ลี่ พรชนัน ในวันที่ความพยายาม ความรัก และความตั้งใจพาเธอไปสู่แชมป์ MasterChef Thailand

ลี่–พรชนัน พัฒนาปัญญาสัตย์ ที่เราเห็นผ่านการแข่งขัน MasterChef Thailand Season 4 คือหญิงสาวยิ้มเก่ง ที่ไม่ว่าจะหยิบจับวัตถุดิบอะไร หรือจะผ่านการแข่งขันที่กดดันสักแค่ไหน เธอก็สามารถรังสรรค์เมนูอาหารน่ากินออกมาได้เหมือนมีพลังวิเศษ

ลี่ พรชนัน

ในอีพีแรก ลี่คือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบออดิชั่น แต่ด้วยโอกาสและความพยายามครั้งใหม่ ลี่ได้กลับเข้าสู่ครัว MasterChef อีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ครองสถิติจานที่ดีที่สุดมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นหนึ่งคนที่แฟนๆ รายการต่างบอกว่าน่าจับตามองเป็นที่สุด จนไม่น่าแปลกใจนักเมื่อในอีพีสุดท้ายเราจะได้เห็นเธอในฐานะผู้ครอบครอง MasterChef Trophy ประจำซีซั่น

มองเผินๆ เส้นทางสู่การเป็นสุดยอดเชฟของลี่อาจดูราบรื่นเหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่หากได้ลองฟังเรื่องราวของเธออย่างตั้งใจ คุณจะได้รู้ว่าความสำเร็จที่ว่าแลกมาด้วยระยะเวลาเกินครึ่งชีวิต ที่ลี่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อฝึกทักษะฝีมือและศึกษาหาความรู้เรื่องอาหารอย่างจริงจัง ลี่ พรชนัน

และบทสนทนาอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของลี่ในคราวนี้ ก็พอจะเป็นข้อสรุปได้แล้วล่ะว่าสิ่งที่เธอพยายามมาตลอดนั้นคุ้มค่าขนาดไหน

ลี่ พรชนัน

ย้อนกลับไปคุณชอบทำอาหารตั้งแต่ตอนไหน

ตั้งแต่เด็กแล้ว คุณยายเราเป็นแม่ค้าขายขนมเก่า ท่านจะชอบทำพวกข้าวต้มมัด ลอดช่องให้ทาน แต่ตอนนั้นน่าจะเรียกว่าชอบกินมากกว่า ไม่ได้ชอบทำหรอก จนอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกผูกพัน เริ่มอยากเก่งเหมือนคุณยายบ้าง เลยอยากทำขนมตั้งแต่นั้นมา

ตอนนั้นคุณเริ่มจากฝึกทำอะไร

ทำลอดช่องสิงคโปร์กับข้าวต้มมัด แต่ทำแบบงูๆ ปลาๆ นะ แล้วก็ไปเป็นลูกมือคุณยายบ้างตอนท่านทำบ๊ะจ่าง ช้อยกอน จนช่วง ป.4 รู้สึกชอบทำอาหารมาก เลยเริ่มไปหาหนังสืออ่าน ไปศึกษามากขึ้น เราจะชอบไปยืนดูพวกรถขายอาหารข้างทาง ไปดูว่าเขาทำอะไรกัน ไปคุยกับเขา ไปชิม เพราะเราคิดว่าเทคนิคเหล่านี้หาไม่ได้ในหนังสือ การออกไปเรียนจากสถานที่จริง หรือคนที่ทำจริงได้อะไรเยอะกว่ามาก

อย่างตอนนั้นเคยอ่านหนังสือเรื่องการทำกล้วยปิ้ง เขาก็บอกแค่ว่าให้ปิ้งกล้วยไม่นานบนเตาถ่าน แต่พอไปดูจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย มันมีเรื่องอุณหภูมิ กล้วยก็ต้องไม่สุกไม่ดิบเกินไป ผงเตาถ่านก็สำคัญ เราไปยืนคุยกับลุงคนขายเลย ลุงแกก็น่ารักอธิบายทุกอย่าง จนเรากลับมาลองทำที่บ้าน ตอนแรกก็ไม่สำเร็จหรอก แต่ก็ได้ฝึกไปเรื่อยๆ สนุกดี

