กับ 3 ซิงเกิลที่ปล่อยมาล่าสุด (จ้องพระอาทิตย์, ดวงจันทร์สีดำ และดาวเหนือ) ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากเลย ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอะไร


โย :
คนสวน อาจเป็นหน้าตาเราตอนอายุครึ่งปี พอเราอายุ 3-4 ขวบ เราก็มีหน้าตาอีกแบบนึง สำหรับผม คนสวน เป็นครั้งแรกๆ ในชีวิตที่เราได้มีเพลงเป็นของตัวเอง พอเรามีครั้งที่สอง สาม สี่ มันเหมือนกับว่าเราได้เรียนรู้แต่ละสเต็ปมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ในแง่ของการเล่นดนตรี แต่เป็นการทำเพลงของตัวเอง ความจริงตอนนี้เราก็ยังใหม่กันอยู่นะ


ตั๊ด :
ในเชิงการทำงานเรื่องพวกนี้เราต้อง concern อยู่แล้ว เหมือนเขียนหนังสือหรือถ่ายภาพอะไรสักอย่าง เราต้องรู้ว่าสไตล์เราคืออะไร แต่เอาเข้าจริง อะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยเนี่ยน่ากลัวกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็แสดงว่าทำซ้ำเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ งั้นเราก็ปล่อยให้มันเปลี่ยนแปลงไปแบบคนละมุมเลย มุมหนึ่งอาจเป็นมุมที่เราโตขึ้นซึ่งอาจมีทั้งยากขึ้นหรือง่ายลง กับอีกมุมหนึ่งที่เอาสิ่งที่ไม่ใช่เราออกไป เหมือนสุดท้ายเราชอบอะไร เราจะทำมันเพราะความกล้าและประสบการณ์ที่มากขึ้น

ตอนแรกเราคิดว่าดนตรีฟังสบายขึ้นเพราะว่าพวกคุณอายุมากขึ้น


มิค :
เหมือนตอน คนสวน เราโฟกัสความเป็นโฟล์กใช่ไหมครับ คราวนี้โฟล์กในความเข้าใจของพวกเรามันยังเป็นภาพนั้นอยู่ เป็นโฟล์กที่เอากีตาร์โปร่งมาเล่าเรื่อง มีกลิ่นที่เป็นไอริชบางอย่างที่เราอยากทำ แต่พอเราทำเสร็จปุ๊บ เราเริ่มเห็นว่าจริงๆ มันสามารถเอาซาวนด์อื่นมาดัดแปลงหรือผสมเพิ่มเข้าไปได้ เราอาจจะเอาดนตรีแนวใหม่ๆ มาปรุงแต่งได้ จริงๆ ผมรู้สึกว่ามันยังคงแพตเทิร์นของกีตาร์โปร่ง ซ่อนความเป็นโฟล์กแบบเดิม บรรยากาศแบบเดิมอยู่

พวกคุณเป็น ‘YOUNG MAN’ ที่ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน


มะเฟือง :
เหมือนตอนเราเจอกันครั้งแรก เราก็ไม่ค่อยรู้เนอะว่าใครเป็นยังไง เราก็ใช้วิธีคุยกันแล้วก็วาดภาพวง YOUNG MAN AND THE SEA ปักไว้ แล้วก็พยายามจะเป็นแบบนั้น แต่พอเวลาผ่านไปเราก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วหน้าตาของพวกเราเป็นยังไงกันแน่


ตั๊ด :
ผมทำงานกับเพลงมานาน วงดนตรีมีหลายแบบมากนะครับ มันมีวงที่ทำขึ้นมาแล้วตู้ม สำเร็จเลย เราเคยหวังให้วงเราเป็นอย่างนั้นด้วยความที่เราเคยเห็นภาพความสำเร็จมาเยอะ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มเรายังเด็กอยู่เลย อายุ 24 เองมั้ง เด็กกว่าตอนนี้เยอะ ตอนนี้เราเติบโตขึ้นเยอะ เมื่อเราทำวงไปแล้วมันไม่ได้สำเร็จในทันที เราว่าเราสำเร็จในความสุขของเราดีกว่า แต่อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จในแง่จะเอาวงดนตรีมายังชีพ พวกเรายังมีอย่างอื่นในชีวิตที่ต้องทำอยู่

