คุยกับปั้น-นลพรรณ อัมพุช วง Luss นักร้องสาวที่ใช้วิทยาศาสตร์แฮ็กร่างกายในวันที่เบิร์นเอาต์

สาวแสนซน มั่นใจ กล้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในความสัมพันธ์ คือบุคลิกและสไตล์เพลงของ Luss ที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี 

นอกจากเนื้อหาของเพลงที่ทลายกรอบของผู้หญิงตามอุดมคติ (เมื่อหลายสิบปีก่อน) แล้ว ในแง่ของดนตรีทั้งคู่ 

อย่าง ‘เบน – ศิรสิทธิ์ ตั้งบุญดวงจิตต์’ และ ‘ปั้น – นลพรรณ อัมพุช’ ก็สร้างดนตรีที่แปลกใหม่ในทุกๆ ซิงเกิลที่ปล่อยมาเช่นกัน 

น่าสนใจว่าหาก Luss จะต้องทำอัลบั้มจะออกมารูปแบบใด ตัวตน และดนตรีแบบไหนที่ทำให้เราประหลาดใจอีกครั้ง

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับปั้นและเบน พวกเขาใช้เวลาเกือบ 2 ปี จนในที่สุดอัลบั้มแรกของพวกเขาก็ถูกปล่อยออกมาในชื่อ “Is there anything on the Moon?” การตั้งคำถามกับดวงจันทร์ ตามประสาคนเนิร์ดในดนตรีและวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันดวงจันทร์เป็นตัวแทนของความแปลกแยก เหมือนดนตรีของปั้นและเบนที่ตั้งใจคราฟต์ทั้งดนตรีและเนื้อร้องที่ถ่ายทอดออกมาจากตัวตนของพวกเขาโดยเฉพาะ

ในวันที่ไมล์สโตนที่สำคัญของ Luss ได้เริ่มต้นขึ้น เราชวน ปั้น นักร้องสาวมาพูดคุยสบายๆ ด้วยกันอีกครั้ง เธอตอบทุกคำถามด้วยความมั่นใจ แทรกเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตามนิสัยผู้หญิงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทำให้บ่ายวันนั้นมีชีวิตชีวากว่าทุกวัน

แม้ความเป็นนักดนตรีจะทำให้ภายนอกปั้นดูเหมือนคนที่ใช้หัวใจนำทาง แต่เบื้องหลังมาจากเหตุผลอย่างที่เราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน

1

การทำวง 2 คน คุณต้องแบ่งงานกันยังไง

เราช่วยกันดูทุกๆ พาร์ต อย่างปั้นจะเน้นที่เนื้อเพลงและเมโลดี ส่วนเบนจะเน้นเรื่องบีต แต่เราจะทำเป็นแผนไว้ก่อน ยิ่งเป็นอัลบั้มคือโปรเจกต์ใหญ่และระยะเวลายาวมากกว่า เราจะดูภาพรวมในทุกๆ เพลง แล้วค่อยเริ่มลงมือทำกัน ก็เลยจะเป็นการแบ่งที่ลงตัว เพราะไอเดียมันก็มาก่อนแล้วด้วยกัน

ทำไมถึงตัดสินใจทำอัลบั้มในจังหวะนี้

น่าจะถึงเวลาแล้วด้วยค่ะ

ความคิดที่จะทำอัลบั้มมีมาตั้งแต่ปลายปี 2022 แล้ว แต่ไม่เคยเล่าที่ไหนเพราะมันค่อนข้างอิโมชันนอล คือมันมีเหตุการณ์หนึ่งที่อยู่ๆ คนใกล้ตัวเขาเสียชีวิต ซึ่งเขาเป็นคนเชียร์ คอยให้กำลังใจวงมาตลอด เป็นคนที่ออกในข่าวที่ทุกคนเคยเห็นเนี่ยแหละ เราก็ชื่นชมผลงานเขามาตลอด 

แต่อยู่ๆ เขาไม่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เขาอายุน้อยมาก มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมคนเรามันจากกันไปง่ายจัง เขาอินสไปร์อัลบั้มนี้ของเราด้วย ก็เลยรีบทำอัลบั้ม เพราะไม่รู้ว่าคนเราจะไม่อยู่แล้วเมื่อไหร่ ไม่ใช่แค่ตัวเราเอง แต่อาจจะเป็นคนใกล้ตัวเราเองที่แคร์เรา ก็เลยอยากรีบทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ

การทำอัลบั้มเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณเลยไหม

จริงๆ ปั้นว่าศิลปินน่าจะมีหลักไมล์ที่ต่างกัน อย่างของ Luss ปล่อยเป็น Single by Single มาตลอด แล้วพอทำงานลักษณะนั้นมานานแล้ว บวกไปทำเบื้องหลังให้กับคนอื่นด้วย มันเลยทำให้ช่วงหนึ่งของเราหลงทางเหมือนกันว่า 

เรารู้สึกว่าการทำอัลบั้มมันไม่กดดันด้วย เพราะว่าการทำว่าซิงเกิลมันจะต้องใส่ทุกอย่าง แต่บางทีเราอยากจะใช้เวลาในการเล่าตัวตนของ Luss มากกว่านี้ ในอัลบั้มนี้ได้เล่นอะไรเยอะแยะมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้ทำเหมือนกัน เพราะว่าเหมือนกระจายความชอบของเราหลายๆ แบบ มีหลายอารมณ์ แบบที่ Luss ไม่เคยเล่ามาก่อนด้วยเหมือนกัน

พอมาทำอัลบั้มมีเรื่องอะไรที่ต้องคิดมากกว่าการทำซิงเกิลบ้าง

เหมือนวางแผนระยะยาวมากขึ้น 

พอเป็นอัลบั้มเราอยากเปรียบให้ Luss เป็นคนๆ หนึ่ง คนเรามีหลายด้าน ไม่ได้มีด้านเดียวอย่างที่ Luss เคยดูสดใส เล่าทุกอย่างไปในเพลงเดียว แต่พอมาเป็นอัลบั้มมันแสดงให้เห็นว่าคนๆ หนึ่งมีสุข มีเหงา มีเศร้าเหมือนกัน 

แต่ก็แล้วแต่วิธีทำอัลบั้มของแต่ละคนนะ บางคนเขาอาจจะแค่ไม่ได้คิดเยอะแบบเรา อยากเล่าอะไรก็เล่า สุดท้ายก็ขมวดเป็นมวลรวมของอัลบั้มเขาเอง แต่เราแค่คิดเยอะ 

2

เพลง Luss จะเล่าเรื่องแทนมุมมองของผู้หญิง กวนๆ กล้าแสดงออกเรื่องความรัก แล้วถ้าเป็นเพลงเศร้าจะถ่ายทอดออกมายังไงได้บ้าง

จริงๆ มีแล้วด้วยในอัลบั้ม มันค่อนข้างเศร้าในแบบของเรา ความเศร้าแบบของ Luss มันก็คงพูดถึงความเศร้าแบบที่ต้องมีทางออก ไม่เศร้าแล้วดิ่ง รู้ว่าเศร้าไปเพื่ออะไร เศร้าไปเพื่อระบายรึเปล่า หรืออาจไม่ได้มีทางออกขนาดนั้น แต่ไม่ได้เศร้าแบบฉันจะตายแล้ว 

สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันจะต้องมีแสงสว่างที่ปลายทางเสมอ เพลงเศร้าเลยจะกลายเป็นเพลงเศร้าที่ได้ระบาย และค่อนข้างจะสดใสนิดนึงในแบบของ Luss

คุณเชื่อว่าทุกอารมณ์จำเป็นต้องมีเหตุผลไหม

เราเป็นคนที่ใช้ตรรกะมาก 

สมมติสุข เศร้า เหงา สำหรับเรามันต้องมีเหตุผล เช่น อดีตมันเคยเกิดขึ้นแล้ว ส่งผลให้ตอนนี้เรายังคงรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เพราะเราทำแบบเดิม ตัดสินใจแบบเดิม การกระทำนี้มันก็คงจะนำไปสู่อารมณ์นี้เหมือนเดิม เราเลยรู้สึกว่าทุกอารมณ์ต้องมีเหตุผล หรือถ้าไม่มีเหตุผลมันอาจจะเป็นเคมีในสมอง อุ้ย มันเริ่มแบบไกลเกินไปแล้ว (หัวเราะ) 