เหมือนได้รับอิทธิพลจากทั้งคุณยายและนอกบ้าน

คุณยายทำให้เรารักการทำอาหาร เวลาได้ทำอาหารเราจะรู้สึกเหมือนมีคุณยายอยู่ใกล้ๆ แต่ด้านความรู้เราได้จากสิ่งรอบตัว ทั้งการออกไปคุยกับพ่อค้าแม่ค้าโดยตรง และการอ่านหนังสือ

เราเห็นคุณทำขนมยุโรปมากกว่าขนมไทย คุณเริ่มสนใจด้านนี้ตอนไหน

ต้องบอกว่าเราเริ่มจากทำขนมไทยก็จริง แต่เราชอบทำขนมยุโรปมากที่สุด น่าจะเป็นตอนมัธยม ช่วงนั้นเราเริ่มลองทำชูส์ แรกๆ ก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอก ทำเป็น 10-20 ครั้งเลยกว่ามันจะขึ้นฟู ทำจนท้อเหมือนกันนะ แต่คิดว่าชอบแล้วก็ท้อไม่ได้

แล้วเราก็ชอบทำขนมปังมาก แต่ขนมปังเป็นอะไรที่ทำยากมากเลย เราต้องศึกษาให้ดีว่าจะใช้ยีสต์อะไร นวดแค่ไหนถึงจะเหมาะ ทำยังไงให้แป้งขึ้นฟิล์มโดยไม่ต้องใส่สาร ทำเสร็จก็จะไปบังคับให้คนที่บ้านกิน เขาก็ซัพพอร์ตเราดีมากเลยนะ จะบอกว่าอร่อยตลอด เราก็รู้แหละว่าบางทีมันไม่อร่อย (หัวเราะ)

ลี่ พรชนัน

เพราะชอบทำอาหารมาก คุณเลยตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการทำอาหารที่สวิตเซอร์แลนด์เหรอ

ใช่ แต่จริงๆ เราซิ่วมา ก่อนหน้านี้เราเรียน Food Science 

ทำไมตอนแรกคุณถึงเลือกเรียน Food Science

ตอนแรกคิดว่าคณะนี้เป็นเรื่องเคมีในอาหาร คงได้ทำอาหารเยอะ คิดแค่นั้นเลยไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรมาก ปรากฎว่าพอไปเรียนจริงๆ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับการทำอาหารเลย น่าจะมีน้องหลายคนที่คิดเหมือนเรา เลยอยากบอกว่า ตอนเลือกคณะก็ศึกษาให้ดีๆ นะ (หัวเราะ) 

ตอนตัดสินใจซิ่ว คุณคิดหนักไหม

คิดหนักเหมือนกัน เพราะเท่ากับเราต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนไปหนึ่งปี แต่ถ้าเทียบกับทั้งชีวิตมันก็ไม่มีอะไรสายไปหรอก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะดีหรือไม่ดี เราเลยตัดสินใจทำไปก่อน คิดว่าเดี๋ยวก็มีหนทางของมันเองถ้าเราขยันและพยายามมากพอ เราว่าเราคิดรอบคอบที่สุดแล้วในตอนนั้น ยิ่งมองไปข้างหน้า เราก็อยากให้การทำงานของเราเป็นงานที่มีความสุข เราสนุกและอยู่กับมันได้นาน

ที่บ้านก็ถามนะว่าอยากออกจริงเหรอ เกรดเราก็ไม่แย่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้มาอะไรกับเราเยอะแยะ เพราะเรายืนยันหนักแน่นว่ายังไงก็ไปต่อไม่ได้ ถึงเราเรียนไป จนทำงาน สุดท้ายก็จะกลับไปเรียนทำอาหารอยู่ดี 

แล้วพอได้ไปเรียนทำอาหารจริงๆ เป็นยังไงบ้าง

โฮมซิก! คิดถึงบ้านมาก ถึงตอนมัธยมเราจะไปอยู่นิวซีแลนด์มา แต่พอมาอยู่ที่นี่ เราทั้งเรียน ทั้งฝึกงาน ทำงานเสริมด้วย มันกลายเป็นความรู้สึกรวมๆ ว่าเหงา ไม่มีใคร ตอนนั้นสภาพแวดล้อมก็ใหม่ ภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้ ตอนไปทำงานเลยคุยกับเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง กดดันเหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่ตอนแรกคิดว่าคงง่าย ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็จบแล้ว 