ตอนนั้นมะเฟืองเป็นนักดนตรีแจ๊ซในโรงแรม ตอนนี้มะเฟืองเป็นมือเบส เป๊ก ผลิตโชค พี่มิคตอนนั้นเป็นหนุ่มโสดรูปหล่อ แต่วันนี้พี่มิคลูกสองแล้วครับ ชีวิตทุกคนต้องเปลี่ยน ทัศนคติก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมเสมอก็คือการทำงานด้วยกัน เราเคยคุยกันว่า สรุปแล้ว YOUNG MAN AND THE SEA ที่เราอุปโลกน์กันขึ้นมา จริงๆ แล้วมันคืออะไร มันคือเพลง มันคือพวกเรา เราจะทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ

ตอนทำงานพวกคุณแบ่งหน้าที่กันยังไงบ้าง


มะเฟือง :
เราทำงานมาหลายเฟสมากครับ บางเฟสมีโจเป็นโปรดิวเซอร์ ช่วงแรกๆ เรามีพี่วิน (ระพีเดช กุลบุศย์) มาช่วยเป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มใหม่ก็ได้พี่บิว Lemon Soup (รังสรรค์ ปัญญาใจ) มาช่วยดู หน้าที่ของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาแต่ก็แบ่งกันเป็นเรื่องเป็นราวพอสมควรนะ ถ้าแบ่งชัดๆ เลย ทำนองส่วนใหญ่มาจากพี่โย พี่ตั๊ดจะเป็นคนเขียนเนื้อเพลง ส่วนการเรียบเรียงในวงก็ช่วยกัน


ตั๊ด :
มันเปลี่ยนไปตามบริบทที่แต่ละคนอยากลอง เราพยายามลองไปเรื่อยๆ ว่าเราสนุกกับอะไรในตอนนั้น วันก่อนเราเพิ่งไปอัดเดโมมา เจอพี่บิว เจอพี่อ๊อฟ Rat Records (อนุชา โอเจริญ) มาช่วยฟังก็สนุกดีครับ

หลักๆ เริ่มจากพี่โยทำทำนองก่อน ผมก็ทำเป็นโน้ตภาษาต่างดาวไว้แล้วค่อยเขียนเนื้อเพลงลงไป ผมเชื่อว่าเพลงคือ Music อย่างเพลงรัสเซีย เพลงสเปนที่เราฟัง เราไม่เคยเข้าใจความหมายแต่ฟังแล้วรู้สึกเพราะ เพราะฉะนั้นเราก็แค่เอาคำที่ตรงโน้ต ใส่เนื้อเพลงลงไปในทำนองที่เราว่ามันเพราะแล้วก็เรียบเรียงพร้อมกัน พี่เมธี ลาบานูน (เมธี อรุณ) เคยบอกผมว่า “เพลงๆ หนึ่งจะเพราะไม่เพราะอยู่ที่เมโลดี้ โดนไม่โดนอยู่ที่เนื้อ เท่ไม่เท่อยู่ที่เรียบเรียง” พวกเราจะพยายามทำเพลงให้ดีที่สุดครับ (หัวเราะ)

ในพาร์ตของดนตรี สร้างสรรค์มันขึ้นมายังไง


มะเฟือง :
ดนตรีเป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์แต่ละคนด้วยครับ ใครฟังแบบไหน เติบโตมาแบบไหน ทั้งๆ ที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว บวกกับทัศนคติในแต่ละช่วงอายุ วงเราจะใช้วิธีการแชร์กัน เช่น พี่มิคมีไลน์แบบนี้มา โจนำเสนออันนั้นมา เบรนสตอร์มกันไปเรื่อยๆ


โย :
หลักๆ เราจะพยายามตีความดนตรีให้เข้ากับเนื้อหาของเพลงให้ได้มากที่สุด สิ่งที่คิดก่อนคือทำนองแล้วก็เนื้อร้องใช่ไหมครับ พอเราเริ่มเห็นโครงมันแล้ว ความรู้สึกจะเริ่มบอกเองว่าเพลงควรมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน บางเพลงผมอาจจะอัดไกด์ด้วยกีตาร์โปร่งมาก่อน สักพักก็จะมีคนทำกลอง มะเฟืองก็อัดเบส โจก็ใส่เปียโน พี่มิคลองใส่กีตาร์ไฟฟ้าเข้าไป หลังจากนั้นเราก็มาดูกันว่ามันขาดเหลืออะไร เราก็มาตกแต่งอีกทีตอนที่เราฟังด้วยกัน ช่วยกันตัดสิน แต่ก็จะมีเพลงอย่าง ดวงจันทร์สีดำ หรือ จ้องพระอาทิตย์ ที่เริ่มมีคนอื่นมาช่วยฟังว่ามันโอเคแล้ว พอแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีนะ หลังๆ รู้สึกว่าถ้ามีคนมาช่วยเคาะ วงเราจะทำงานกันเร็วขึ้นครับ (หัวเราะ) ไม่งั้นงานไม่จบสักที