เช่น บางคนอาจจะเป็นแค่เคมีในสมอง อันนั้นคือมันเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือแม้กระทั่งฮอร์โมนของผู้หญิงก็ตาม มันก็จะตามรอบแต่ละเดือน เราเป็นผู้หญิงมันทำงานในเรื่องนี้ค่อนข้างยาก เพราะตอนแต่งเพลงมันต้องใช้อารมณ์เยอะมาก มันก็จะดิ่งไปแล้วก็จะได้ประมาณ 2-3 เพลง เราเลยรู้สึกว่าอารมณ์ทุกอย่างมันต้องมีเหตุผล แต่เรื่องแบบนี้ควบคุมได้ 

ดูเป็นคนอินกับเรื่องวิทยาศาสตร์

(หัวเราะดัง) คือเราไม่ค่อยได้บอกใคร แต่รู้สึกว่าเข้าใจตัวเองก็ดี ปัญหาคือช่วงที่เราต้องแต่งเพลงอีกรอบ เราก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ฝั่งอิโมชันนอล และเพื่อให้ลื่นไหลมากกว่านี้เราต้องหยุดคิดเป็นเหตุเป็นผล ก็เป็นอุปสรรคอย่างนึงเหมือนกัน 

ในชีวิตประจำวันคุณเชื่อตรรกะหรืออิโมชันมากกว่ากัน

เราว่าเรามีทั้งสองอย่าง แต่ในการดำเนินชีวิตแบบเราชอบแบบมีเหตุผลมากกว่า เพราะว่ามันไม่เหนื่อย ก็เลยต้องหาทางปรับในการสร้างผลงานครีเอทีฟออกมา ก็บาลานซ์กันอยู่ค่ะ (หัวเราะ)

การทำความเข้าใจอารมณ์ตัวเองช่วยอะไรบ้าง

เราทำงานง่าย ใช้ชีวิตง่ายขึ้นด้วย 

เราว่าทุกคนควรทำนะคะ เข้าใจตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร ถ้าอยู่วันหนึ่งเราไม่เข้าใจว่าหงุดหงิดไปเพราะอะไร เราก็จะไปพาลคนอื่นด้วยกับคนรอบข้าง 

แต่ถ้าเรารู้ว่า อ๋อ จริงๆ ฉันเป็นเพราะอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่ เราก็อธิบายให้เขาฟังได้ แล้วเราจะเอาชนะมันง่ายขึ้น เพราะอารมณ์นี้ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด แล้วเราเป็นคนที่หายเร็วมาก สมมุติหงุดหงิด หายเร็วมาก เศร้าหายเร็วมาก เพราะเราเข้าใจ

พอทำงานที่ต้องใช้อารมณ์มากๆ มีช่วงที่ทำงานแล้วรู้สึกท่วมท้นบ้างมั้ย 

โอ้ ตลอด เบิร์นเอาต์ด้วย 

เมื่อเดือนที่แล้ว ทำเยอะไปหน่อย ตอนนั้นก็เล่าให้เบนฟัง ต้องหาคนที่เล่าให้ฟังให้ได้ เพราะปกติเราเป็นคนไม่ค่อยพูด เราก็จะเขียนในบันทึก Journal เยอะ เลยไม่มีความเห็นจากบุคคลที่สาม เราก็ต้องไปหาคนมาช่วยบอกว่า เฮ้ย อันนี้มันเรียกเบิร์นเอาต์รึเปล่าวะ ทำไมมันเหนื่อยจัง มันเหนื่อยจนปวดไปถึงหลังเลย ทั้งๆ ที่เรารู้สึกไม่ได้ทำอะไรเยอะขนาดนั้น 

แต่เอาจริงๆ คนเราหนึ่งวันมันก็ทำอะไรเยอะนะ สิ่งที่เราจัดการคือคุยกับคนรอบข้างที่ไว้ใจ ถ้าเขาเห็นด้วยว่าใช่ ทำเยอะไปนะ ก็หาวิธีจัดการกับมัน โห เปลี่ยนดีกว่า แบบที่เราจะไม่เบิร์นเอาต์ไป

3

ถึงแม้เพลงของ Luss จะดูเป็นเพลงที่สร้างพลังคนอื่นๆ กล้าทำตามใจตัวเอง แล้วสำหรับคุณเคยเกิดรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ้างไหม