แต่การไปอยู่ที่นั่นก็ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องอาหารเยอะมากเหมือนกัน เราได้เห็นมุมองของเชฟจากหลายประเทศ ได้เห็นความหลากหลายของอาหารชาติต่างๆ ได้เรียนรู้เทคนิคการทำอาหารที่แปลกใหม่ขึ้น พอจบมามันก็คุ้ม เราแข็งแกร่งมากจนคิดว่านั่นคือจุดที่เราเหนื่อยและร้องไห้เยอะที่สุดแล้วล่ะ

ตอนนั้นอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณฮึดสู้จนจบมาได้

เสียเงินมาแล้ว (หัวเราะ) แล้วเราก็อยากทำให้ตัวเองภูมิใจ เพราะเราซิ่วมาตั้งหนึ่งปี เคยอยากเป็นอะไรมาก็หลายอย่าง จนสุดท้ายมาลงเอยที่อยากทำอาหาร เราคิดว่าเราชอบมันมากจริงๆ ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจฝึกฝน เราก็ต้องทำได้แน่ๆ 

ทำไมคุณถึงมีแพสชั่นกับการเข้าครัวมากขนาดนี้

เหมือนที่เราบอกในรายการเลยว่า เวลาเราทำขนมเรารู้สึกสวย (หัวเราะ) การทำขนมเปลี่ยนให้เรากลายเป็นอีกคน มันทำให้เราอะเลิร์ตขึ้น มีความสุขขึ้น เหมือนได้ระบายอารมณ์ตลอดเวลา แล้วแต่ก่อนเราขี้อายมาก แต่การทำขนมทำให้เราต้องสื่อสารกับคนอื่น กับคนที่ทำครัวด้วยกัน เพราะถึงจุดหนึ่งถ้าเราไม่รู้จักแสดงความรู้สึกหรือโต้ตอบอะไร แม้เราจะเก่งแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์

ลี่ พรชนัน

พอได้เรียนตามที่ฝันแล้ว ตอนเรียนจบกลับมาคุณวางแผนทำอะไรต่อ

ตอนนั้นเรามีเงินเก็บกลับมาด้วยก้อนหนึ่งจากการทำงาน พอมาถึงไทย เราก็เปิดร้านขนมเลย เสร็จแล้วก็ตู้ม! เจ๊ง (หัวเราะ) เราคิดว่าเรารักในการทำอาหารก็จริง แต่เราลืมคิดเรื่องต้นทุน เรื่องการจัดการ หลายๆ อย่างทำให้เราประมาท พอผ่านไปปีกว่าก็เริ่มไม่ไหว ตอนนั้นเราเสียใจมากเพราะเราอุตส่าห์อยากกลับมาตั้งใจทำสิ่งที่เราฝัน แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิด

เราทำขนมไม่ได้ไปพักใหญ่เลยนะ เพราะเงินที่เราเก็บมาหายไปต่อหน้าต่อตา สะเทือนใจมาก ระหว่างนั้นก็ผันตัวไปทำอย่างอื่นเยอะแยะ ไปทำงานออฟฟิศที่ไม่ได้เกี่ยวกับอาหาร แต่สุดท้ายชีวิตเราก็ต้องทำอาหารอยู่ดี อย่างน้อยก็ทำกับข้าวให้ที่บ้านกิน เราเลยมาคิดว่าเราจะหนีสิ่งที่ทำไม่สำเร็จไปทำไมนะ ทำไมไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด หลังจากนั้นเลยฮึดสู้กลับมาทำขนมอีกครั้ง ถ้าพลาดอีกก็ไม่เป็นไรหรอก จะพลาดอีกกี่ครั้งก็ต้องมีครั้งที่ดีเองแหละ

ตอนไปทำงานออฟฟิศเป็นยังไงบ้าง

อึดอัดมาก (เน้นเสียง) เพราะเราเป็นสายทำอาหาร ให้ไปนั่งหน้าคอมฯ นั่งจิ้มๆ คืองง มันยากกว่าการทำอาหารอีก พอทำไปสักระยะใหญ่ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว เราชอบลงแรงเยอะๆ ชอบไปเลือกวัตถุดิบ ชอบคุยกับคนทำอาหาร ชอบทำขนม จนเราคิดว่าถ้ามาเสียเวลากับสิ่งที่เราชอบมันคุ้มกว่าการมานั่งฝืนตัวเองเยอะเลย แบบนี้แค่ต้องทำอีกวันเดียวก็ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไปแล้ว

นี่ทำให้คุณตัดสินใจมาสมัคร MasterChef Thailand เหรอ

จริงๆ ตอนนี้เราก็มีงานประจำอยู่ ทำงานเสริมเป็นการขายขนมออนไลน์ ส่วน MasterChef Thailand นี่อยากมาตั้งแต่ซีซั่นแรกแล้ว แต่ว่าเรายังไม่พร้อม ตอนนั้นความรู้ยังน้อย หลายๆ อย่างในชีวิตก็วุ่นวาย ถ้ามาก็คงไม่ชนะหรอก 

หลายคนอาจจะคิดว่าเราทำของคาวไม่ได้ แต่ความจริงเราทำของคาวได้เหมือนกัน แค่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบหรือถนัดที่สุด เพราะฉะนั้นเราไม่กลัวเลย เราคิดว่าเราฝึกมาแล้ว หาความรู้มารอบด้าน เราพร้อมที่สุดเพื่อการแข่งขันครั้งนี้ ฉะนั้นเราจะบอกตัวเองตลอดว่าถ้าได้เข้ามาแข่งแล้วห้ามเครียดนะ ให้เหมือนมาทำขนมกับคุณยาย สนุกกับมันทุกอีพี

ลี่ พรชนัน

แสดงว่าคุณกะมาชนะเลยใช่ไหม

ใช่ คาดหวังไว้ถึงแชมป์เลย คิดเมนูวันไฟนอลไว้แล้วด้วยนะ (ยิ้ม) เราเตรียมตัวมาก่อนนานมาก ทุกสิ่งที่เราแสดงออกไปคือสิ่งที่เรามั่นใจแล้ว สิ่งที่เราพูดคือสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ ถ้าเราทำไม่ได้เราจะไม่พูดออกมา หรือถ้าเราพูดแล้วมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดเราก็จะหาทางทำให้มันเป็นไปให้ได้แบบนั้น

แต่คุณกลับตกรอบตอนออดิชั่นครั้งแรก ตอนนั้นรู้สึกยังไง เฟลไหม

ตอนนั้นเสียใจมาก ร้องไห้ฟูมฟายเลย อุตส่าห์เตรียมตัวมาเป็นปีๆ หาความรู้มาตลอดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ สำหรับเรามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน แต่มาตกรอบเฉย แต่พอเขาประกาศว่ามีรอบแก้ตัวนะ ให้ผ้ากันเปื้อนอีก 3 ผืน ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นของเรา เราจะใส่ไม่ยั้งแล้ว ห้ามตื่นเต้น ทำสุดฝีมือเพื่อผ้ากันเปื้อนผืนนั้น พอได้กลับมาจริงๆ เลยภูมิใจมาก ขั้นต่อไปก็กลับไปหวังแชมป์เหมือนเดิม (หัวเราะ)

ที่คุณบอกว่าคุณเตรียมตัวมาตั้งแต่ซีซั่นแรก คุณทำอะไรบ้าง

เราดูยูทูบแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ ฝึกทำบ่อยๆ อันไหนทำไม่ได้ก็จะจินตนาการเอา เราชอบอ่านพวกหนังสือจับคู่อาหาร เช่น เนื้อสัตว์กับสมุนไพรอันไหนคู่กันได้บ้าง กล้วยกินกับอะไรแล้วอร่อย เครื่องในเอาไปทำอะไรได้ดี เราจะหลับตาคิดไปเรื่อย แล้วก็แวะไปดูของจริงบ้าง ดูปลา ดูหมู คือศึกษาให้ได้เยอะที่สุด เราจะชอบจำทุกอย่างจากภาพก่อนแล้วค่อยไปดูของจริง มันทำให้เราจำแม่นขึ้น พอเจอโจทย์ที่ท้าทายเราเลยคิดได้เร็ว แล้วก็สามารถจับคู่วัตถุดิบกับรสชาติได้อย่างลงตัว

แสดงว่าคุณก็น่าจะจับทางได้ ว่าจะไปเจออะไรในรายการ

ไม่นะ เดาทางไม่ออกหรอก ซีซั่นนี้ต่างจากซีซั่นก่อนๆ มาก สิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย เหมือนคิดว่าจะได้ทำหนู แต่ปรากฏว่าเป็นงูเฉยเลย (หัวเราะ) มันช็อกมากเหมือนกัน ถ้าเราไม่เตรียมตัวรับมือดีๆ ทั้งเรื่องความรู้สึก ความกลัว ความตื่นเต้น เข้าไปเจอกล้องในสตูดิโอ ไปเจอกรรมการอีก ถ้าสติเตลิดหมดเราคงทำไม่ได้แน่นอน 

เราคิดว่าอยู่บ้านเราได้ฝึกทำอาหาร แต่เรื่องการจัดการอารมณ์นี่มาจากชีวิตประจำวันล้วนๆ ตอนเจอลูกค้า เจอหัวหน้า พอไปเจอสถานการณ์ในสตูดิโอที่คล้ายกันเราก็เลยพอจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นได้ 

อีกอย่างเวลาทำอาหารเราต้องเน้นความคิดเยอะๆ คุยกับตัวเองมากๆ ตอนทำอะไรแต่ละอย่างต้องคิดให้ดีเสมอว่าองค์ประกอบจะดีไหม ยิ่งเราเป็นคนเยอะ เวลาคิดเยอะมันก็ยิ่งออกมาทางจาน ถ้าเกิดสังเกตจะเห็นว่าจานเรามีองค์ประกอบหลายอย่างมาก เพราะฉะนั้นเราต้องคิดเสมอว่าอะไรเข้ากันบ้าง food paring โอเคไหม ถ้าจัดออกมาหน้าตาจะสวยไหม ต้องคิดรอบด้านมากๆ กว่ามันจะออกมาเป็นจานจานหนึ่ง 

คุณคิดว่าการแข่งขันครั้งไหนโหดที่สุดสำหรับคุณ

เราคิดว่าตอนแล่แซลมอน คืองูเห่าก็ยากเหมือนกัน แต่ที่ทำให้เราเกือบตกรอบคือแซลมอน เพราะเราไม่ถนัดใช้มีดจนเกือบถอดใจแล้ว ก็ได้แต่คิดว่าถึงมันจะไม่สมบูรณ์ หรือหน้าตาน่าเกลียดแค่ไหนก็ต้องทำไปก่อน ไม่งั้นจะเอาอะไรไปเสิร์ฟกรรมการล่ะ

แล้วคุณมีจานหรือโจทย์การแข่งขันที่ชอบที่สุดไหม

เราชอบหมด เพราะตอนแข่งเราเต็มที่กับทุกจาน ไม่มีจานไหนที่ชอบมากกว่าจานอื่น

เรามักจะเห็นคอมเมนต์ในยูทูบที่ชมว่าคุณพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์เลย

ขอบคุณมาก (ยิ้ม) อาจเพราะเราอ่านเยอะมากแล้วก็ดูยูทูบเยอะด้วย เราดู MasterChef แทบจะทุกประเทศแล้ว มันเหมือนเราได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ พอไปเจอกับตัวเลยรู้ว่าจะเป็นยังไง แล้วเราก็ฝึกมาเยอะ เลยประยุกต์ได้เยอะ

เหมือนคุณจะชอบทำอาหารที่ผสมของคาวกับของหวานเข้าด้วยกัน นี่เป็นจุดเด่นของจานคุณเลยหรือเปล่า 

ใช่ เพราะเราอยากเอาสิ่งที่เราถนัดมาทำ ดังนั้นเราจะใช้ความถนัดของเรามาประยุกต์เป็นอาหารคาวซะมาก บางทีเราก็อยากทำให้อาหารคาวเป็นเค้ก เราก็ต้องคิดว่าจะใส่อะไรบ้าง เปลี่ยนจากแป้งเค้กมาเป็นแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งข้าวเหนียวแทนได้ไหม เรารู้สึกว่าขนมกับของคาวไม่ได้มีคำจำกัดความขนาดนั้น ถ้าเราดึงจุดเด่นของการทำอาหารหวานมาใช้ในอาหารคาวได้เราจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งเราฝึกฝนมา รู้เบสิกของทั้งสองอย่างลึกซึ้งพอ เราก็จะต่อยอดไปได้เรื่อยๆ

พอเก่งขึ้น ได้เป็นจานที่ดีที่สุดมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกในการแข่งขันของคุณเปลี่ยนไปไหม หรือคุณกดดันตัวเองเพิ่มขึ้นหรือเปล่า

ไม่กดดันตัวเองขนาดนั้น เรายังสนุกอยู่ ถึงโจทย์จะประเทืองสมองไปหน่อยก็ตาม เราไม่ได้ชอบแข่งขัน แต่ชอบประยุกต์ เวลาได้คิดเมนูใหม่ๆ ก็เหมือนได้ทำการทดลอง เราเลยสนุกกับมันตลอด

แต่พอได้เป็นจานที่ดีที่สุดเราก็มีความมั่นใจมากขึ้น มันทำให้เรารู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว อีกแค่นิดเดียวจะได้ MasterChef Trophy แล้ว จากเดิมที่ใส่ร้อยเราก็ใส่พัน จากพันเราก็ใส่หมื่น เราให้มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะมีคำติให้เอามาแก้ไขบ้างก็ไม่เคยเสียใจ เราคิดแค่ว่าสิ่งที่กรรมการบอกเรามาเราต้องเอาไปปรับให้ดีขึ้น

ถึงคุณจะบอกว่าคาดหวังมาเอาแชมป์ แต่ตอนที่ได้เป็น 3 คนสุดท้ายจริงๆ รู้สึกยังไง

ตอนแรกๆ เข้ามาก็หวังแชมป์อยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่มาแข่งหรอก แต่พอมาอยู่ตรงหน้าจริงๆ ความรู้สึกก็เปลี่ยนนะ ตอนนั้นเราคิดว่าได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้โชว์สิ่งที่เราตั้งใจแล้ว เราอยากให้คนเห็นว่าเรามีความสามารถ แล้วเราก็ทำให้ตัวเองภูมิใจได้ว่าเรามีความสามารถพอจะกลับมาเปิดร้านขนมได้ การมาถึงจุดนี้ทำให้เราเห็นว่าเราสู้มากกว่าเดิม เราโตขึ้น มันมากกว่าคำว่าชัยชนะในรอบไฟนอลไปแล้ว

ยิ่งตอนแข่งเราว่าเราไม่มีอะไรจะเสียแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเราไม่กลัวเลย เรารู้สึกว่าตลอดการแข่งขันเราเจอความท้าทายมาหลายรูปแบบมาก แล้วรอบไฟนอลเป็นเมนูที่คิดมาตั้งนานแล้ว เราถนัดที่สุด เป็นตัวเราที่สุด เราจะไปกลัวสิ่งที่รู้ว่าทำได้ทำไมกัน

ลี่ พรชนัน

แล้วพอได้ MasterChef Trophy คุณรู้สึกยังไงบ้าง

(นิ่งคิด) ที่เราอยากมารายการนี้เพราะเป็นแฟนคลับรายการนี้ เรามีไอดอลที่อยากเป็นแบบเขา เราเลยอยากเป็นแรงบันดาลใจให้น้องรุ่นหลังๆ ที่รักการทำอาหารเหมือนกัน เราอยากให้เขารู้ว่าถ้าตั้งใจยังไงเราก็ทำได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ความพยายามของเรา ทุกอย่างหล่อหลอมความรู้ให้เราเป็นเรา เป็นจานอาหารที่มีลายเซ็นของเราอยู่ในนั้น 

ดังนั้นพอทำได้เราดีใจมากที่หลายคนมองเราเป็นไอดอล เรามีแฟนคลับเด็กๆ เยอะมาก เคยเจอคนทักมาในไอจีบอกว่า ‘พี่ช่วยอวยพรผมหน่อย ผมจะขึ้น ป.3’ (หัวเราะ) มันทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันน่าภูมิใจนะ แล้วทุกวันนี้เรามาได้เท่านี้ วันข้างหน้าน้องๆ จะต้องไปได้ไกลกว่าเราแน่นอน 

ความฝันของคุณสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว หลังจากนี้คุณมองอนาคตไว้ยังไง

ตอนนี้เรายังขายขนมออนไลน์อยู่ หลังจากนี้คงเปิดสอนทำขนมด้วย และในอนาคตคงมีร้านแน่ๆ แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเราคงต้องไปเรียนก่อน ต้องไปศึกษาหาความรู้ให้มากพอ ตอนนี้เราวางแผนเรียนปริญญาโทด้านบัญชีไว้ เพราะเราต้องรู้ให้รอบด้าน ถึงเราจะไม่ถนัดทุกด้านแต่ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้เบสิก เวลาเกิดอะไรขึ้นมาเราจะได้ไม่ตื่นตูมเหมือนตอนแรก แล้วร้านขนมของเราคงจะเป็นร้านเล็กๆ พ่อแม่พาลูกมากินขนมกัน แค่นี้แหละ เราคิดว่าถ้าคราวนี้เราได้เริ่มจากอะไรที่เราชอบ และเราศึกษามันอย่างจริงจัง เราจะทำมันได้นานและทำได้ดีด้วย

AUTHOR