ได้ยินมาว่า ดาวเหนือ เป็นเพลงที่แต่งทิ้งไว้ตั้งแต่ 14 ปีก่อน มันผ่านการเป็นเดโมมาเยอะแค่ไหน


ตั๊ด :
โอ้โห จริงๆ มันเป็นเพลงที่ผมแต่งจีบสาวเล่นๆ ตอนวันวาเลนไทน์ จำได้ว่าตอนนั้นจนมากเลย ไม่มีตังค์ซื้อดอกไม้ไปให้สาวก็เลยแต่งเพลงให้ แล้วรอดไหม ไม่รอด (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็มีเพื่อนชอบ เอาไปอัดเสร็จสรรพของเขาเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออก เราก็เก็บไว้เอาไปทำเป็นเดโมเวอร์ชั่นที่ 1 ทำเดโมเวอร์ชั่นที่ 2 อัดกับวงสตริงออร์เคสตรา 14 ชิ้น อัดทับกันจนสุดท้ายก็ไม่ได้ออกอีกจนเอามาทำเดโมรอบที่ 3 จนได้เวอร์ชั่นสุดท้าย เป็นเพลงที่อยู่มานานมากเลย ในที่สุดก็ได้ใช้สักที (ยิ้ม)

จ้องพระอาทิตย์, ดวงจันทร์สีดำ และ ดาวเหนือ 3 ซิงเกิลคอนเซปต์ดวงดาวเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร


ตั๊ด :
ต้องเล่าก่อนว่าเราอยากตั้งชื่ออัลบั้มว่า YOUNG AND FOOLISH ผมรู้สึกว่าช่วง 18-19 มันเป็นช่วงที่เราเขียนเพลงจากความรู้สึก มันเข้มข้น รุนแรง และอ่อนโยนที่สุด แต่ความหนุ่มน้อยในวันนั้นมันก็เต็มไปด้วยความโง่เขลา เป็นการอกหักแล้วนั่งร้องไห้อยู่ข้างร้านพิซซ่าเนอะพี่โยเนอะ (หัวเราะ) หรือว่าไปนั่งร้านตักสุราแล้วเพื่อนอกหักนั่งร้องไห้กัน เราได้เห็นคนใช้ชีวิตแบบนั้น เราเองก็เป็นแบบนั้น เราอยากเขียนงานขึ้นมาสักชุดหนึ่งเพื่ออุทิศให้กับวัยนั้น วัยที่เราเริ่มรู้จักกันและเริ่มทำเพลงกัน

ดังนั้นเมื่อเรากลับไปทำ
YOUNG AND FOOLISH เราก็อยากทำให้มันรอบด้านตั้งแต่ต้นน้ำ อย่างเพลงเราก็จะกลับไปเขียนเรื่องราวความรักที่เรารู้สึกในวัยนั้นจริงๆ ซึ่งเราเติบโตมากับกวีหรือนักเขียนยุคก่อนอย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ไพวรินทร์ ขาวงาม, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ ที่มักจะพูดถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว สายฝน สายลม แสงแดด ดังนั้นเราเลือกที่จะหยิบ element ต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ เราเชื่อว่าความรู้สึกที่พิเศษจริงๆ มันไม่สามารถอุปมาอุปไมยด้วยพาวเวอร์แบงก์หรือโต๊ะเก้าอี้ได้เลย เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มันต้องแทนด้วยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เทียมกัน

เวลาที่เราโตขึ้น ความรู้สึกต่อเรื่องเรื่องเดิมมักเปลี่ยนไปเป็นปกติ แต่การทำเพลงที่ย้อนกลับไปเล่าความรู้สึกตอนเป็นเด็กหนุ่มดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ


ตั๊ด :
ถ้าในแง่ของเนื้อเพลงไม่ยากเลยครับ จริงๆ แล้วผมเป็นคนเขียนเพลงแบบนั้นอยู่แล้ว ผมชอบคำแบบนั้น ชอบความละเอียดอ่อนของคำ ชอบสำเนียงของคำ เพราะคำแต่ละคำมีรสชาติของมัน เหมือนเขียนหนังสือเยอะๆ แล้วใช้คำ กระจิดริดหรือระริกระรี้ เหมือนมันมีร่องคำบางอย่าง มันมีรสเปรี้ยว รสหวาน มันอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่คนเดียวก็ได้ แต่ไม่เป็นไร (หัวเราะ)