เกิดขึ้นตลอดเวลานะ วันที่ไม่มั่นใจในตัวเองมีเยอะมาก

ยิ่งช่วงนี้มีโซเชียลมีเดีย แล้วยิ่งเป็นคนในวงการด้วยมันยิ่งมีอะไรให้เปรียบเทียบเยอะ แต่ก็ต้องหาทางจัดการกับมัน เราต้องเข้าใจว่าโซเชียลมีเดียก็เป็นเหมือนหอเกียรติยศของคน เราไม่ค่อยใส่ภาพที่เราเศร้า หรือวันที่เราเหนื่อยมากมาโพสต์อยู่แล้ว มันก็ต้องโพสต์เก็บไว้เป็นคอลเลกชันว่าวันนี้ฉันสำเร็จเรื่องนี้ 

บางทีเราก็หลงไปกับสิ่งนั้นเหมือนกัน แต่ เฮ้ย ทุกคนไม่ได้มีความสุขเหมือนในอินสตราแกรม หรือเต้นสวยๆ ตลอดเวลาในติ๊กตอก คนมันก็คือคน มันมีทุกอารมณ์ แต่แค่ไม่แสดงออกมา เลยจัดการกับความไม่มั่นใจตัวเองแบบนี้ คนที่เขาประสบความสำเร็จเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน 

เหตุผลอะไรที่ทุกคนควรจะมั่นใจในตัวเอง

เราเพิ่งรู้จักตัวเองว่าที่เราไม่มั่นใจ เพราะตอนเด็กๆ เราเป็นคนที่ตามใจคนอื่น (People Pleaser) ตลอดเวลา เราโดนเลี้ยงมาแบบนั้น แล้วเราอยู่โรงเรียนหญิงล้วนที่เจอกฎเกณฑ์เยอะมาก จนเราเป็นคนที่รับอะไรมาเยอะ 

แต่จริงๆ เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เด็ก แต่คนอื่นก็ชอบบอกว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นละ ทำไมไม่ทำแบบนี้ละ จนความเห็นมันเยอะไปหมด ทำให้เราหลงทางเพื่อที่จะเป็นแบบที่คนอื่นบอกว่าเป็น เสียเวลาชีวิตไปหลายปีเหมือนกัน ตอนนี้เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว 

การเป็นผู้หญิงทำให้การเล่าเรื่องของคุณยากขึ้นไหม เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงขี้อายหรือผู้หญิงมั่นใจสังคมก็มักจะบอกว่าไม่ดีพอตลอด

เรารู้สึกว่าพูดถึงผู้หญิงจะแสดงความเห็นอะไรแล้วมีกรอบตลอด 

มันน่าจะเป็นเรื่องที่เรายอมรับมาแล้วว่าเราทำให้ทุกคนแฮปปี้ไม่ได้ แล้วเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ตอนนี้เราไม่มีกรอบ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะว่าพรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ อย่างน้อยเราขอเป็นตัวเองก่อนเราตาย 

เมื่อก่อนอาจจะคิดเยอะกว่านี้ ทำอะไรก็โดนว่า แต่เราก็ก้าวข้ามมันมาแล้ว มันไม่ใช่ของเรา เราไม่รับไว้ ตราบใดที่มันไม่ได้ทำร้ายใคร มีผลกระทบต่อจิตใจใคร หรือทำให้ประเทศเสื่อมเสีย เรื่องกรอบมันก็เป็นอะไรที่คนตั้งขึ้นมาเอง 

คุณก้าวผ่านเรื่องแบบนั้นมาได้ยังไง

เราว่ามันคือเวลาและความเข้าใจ อาจจะเป็นเพราะเราคุยกับตัวเองบ่อย เราก็จะเรียนรู้ไว ไม่กลับไปเหยียบที่เดิมซ้ำ เพราะว่ามันเสียเวลา เวลาคือสิ่งที่มีค่า เลยพยายามก้าวข้ามมันมาได้ด้วยความเข้าใจ 

อะไรที่มีคนมาว่าเราออนไลน์ ถ้ามันติแล้วมันไม่ก่ออะไร มันอาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตเขามันไม่มีอะไรจริงๆ แล้วเราก็จะสงสารเขา (หัวเราะ) โอ้ย ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ ซึ่งแบบไม่โกรธเลย เข้าใจ เพราะวันที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง เราก็จะเอาความไม่มั่นใจในตัวเองไปใส่คนอื่นเหมือนกัน ถ้าคนอื่นเขารู้สึกดีกว่าเรา เราก็จะรู้สึกยิ่งไม่มั่นใจ มันก็เหมือนกัน 

4

จากการทำงานที่ผ่านมาคุณมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง

ในแง่ของการเป็นศิลปิน คืออย่าไปคิดมาก อย่าไปยึดมั่นกับอุดมคติกับตัวเองมากขนาดนั้นจนมันสร้างกรอบให้เรา 

การเป็นศิลปินเราว่ามันเหมือนกับการระบายสี อย่าไปสร้างกรอบการระบายสีให้กับตัวเอง จะทำอะไรก็ทำ สำหรับเรา มันตอบโจทย์มากกว่า เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าฉันต้อง Empower ผู้หญิงเท่านั้น แล้วมันทำให้เราสร้างงานออกมายาก

ถ้าตอนนี้ต้องทำเพลงคุณจะคิดถึงเรื่องอะไร

คิดว่าอยากเล่าอะไรมากกว่า เพราะวงการเพลงมันก็เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นให้กับคนหลายๆ แบบ มาเล่าเรื่องของตัวเองผ่านซาวนด์ต่างๆ หรือการเขียนเนื้อที่ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยผ่านมา แล้วอยากจะเก็บไว้เป็นไดอารีช่วงเวลาของเราในตอนนั้น หวังไว้อย่างเดียวจะมีคนที่คิดเหมือนกัน รู้สึกว่าเหมือนเราเป็นกำลังใจให้เขา แล้วพาเราไปด้วยกัน

รู้สึกกดดันไหมเวลาที่ปล่อยเพลงใหม่ๆ เพราะเคยได้ยินว่าศิลปินมักจะกดดันถ้าปล่อยเพลงแรกแล้วดังมากๆ กลัวเพลงต่อไปไม่ได้เท่าที่คิด

เคยรู้สึกกดดันแล้วมันสร้างกรอบให้เราในเพลงต่อไปว่าเราจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้เท่านั้น แล้วสุดท้ายมันทำให้เราแต่งเพลงไม่ออก 

แต่บางทีเราก็ลืมไปว่าแทนที่จะมองความสำเร็จในวันนั้น ทำไมไม่มองความพยายามที่ผ่านมาที่ทำให้สำเร็จ สมมติเพลง ‘หยอก หยอก’ ดังมาก ทำไมไม่มองความพยายามระหว่างทาง ที่พยายามแบบเดียวกัน มาจากคนๆ เดียวกันถึงสำเร็จ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วไม่งั้นมันจะทำอะไรออกมาไม่ได้ บางทีอาจจะได้อะไรใหม่ๆ ก็ได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับกรอบความคิดเดิมๆ 

ระหว่างทำเพลงมีอะไรที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับตัวเองบ้างไหม

ตอนที่แต่งเพลง Lonely ช่วงนั้นจำได้ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ปุ๊บแล้วแต่งได้เลย เพราะความรู้สึก มันอยู่ในอารมณ์นั้นอยู่ มันคือความรู้สึกสับสนมันคือความเหงา ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรามีคนรอบตัวเยอะมาก เรายังรู้สึกว่าเราไม่เติมเต็ม และเราเหงามาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บอกตัวเองว่าจะทำอันนู่นทำอันนี้ ไม่ได้ทำสักที 

แล้วตอนนั้นก็เพิ่งรู้ว่าชั้นไม่ใช่คน Extrovert เหรอ เราคิดมาตลอดว่าเป็นคน Extrovert (หัวเราะ) อ่าว ฉันเป็น Introvert เหรอ สรุปฉันเป็นอะไรกันแน่ เป็น Identity Crisis อย่างนึง ที่รู้สึกหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เป็นช่วงเวลาที่อยากเก็บไว้เหมือนกัน 

ถามว่าตอนนี้รู้สึกแบบนั้นมั้ย ไม่ แต่ความรู้สึกของตัวเองตอนนั้นล้วนๆ เลย 

เคยหาคำตอบให้ตัวเองไหมว่าทำไมถึงรู้สึกเปลี่ยนไป

นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามจะเลิกทำอยู่ คือเลิกหาคำตอบให้ตัวเอง (หัวเราะ)

เสียเวลากับการหาคำตอบให้ตัวเองมานานแล้ว ช่วงนี้ทำอะไรก็ได้ หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองเบิร์นเอาต์นี่หว่า ก็เลยรู้สึกว่าอะไรจะเป็นก็เป็นไปเถอะ เอาสุขภาพไว้ก่อน ไม่ได้หาคำตอบแล้ว

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่