เหมือนตอนเด็กๆ ผมมีความต้องการอยากแสดงให้โลกเห็น พูดแบบไม่อายเลยครับ ต้องการให้เจอคำว่า ‘ล้านหมอนรองรางผ่านไป’ หรือ ‘ล้าก็ล้าแค่เพียงเรือนกายน้ำตาจะล้างละลายเรื่องราว’ ใช่ คุณจะเจอมันจริงๆ แต่มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่าการได้เขียนอะไรแบบนี้ไปแล้วเราภูมิใจกับมันนะ แต่เดี๋ยวนี้เวลาเขียนเนื้อมาผมจะให้พี่ๆ น้องๆ ช่วยกันดู แบ่งเป็นสองฝ่ายมีมารขาวกับมารดำที่จะช่วยหาบาลานซ์ให้เพลง เพลงต่อไปก็คงจะ simple ขึ้นครับ


มะเฟือง :
ความภูมิใจมันมีหลายรูปแบบครับ เหมือนเวลาผ่านไปเราเริ่มเรียนรู้ที่จะทำเพลงเพื่อเพลงมากขึ้นอะไรทำนองนั้น เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราอยากทำเพลงเพื่อให้คนฟังแล้วรู้สึก โอ้โห ไลน์เบสแม่งโคตรเท่เลยว่ะ มันเหมือนทำเพลงเพื่อตัวเอง แต่ถ้าเป็นตอนนี้เราปรับอะไรหลายๆ อย่างเพื่อสนับสนุนเพลงที่เหลือจริงๆ (ตั๊ด : เพลงที่เหลือในอัลบั้มก็จะไม่มีเบสเลย) คือสุดท้ายถ้าเพลงมันออกมาโคตรเพราะ ต่อให้ไม่มีใครพูดถึงไลน์เบสเลย มันก็น่าภูมิใจไม่แพ้กัน (หัวเราะ)


โย :
ความจริงเรื่องการได้โชว์สกิลหรือฟาดฟันฝีมือมันไม่ใช่เรื่องแย่เลยนะ แต่มันควรมีที่ทางของมันแค่นั้นเอง ตอนนี้เราอยู่กับวง เราอยากทำเพลงเพื่อแสดงความรู้สึกของพวกเราหรือเรื่องราวต่างๆ ให้คนฟังมากกว่า

สิ่งที่พวกคุณได้จากการทำเพลงเพื่อเพลงคืออะไร


มะเฟือง :
เราจะได้เพลงที่เพราะไงครับ ได้เพลงที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นเพลงของมันจริงๆ มีหลายครั้งที่เราพยายามทำเพลงออกมา เฮ้ย! ทำไมมันฟังไม่เป็นเพลงวะ หรือความรู้สึกที่ได้ยิน ทำไมไม่รู้สึกใกล้เคียงกับเพลงเพราะๆ ที่เราชอบเลย


ตั๊ด :
เอาจริงๆ มันง่ายกว่านั้นครับ ตอนเด็กๆ เราแค่อยากทำในสิ่งที่อยากทำมันก็ถูกแล้ว แต่ในตอนนี้มันก็ไม่ได้มีจุดเปลี่ยนอะไรขนาดนั้น ตอนเด็กเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำไปหมดแล้ว ฟาดงวงฟาดงา เขียนคำได้เต็มที่ แต่ตอนนี้เราแค่อยากทำสิ่งที่อยากฟังแค่นั้นเลยครับ แล้วก็อยากลองทำกันเอง โปรดิวซ์กันเอง หรือวันใดวันหนึ่งมีความรู้สึกว่าอยากฟังเพลงแบบที่พี่คนนี้ทำ ด้วยอัธยาศัยใจคอ เรารักกัน เราได้ทำงานด้วยกัน วันข้างหน้าเป้าหมายมันอาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้


5 บทเพลงที่เหล่าชายหนุ่มแห่งท้องทะเลอยากแบ่งปัน

01 อาทิตย์ตกที่เดิม (2016)


มิค :
อาทิตย์ตกที่เดิม เป็นเพลงที่ผมรู้สึกว่าเป็นการอกหักที่ดูเท่ ไม่ได้ดูฟูมฟายอะไรแบบนั้น มันมีบรรยากาศของการอกหักที่ยังแข็งแรงอยู่ แล้วก็ไม่ได้เป็นเพลงช้าในแบบที่มันควรจะต้องเป็น ผมชอบสีสันของเพลง รู้สึกว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่มะเฟืองเขียนทำนองมา ซึ่งปกติเพลงของพวกเราพี่โยจะเป็นคนเขียนทำนอง (ตั๊ด : แสดงว่าที่ผ่านมามันไม่ชอบที่โยทำทำนองเลย) ชอบครับชอบ แต่เพลงนี้มันมีมุมแตกต่างออกไปจากเพลงอื่นเท่านั้นเอง


02 ดวงจันทร์สีดำ (2017)


โย :
ดวงจันทร์สีดำ เป็นเพลงที่พูดถึงความรัก แล้วก็การคิดถึงใครสักคนหนึ่ง ผมอยากแนะนำเพลงนี้เพราะผมชอบเนื้อหาเพลงนี้ที่สุดเลย ดนตรีโฟล์กในเพลงนี้มันมีกลิ่นของการทดลองอยู่ด้วย เหมือนมีความไม่ได้เตรียมตัวไปเล่น มีกลิ่นของความดิบ กลิ่นของร่องรอยอะไรบางอย่าง


03 ยั้ง (2016)


มะเฟือง :
เพลงนี้พี่โยแต่งทำนองครับ ความจริง
ยั้ง เป็นเพลงๆ แรกเลยที่พวกเรากระโดดออกมาจากความเป็นกองฟาง โดยส่วนตัวผมภูมิใจกับเพลงๆ นี้ ผมชอบแนวคิดของเนื้อหาเพลงนี้ ผมรู้สึกว่าคนที่จะร้องเพลงนี้ให้คนรักได้เนี่ย เขาต้องมีจุดยืนที่แข็งแรงมากเลยนะ ผมรู้สึกว่าคนที่กำลังอยู่ในสถานะพระเอกของเพลงนี้เขาเป็นคนที่มีความคิดที่น่านับถือครับก็เลยชอบเป็นพิเศษ อยากให้ลองฟังกัน


04 ลมฝน


ตั๊ด :
จริงๆ ผมชอบเพลงต่อไปที่สุด แต่ก็ไม่ควรบอก (หัวเราะ) สปอยล์นิดนึงแล้วกันครับ เพลงนี้ชื่อเพลง
ลมฝน ผมรู้สึกว่าเพลงนี้แหละเป็นเพลงที่ผมอยากทำ อย่างแรกคือทำนองที่พี่โยแต่ง รู้สึกมีความเป็นพี่โย๊ พี่โย อย่างที่สอง เนื้อเพลง ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อส่งไปยัง inbox message ของแฟนเก่า เป็นเพลงที่พูดประมาณว่า ‘เราเป็นยังไงบ้างที่ไม่ได้เจอกัน’ อย่างท่อนที่ร้องว่า ‘เธอรู้ไหมที่เราไม่เจอกัน หัวใจฉันผ่านเรื่องราวเพียงใด’ ผมรู้สึกว่าเพลงนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำสัมผัสที่วุ่นวายอะไรเลย แค่ได้เล่าความรู้สึกบนคำที่สวยงามประมาณหนึ่งพอ


05 คนสวน (2015)


ตั๊ด :
พอกลับมาฟัง คนสวน ทุกวันนี้ ผมจะรู้สึกว่านี่ผมเขียนอะไรของผมเนี่ย พี่โยแต่งทำนองอะไรลงไป พวกเราเล่นอะไรลงไปวะ พอกูไปอัดร้องก็ไม่อีดิตร้องให้กูเลย (หัวเราะ) แต่ถ้าไม่มีเพลง คนสวน ก็จะไม่มีวง YOUNG MAN AND THE SEA ที่ทำให้เราได้มาเจอกัน ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ผมชอบแต่ผมจะไม่กลับไปฟังมันอีกแล้วล่ะ เวลามันเด้งขึ้นมานะผมกด skip ตลอดเลย (หัวเราะ) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราทำลงไปแล้วมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป ทุกอย่างที่เราทำในวันนี้ยังคงสวนทางกับอะไรบางอย่างในชีวิตเราอยู่เสมอ ยังไงก็ลองฟังกันดูครับ


ภาพ
ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR