เมื่อวันที่…มาถึง บทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตของเขียนไขและวานิช

Highlights

  • ชื่อ เขียนไขและวานิช มาจากเทคนิคหนึ่งในวิชาภาพพิมพ์สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ของ โจ้–สาโรจน์ ยอดยิ่ง 
  • โจ้มีเพื่อนสนิทเป็นหนุ่มผมยาวนามว่า เล–ประชา หลุยจำวัน เขาคือสมาชิกของวงอิสยาและมีโปรเจกต์เดี่ยวในชื่อ สุขเสมอ เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในการทำเพลงของเขียนไขและวานิช ทั้งด้านทำนองและเนื้อร้อง ด้วยความสำคัญเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ภาพจำของเขียนไขและวานิชจะถูกมองว่าวงดนตรีนี้มีสมาชิกสองคน แต่แท้จริงแล้วเขียนไขและวานิชมีแค่คนเดียว
  • แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร เป็นบทเพลงที่ทำให้เขียนไขและวานิชเป็นที่รู้จัก มียอดวิวถล่มทลาย และถูกนำไป cover มากมายในหลากหลายเวอร์ชั่น แต่คนแต่งบอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เกือบลืมไปแล้วว่าเคยแต่งเอาไว้
  • แต่ก็เป็นบทเพลงนี้เองที่ทำให้เขียนไขและวานิชพบเจอความเปลี่ยนแปลงมากมายจนกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตที่ผ่านมา 
   

2561

ผ่านมาแล้วสองปี แต่ผมยังคงจดจำเช้าวันนั้นได้เป็นอย่างดี เช้าวันที่พวกเขานั่งผิงไฟไล่ลมหนาวบนระเบียงบ้านพาตี่ บ้านไม้สองชั้นของนักดนตรีชาวปกาเกอะญอที่ชื่อ ณัฐวุฒิ ธุระวร หรือในนามศิลปิน คลีโพ สถานที่บนดอยป่าสนตั้งอยู่ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ 

หลังจากผ่านช่วงเวลาของกาแฟหอมกรุ่น กองไฟอบอุ่น และข้าวเบ๊อะร้อนๆ ทุกคนต่างนั่งเล่นนั่งคุยกระจัดกระจายกันอยู่บนระเบียง ศิลปินคนหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันอย่าง ต่าย ประกาศิต นักร้องของวงอภิรมย์ เริ่มนั่งเกากีตาร์ เขาเสนอว่าอยากเอาเพลงเสี่ยวๆ ที่เคยเขียนไว้แต่ไม่ได้ใช้งานมาลองเล่นให้ทุกคนที่นั่นได้ฟัง ศิลปินอีกคนคือ โจ้–สาโรจน์ ยอดยิ่ง ที่นั่งตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีเพลงเสี่ยวตามโจทย์ที่ว่าเช่นกัน ตอนนี้ถึงคิวของเขา 

แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ใจพี่จมแทบพสุธา ดวงฤทัยหรือดวงแก้วตาดุจดวงดาราดวงดาวดวงไหน วอนให้ชายทุกคนเดินผ่าน วอนให้ใจน้องไม่มีใคร วอนให้ลมพัดพาหัวใจพี่ไปถึง…    

คอร์ดสุดท้ายสิ้นเสียงจางไป เสียงปรบมือดังขึ้นและเสียงของใครอีกคนบอกกับเจ้าของเพลงว่า 

“มึงต้องเอาเพลงนี้ไปบันทึกเสียงให้ดีๆ” 

“เพลงนี้จะทำให้มึงได้เดินทาง” อีกหนึ่งเสียงช่วยเสริม  

อีกหลายคนในวงล้อมของเช้าวันนั้นก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะ 

“เพลงนี้ชื่อแก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร เอามาเล่นก็เขินทุกที” เจ้าของเพลงพูดเช่นนั้น และยิ่งได้ฟังที่มาที่ไปของเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ผมยิ่งรู้สึกเขินตาม

เขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเคยไปเที่ยวที่น่าน ช่วงนั้นเป็นงานแข่งเรือยาวประจำปีพอดี ตื่นขึ้น เดินไปซื้อของที่ร้านชำแห่งหนึ่งในเมืองน่าน บังเอิญได้ไปเจอใบหน้าไร้การแต่งแต้มของสาวเจ้าถิ่น แต่ทว่าสาวคนนั้นยังแก้มแดงด้วยความเป็นธรรมชาติ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้เขาต้องเก็บมานั่งละเมอเพ้อถึง 

เขาเก็บแก้มแดงและรอยยิ้มนั้นไว้ในห้วงความทรงจำ ก่อนลงมือเขียนเพลงนี้ขึ้นแค่ในเวลาไม่ถึง 20 นาที และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เพลงนี้ไม่เคยนำมาเล่นในนามของเขียนไขและวานิช จะมีก็เฉพาะคลังสะสมเพลงใน SoundCloud ของเขาเท่านั้น 

จนวันนั้นมาถึง…

เมื่อเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ถูกนำไปบันทึกเสียงและปล่อยออกมาให้ได้ฟัง เป็นจริงอย่างว่า บทเพลงของเขียนไขและวานิชกำลังเดินทาง 

 

2562

ผมเจอเขาอีกครั้งที่กรุงเทพฯ หลังจากยอดวิวของเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร เกือบจะแตะหลักล้านเห็นจะได้ เรานัดกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ที่ตอนเย็นจะเป็นร้านนั่งดื่มบนหัวมุมถนนแถวสีลม วันนั้นผมจึงได้รู้จักเขียนไขและวานิชมากยิ่งขึ้น 

ผมได้รู้ว่า…

โฟล์กบอยคนนี้เป็นคนเชียงใหม่ เพื่อนๆ เรียกว่า โจ้ เดิมทีเขาใช้ชื่อ สาโรจน์ ยอดยิ่ง เป็นชื่อแทนศิลปิน ต่อมาจึงเป็นเขียนไขและวานิช ชื่อที่มาจากเทคนิคหนึ่งในวิชาภาพพิมพ์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เป็นนามปากกาในวงการเพลงของเขาจนถึงปัจจุบัน

โจ้มีเพื่อนสนิทหนึ่งคน เป็นหนุ่มผมยาวนามว่า เล–ประชา หลุยจำวัน เขาคือสมาชิกของ อิสยา และมีโปรเจกต์เดี่ยวในชื่อ สุขเสมอ เลกลายมาเป็นเป็นคู่หูที่ผ่านทุกข์เจอสุข ร่วมชีวิตกันมากับโจ้ตั้งแต่ครั้งเรียน ปวช. ก็ตั้งแต่สมัยที่เริ่มเล่นดนตรีแต่งเพลงกันช่วงแรกๆ นั่นเอง 

เลหรือจ่าเลของโจ้ เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในการทำเพลงของเขียนไขและวานิช ทั้งด้านทำนองและเนื้อร้อง ด้วยความสำคัญเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ภาพจำของเขียนไขและวานิชจะถูกมองว่าวงดนตรีนี้มีสมาชิกสองคน 

เขียนไขและวานิชเริ่มต้นด้วยการเขียนเพลงแรกเมื่อช่วงปี 2553 กว่า 8 ปีแล้วที่เขาเดินอยู่บนเส้นทางสายดนตรี เขียนเพลงเก็บไว้ในคลังกว่า 40 เพลง แต่ แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร คล้ายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ทำให้ชื่อของเขียนไขและวานิชดังเปรี้ยงจนเป็นที่รู้จักของแฟนเพลง เมื่อหนึ่งเพลงดังขึ้น แน่นอนผลงานเพลงเก่าๆ ของเขาอย่าง อาจจะเพียง หนีห่าง, ภาพฝันในจักรวาล, ตามกาลเวลา ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเวลาต่อมา

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เขียนไขและวานิชมีแฟนเพลงติดตามอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เพราะเพลงเพลงเดียวจริงๆ ที่เป็นแรงหนุนให้เขียนไขและวานิชได้เดินทางมากขึ้น เสียงเพลงที่เคยดังจากนักร้องฝ่ายเดียว เริ่มมีอีกหลายเสียงของผู้ฟังร้องตามได้มากขึ้น เมื่อมีการแสดงที่ไหน เป็นอันว่าสถานที่นั้นจะแน่นเอี้ยดไปด้วยแฟนๆ ที่ตามมา หลังโชว์จบยิ่งแล้วใหญ่ จากครั้งที่เคยเล่นเสร็จเก็บข้าวของแล้วหิ้วกระเป๋ากีตาร์กลับ ตอนนี้เขาต้องอยู่รอเซ็นชื่อ รอถ่ายรูป จนถึงคนสุดท้ายของแถวที่ยาวเป็นหางว่าวทุกงานไป 

ตั้งแต่วันที่พบกันบนดอย ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ผมจะติดตามไปดูโชว์ของเขียนไขและวานิชอยู่เสมอ ประสาคนเคยพบพูดคุยกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาจากการพูดคุยถามไถ่ อัพเดตเรื่องราวของกันและกัน ทำให้ผมมองเห็น ชายคนที่เคยติดอยู่กับมรสุมชีวิต ติดอยู่กับปัญหาหนักอกเรื่องเรียนไม่จบ คนที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตต่อไป จะหาเงินจากไหนหรือไปทำงานอะไร มาวันนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลาย 

เมื่อผลงานเพลงของเขากลายเป็นที่รู้จัก มีงานทัวร์มากขึ้น ทำให้การเป็นศิลปิน ได้เล่นดนตรีกลายเป็นอาชีพหลักของเขาไปแล้ว อาชีพที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะนำมาซึ่งรายได้มากมายขนาดที่จะกลายมาเป็นทุนในการใช้ชีวิต อาชีพที่ไม่เคยคิดว่าจะพาเขาเดินทางไปพบเจอสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยพบเจอ และก็เป็นอาชีพเดียวกันที่ทำให้เขาเริ่มสับสน อ่อนล้า เริ่มไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ แม้ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้…

 

2563

ผมพบเขาอีกครั้งในงาน Gathering in the glen #2 ประจำปี 2563 งานมิวสิกแคมป์ปิ้งที่ถือกำเนิดขึ้นโดยอินดี้โฟล์กรุ่นใหญ่ของเมืองไทยอย่างวง selina and sirinya งานรวมกลุ่มนักฟังเพลงที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อนสไตล์ป่าเขามาอยู่ร่วมกัน สำหรับปีนี้ เขียนไขและวานิชถือเป็นวงดนตรีหลักวงหนึ่งที่ทุกคนในงานรอพบเจอ  

ใช้เวลาอยู่สักพัก กว่าผมจะหาเวลานั่งคุยกับเขาได้ เหตุผลก็เพราะแฟนเพลงรวมถึงคนรู้จักต่างเวียนกันมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น และแวะมาทักทายพูดคุยกับเขาอยู่ไม่ขาดสาย สุดท้ายช่วงเวลาแห่งการสนทนาของเราก็มาถึง

หลังลงจากดอยวันนั้น จนถึงตอนนี้ได้หยุดพักบ้างหรือยัง ผมเอ่ยทักทายเขาด้วยคำถามแรก

เขาตอบคำถามแบบซื่อๆ ตามสไตล์ “ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ดีๆ มีงานเยอะได้ยังไง” 

รู้สึกยังไงบ้างที่อยู่ดีๆ มีงานเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว–ผมสงสัย

“รู้สึกแค่ว่ามีงานก็ต้องไปสิ เอาเงินก่อน ไปหมดทุกที่ ก็ก่อนหน้านี้มันไม่มีเงินไง” หลังสิ้นประโยค เขาหัวเราะเสียงดัง

“เหมือนตอนนี้ชีวิตลงตัวแล้วใช่ไหม เพลงก็ดัง มีงาน มีเงินใช้” 

เขานิ่งคิดสักครู่ก่อนบอกว่า “ตอนนี้ถึงจุดอิ่มตัวที่อยากจะกลับ กลับไปหาเวลานั่งคิดทบทวนกับตัวเอง ไม่มีเวลาแต่งเพลงเลยเพราะเรื่องต่างๆ ที่โถมเข้ามา เรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มช้ำแล้ว เริ่มอืด ต้องเล่นดนตรีทุกวัน มันเหนื่อยฉิบหายเลยนะ แล้วมันไม่มีเวลาสร้างสรรค์อะไรเลย ไม่มีเวลาคิดอะไร รู้แค่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปขึ้นรถตรงไหน ลงที่ไหน เล่นที่ไหน ซาวนด์เช็กกี่โมง เสียบกีตาร์ดีดแล้วก็ร้อง

“เคยคิดจะหยุดมาสักพัก แต่ก็ยังหยุดไม่ได้เพราะคิดว่ามีโอกาสให้ไปได้ เราก็ยังอยากไป ไปเพื่อแตะให้ถึงที่สุด ถึงเวลาได้แค่ไหนก็หยุดแค่นั้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เวียนหัว มันเป็นตัวเองที่ซับซ้อนมาก ไปถามใครต่อใครก็ได้คำตอบไม่เหมือนกัน บางคนก็ว่าให้ทนอยู่ไปก่อน บางคนบอกถ้าไม่ไหวก็ให้ถอยกลับมาดูตัวเองก่อน หยุดเถอะมันช้ำหมดแล้ว มีหลายคำตอบไม่รู้จะเลือกยังไง”

“เมื่อก่อนยังไม่มีงานเล่น เราก็ทะเยอทะยานเพื่อไปหางานเล่น จนวันนี้งานเยอะมากกว่าเดิมหลายเท่า เคยมีความรู้สึกแบบเล่นๆ ให้จบๆ ไปบ้างไหม” ผมแกล้งตั้งคำถามที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

“เมื่อก่อนเราเคยคิดแบบนั้น โดนพี่ๆ ในวงการที่รู้จักคอยด่าคอยเตือน เขาสั่งสอนเราประมาณว่า ‘มันเป็นหน้าที่ของมึงนะ มึงต้องรับผิดชอบกับเวลาโชว์แค่ชั่วโมงเดียว ทำไมมึงไม่ทำให้มันเต็มที่วะ’

“ตอนนั้นเราหงุดหงิดมากที่ไม่มีคนฟังเพลงที่เราตั้งใจเล่น บางคนมาก็ฟังแค่สองเพลงหลักที่รู้จัก เพลงที่เหลือก็คุยก็ดื่มกัน เราก็เล่นแบบประชด พอกลับมานั่งทบทวนคำพูดที่พี่ๆ บอกเรา ทำให้รู้สึกตัวและคิดได้ กลับมาทบทวนว่างานของเราทำไมไม่ทำให้เต็มที่ จะหงุดหงิดทำไม ใครจะฟังไม่ฟังก็ช่างเขาเถอะ” 

ที่บ่นว่าไม่มีเวลาเขียนเพลงเลย นอกจากต้องจดจ่ออยู่กับเรื่องเล่นดนตรี อีกเหตุผลหนึ่งเพราะเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร คือสิ่งที่สร้างความกดดันให้เพลงใหม่ด้วยหรือเปล่า 

“สิ่งนี้ก็น่าคิดนะ แต่ว่าเราไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะมองว่าทุกเพลงของเราล้วนมีความหมายในตัวเพลงอยู่แล้ว ตอนนี้ในใจคิดว่าเราจะทำเพลงใหม่ออกมา เราคาดหวังหรือเปล่า คาดหวังว่าเพลงต่อไปจะต้องติดหูคนฟังให้ได้หรือเปล่า

“เพลงทุกเพลงของเราเท่าเทียมกันหมด หลายๆ คนชอบถามว่า แก้มน้องนางฯ มาดีแล้วมีโอกาสไหมที่จะทำให้เพลงไหนออกมาดีกว่าเพลงนี้ เหมือนเป็นการบ้านสำหรับเรา แต่ไม่อยากคิดว่าจะต้องทำให้ดีกว่าเพลง แก้มน้องนางฯ เพราะเราบอกอยู่ตลอดว่า เพลงนี้เป็นเพลงเสี่ยว เราไม่ชอบ ตัวเราเลยไม่อยากคาดหวังกับเพลงนี้ว่าจะต้องเป็นเพลงดัง แต่คนอื่นดันคาดหวังแทนเรา

“เมื่อก่อนเราไม่ได้หวังอะไรก็แค่ทำออกมาแค่นั้น เรามานั่งคิดขัดแย้งกับตัวเอง ทุกวันนี้เราพยายามเขียนเพลงอยู่ตลอดแต่ยังไงๆ ก็ไม่ได้สักที เรานั่งถามตัวเองว่า เมื่อก่อนเราทำเพลงเพราะอะไร แล้วตอนนี้เราทำเพลงไปเพื่ออะไร เมื่อก่อนทำด้วยความชอบของตัวเอง แต่มาตอนนี้กลับเป็นว่าต้องทำเพื่อให้คนอื่นชอบ ทำเพลงใหม่เพื่อที่จะอัพเดต พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้เราไม่อยากแต่งเพลง ไม่อยากทำเพลง” นับตั้งแต่นั่งคุยกันเขาเปิดเครื่องดื่มกระป๋องที่สอง ก่อนหน้านั้นไม่รู้จำนวน 

ระหว่างพูดคุยกัน ผมเห็นเขาต้องยกมือรับไหว้ ยิ้มทักทายคนรู้จักและแฟนคลับอยู่เสมอ 

จนถึงทุกวันนี้เรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินได้หรือยัง ผมเอ่ยถามหลังจากเขาหันหน้ากลับมาหา

“ไม่ชอบถูกเรียกว่าเป็นศิลปิน เรากระดากปากตัวเองถ้าให้มาพูดว่า สวัสดีครับผมเป็นศิลปิน เราไม่กล้าพูดหรอก เราไม่กล้าขนานนามตัวเอง พูดแล้วจะเขินๆ ตลอด เขินแทนคนที่เรียกเราด้วยซ้ำ” คำตอบของเขาที่ได้มา ผมเชื่อแล้วว่าคงเขินจริงๆ

มีแฟนเพลงมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นมากมาย ยังเขินอยู่อีกเหรอ ผมแกล้งแซว

“ก็ได้อยู่ เรายังทนได้ แต่บางทีเราก็มีอารมณ์แบบอยากขอเวลาเป็นส่วนตัวบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นส่วนตัวอย่างเดียวหมดก็จะไม่ดีกับคนที่เดินทางมาเพื่อเจอเราอีก แล้วพอมาคิดแบบนี้มันดูแย่เลยนะ เหมือนว่าเราไม่เหมือนเดิม” 

ผมได้ข่าวมาเหมือนกัน มีคนพูดกันหลายคนว่าเขียนไขและวานิชไม่เหมือนเดิมแล้ว เป็นยังไงเล่าให้ฟังบ้าง

“กับคำว่าไม่เหมือนเดิม เราเกลียดมาก ไม่รู้จะต้องทำยังไง เพราะเราก็อยู่แบบปกติ พอได้ยินคำเหล่านี้มาเราก็จุก ทั้งๆ ที่เราก็เหมือนเดิม แต่เพราะเพลงดังขึ้นสภาวะแวดล้อมเราเลยเปลี่ยน ทุกวันนี้เกิดคำถามกับตัวเองเรื่องพวกนี้เยอะทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก เหนื่อยกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ แต่ทำอะไรไม่ได้ (ทำเสียงสอง) เราก้าวเข้ามา เราถอยหลังไม่ได้แล้ว” สิ้นคำตอบผมได้ยินเสียงจากเวทีใหญ่ของงานเริ่มบรรเลงแล้ว บทเพลงอะคูสติกจากบนเวทีจึงดังเคล้าไปกับการสนทนา

เขียนไขและวานิชได้รับผลกระทบมาจากการเป็นที่รู้จักมากขนาดไหน  

“เราโดนพูดถึงมากทางเพจ แต่เราไม่อยากอ่าน ผู้จัดการเราจะคอยสแกนข้อความพวกนั้นให้ เพราะอย่างบางคอมเมนต์เรามาอ่านแล้วก็ไม่มีความสุข บางทีเราทำเป็นยิ้มนะ แต่เราเก็บมานั่งเครียด ในใจนี่จะร้องไห้ เหมือนมาเจอบางคำพูดที่บั่นทอน 

“ถ้าเป็นแบบนี้ รู้งี้เราไม่ออกมาเสียดีกว่า เคยนั่งร้องไห้กับตัวเองว่าทำไมต้องมาเจอความกดดันอะไรแบบนี้ ไม่น่าออกมาเลย ไม่เอาอะไรแล้วก็ได้ โคตรคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านเลย แต่ศิลปินรุ่นพี่หลายคนเขาก็บอกว่าเหตุการณ์แบบนี้พี่ก็เคยผ่านมา เราก็เกิดคำถามที่ว่า พวกเขาอยู่กันมาได้เพราะอะไรวะ เรายังพยายามหาคำตอบอยู่” เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมเบนสายตาไปในงาน แดดร่มลมตกคนเริ่มทยอยกันมาแน่นขึ้น เตนท์หลากสีหลายหลังวางเรียงราย พื้นที่หน้าเวทีถูกจับจอง 

การเป็น someone ที่มีคนรู้จักมากๆ คิดว่า เรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองจากการพูดถึงเราแบบที่ไม่เข้าหูบ้างไหม ผมถามเขาหลังจากที่กลับมาพร้อมเครื่องดื่มเต็มกระป๋อง 

“จริงๆ ก็บ่นนะ เราก็เคยไปใช้คำพูดที่มาจากอารมณ์ ก็มีผู้ใหญ่ฝากคนมาเตือนเราว่า ไม่ควรทำแบบนั้นหรือพูดอะไร เช่น เขาด่ามาแล้วเราตอบโต้กลับไป ถามว่าทำไมต้องโต้กลับไปก็เพราะเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หยิกเราเราก็เจ็บ” ผมหัวเราะไปกับน้ำเสียงของเขา 

“หลายคนที่รู้จักมาบอกว่า มันไม่ดีนะ เดี๋ยวเราจะไม่มีงานนะ เราก็เกิดคำถามว่ามันไม่ดียังไงกับการตอบโต้กลับไปยังคำพูดของบางคนที่ฟังแล้วไม่เข้าหู เพื่อนร่วมงานของเราก็จะคอยมากันว่าอย่าเข้ามายุ่ง (ทำเสียงสอง) อย่าไปฟัง เดี๋ยวพวกเขาจะรับทั้งหมดให้เอง แต่ว่าทุกอย่างที่เข้ามา สุดท้ายแล้วมันก็วนมาหาเราไง เพราะเป็นงานของเรา คนของเราถูกกระทำเราก็อยากออกไปปกป้อง อยากจะมีเหตุผลจนบางทีก็ไร้เหตุผล มันเรื่องอะไรกันนักหนาวะ” พูดเสร็จเขายกกระป๋องขึ้นดื่ม

“เราดันไม่คาดหวังสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทุกวันนี้ พอได้เล่นก็เล่น ได้เดินทางก็ไป จนคำว่าไปก็ไปมันเริ่มมากขึ้น หนักขึ้น มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว กลายเป็นอาชีพไปแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าต้องเตรียมตัวอะไร แต่ตอนนี้ยิ่งไปเล่นเรายิ่งอาย เพราะเราไม่เก่งไง แล้วเราก็อยู่กับที่เหมือนเดิม บางคนก็บอกว่าเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว แต่ความจริงที่เราเจออยู่คือเราเล่นวนๆ อยู่เหมือนเดิม ทางคอร์ดแบบเดิมๆ เราตันมาก หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้”

ทำในสิ่งที่เป็นตัวเองให้ดีที่สุดก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ผมสงสัยไปกับความสับสนของเขาเหมือนกันในตอนนี้

“นั่นแหละที่กำลังถามตัวเอง เราพยายามให้เกียรติงานตัวเอง เพราะมันหาเงินให้เราได้ จะมานั่งเล่นง้องแง้งแบบเดิมๆ ต่อไปได้เหรอ เราก็ต้องทำอะไรส่งเสริมให้ดีขึ้นมากว่านี้อีกให้ได้ เป็นตัวของตัวเองได้ แต่ควรจะมีระเบียบวินัยหน่อยไหม เราคิดอะไรประมาณนี้ได้จากการที่ได้ไปเจอมืออาชีพ ไปเจอผู้ใหญ่คนที่อยู่ในวงการดนตรีมากขึ้น

“ชั่วโมงบินของเราอาจจะเยอะก็จริง แต่เรารู้สึกว่ามันไม่มีคุณภาพ อาจจะต้องทำให้ตัวเองขยับขึ้นมาให้ได้ แต่พยายามอยู่ใบบริบทของความเป็นตัวเองและรักษาให้ตัวเองเป็นเหมือนเดิม คุมตัวเองให้อยู่ ตอนนี้หนามเยอะ ทุกอย่างทิ่มแทงเราหมด เป็นดาบสองคมหมดเลย” คำตอบนี้ของเขาชวนเศร้าไม่น้อย

ตอนนี้เพลงดัง มีเงินใช้ ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม คิดว่าจะกลับไปเขียนเพลงเศร้าเหมือนที่ผ่านมาได้ไหม–ผมชวนเขาทบทวน

“ได้นะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังมีผลกระทบจากความเศร้าอยู่ในตัวเอง เราดันเป็นคนชอบคิดเรื่องเศร้าแล้วเอามาเขียนเพลง ทุกวันนี้ก็ยังเขียนเพลงรักแบบแฮปปี้ไม่ได้ หลังๆ ก็เศร้ามาตลอด ที่เขียนจดไว้ก็มีแต่อะไรเศร้าๆ กลายเป็นเสพติดความเศร้าพวกนี้ไปแล้ว ถึงจะเขียนเพลงให้คนอื่นร้องก็ยังมีกลิ่นความเศร้าอยู่ดี แต่เราพยายามจะไม่เศร้าเรื่องชู้สาวหรือเรื่องผู้หญิงอะไรแบบนั้น อยากเศร้าในอีกด้านของชีวิตมากกว่า” 

สำหรับชีวิตคงมีเรื่องอีกมากมายให้เขาเล่าแน่ๆ ผมนึกในใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า จนถึงวันนี้พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แค่ไหน 

“ถามว่าคุ้มไหม มันโคตรคุ้ม ชีวิตคนคนหนึ่งได้มาแตะถึงตรงนี้ ได้มาทำงานที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มาเจอสิ่งต่างๆ เยอะมาก เจอศิลปินที่เคารพนับถือ เจอดารา ไม่เคยมีโอกาสได้มาแตะ เพราะปกติก็อยู่ข้างล่างเวทีดูพวกเขา ได้ไปร่วมทำโปรเจกต์กับศิลปินคนนั้นคนนี้ เมื่อก่อนนี้เราปลื้มแบบเป็นติ่งเขา แล้วมาวันนี้เราได้เล่นร่วมเวทีเดียวกัน มันโคตรคุ้มฉิบหายเลย” 

เขาชี้มือไปที่ selina and sirinya วงดนตรีอันเป็นที่รักของเขา “ใครๆ ก็รู้ว่านี่คือไอดอลของเรา เป็นบุญสุดๆ แล้วที่ได้มาเล่นงานเดียวกันกับพี่ๆ เขา เมื่อก่อนคำว่าเรียนไม่จบเป็นปมด้อยมากเลยนะ มีคำถามที่ว่าไม่จบแล้วจะไปทำอะไรต่อ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว 

“ไม่รู้นะ ชีวิตต้องมีอะไรสักอย่าง เหมือนมีบางอย่างไม่อยากให้เราอยู่กับที่ ใครจะไปรู้ว่าวันก่อนยังจมอยู่ตรงนั้น วันนี้จะขึ้นมาอยู่ตรงนี้ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่รอให้ได้ไปเจอเมื่อถึงเวลา ตอนสุดท้ายเราอาจไม่ได้เป็นนักดนตรีก็ได้ อาจเป็นเจ้าของร้านอาหารก็ได้ ใครจะไปรู้” 

เชื่อว่าเรื่องของชีวิตมีอะไรบางอย่างกำหนดไว้อย่างนั้นใช่ไหม ผมถามต่อ

“ไม่มีใครมากำหนดเราหรอก แค่รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรสักอย่างที่ช่วยให้เราไม่จมดิ่งอยู่กับที่ ทุกวันนี้ถ้าเครียดอะไรสักอย่าง เดี๋ยวก็จะมีบางอย่างมาปลดล็อก ทำให้เราไปเครียดเรื่องอื่นๆ แทนต่อไป

“อย่างเช่น อะไรไม่รู้ดลใจให้ต้องเล่นเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ในวันนั้น เป็นเรื่องเล็กๆ ในวงเหล้าที่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ จะทำให้เพลงดัง มันเริ่มจากตรงนั้นเลย ถ้าพี่ต่ายไม่เล่นเพลงเสี่ยวของตัวเองก่อน เราก็ลืมเพลง แก้มน้องนางฯ ไปเลย แบบขุดออกมาด้วยซ้ำ” เมื่อพูดถึงเพลงนี้ทีไรภาพของทุกคนบนระเบียงบ้านพาตี่มักจะลอยเข้ามาในหัวของผมเสมอ

จากเพลงเสี่ยวกลายเป็นเพลงที่ดังมากๆ ขนาดไหนแล้ว ผมถามให้แน่ใจ เพราะตามเพลงดังเพลงนี้ไม่ทันแล้ว

ไปอยู่ในโฆษณาของสายการบินไทยสมายล์ ไปอยู่ในหนังเรื่อง Low Season สุขสันต์วันโสด ของสหมงคลฟิล์ม แล้วก็กำลังไปอยู่ในงานของ กยศ. เอาไปประกอบกับโฆษณาอะไรสักอย่าง เขาเพิ่งส่งเอกสารมา แล้วก็มีไป cover ในรายการ The Voice ด้วย”

คิดยังไงบ้างกับคำพูดที่ว่า คนอื่นเอาไป cover ดีกว่าต้นฉบับ  

“โอ๊ย สบาย ทำได้เต็มที่เลย เราไม่เคยหวง ดีทั้งกับเขาและกับเราด้วย เราดีใจที่ว่าเขาคิดถึงเรา เอาเพลงเราไปเล่น”

ถ้าวันนี้ให้กลับไปใช้ชีวิตแบบวันที่ไม่มีงานทำเอาไหม ผมลองแซว

“ก็คงดี เพราะเรามีทุนแล้วไง (หัวเราะ) กลับไปอยู่บ้านตัวเองได้แล้ว”

รอบปีที่ผ่านมา มีเรื่องไหนเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิต

“บทเรียนเหรอ น่าจะเรื่องการมีแฟนเพลงไปพาดพิงเขานั่นแหละ”

หลังจากแต่งเพลงนี้ให้เธอคนนั้น โจ้ได้มีโอกาสกลับไปงานแข่งเรืออีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว และพบเจอกับเธอคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ขึ้นมา ทั้งคนเขียนเพลงและคนที่อยู่ในบทเพลงต่างเติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง จนเมื่อมีโอกาสเจอกันอีกครั้ง เจ้าตัวก็เดินมาขอบคุณเขียนไขและวานิชสำหรับบทเพลงและความรู้สึกดีๆ ที่มอบให้กัน จากเรื่องราวนี้สำหรับผมเพลงนี้จึงเป็นเพลงที่จบบริบูรณ์แล้วด้วยองค์ประกอบทั้งมวล 

แต่บทเรียนสำคัญที่เขาว่าคือ…

“มีแฟนเพลงไปโพสต์ว่าอยากเห็นหน้าของคนที่อยู่ในเพลง เธอคนนั้นก็ทักมาหาเรา เจ้าตัวเขาบอกว่าไม่ชอบที่มีคนไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิต เขาต้องการความเป็นส่วนตัวของเขา ซึ่งพอเราได้รู้ก็ไม่โอเคนะ เพราะเราก็ควรเคารพสิทธิ์เขา เขาก็ควรได้ใช้ชีวิตปกติสุขของเขา” 

ถึงแม้จะพบเจอปัญหาและอุปสรรคในการเล่นดนตรี อยากถามว่า ตอนนี้ยังเล่นดนตรีอยู่เพื่ออะไร

“อันนี้พูดตรงๆ นะ เพื่อรับผิดชอบ เรารับปากกับเจ้าของงานไว้แล้ว เราจะตามเก็บให้มันจบ ก็คือไม่เพิ่มแล้ว ตอนนี้รับงานเล่นไว้ข้ามปีแล้วนะ จะสะสางให้จบ วงจะได้พัก จะได้เบรกตัวเอง มันมีสัญญาณความเบื่อมาแล้วนะ เราควรจะหยุดได้แล้ว 

“มานั่งคุยกันในวง เราช้ำแล้ว ควรพอ หายไปสักพัก ไปทำงานอื่นๆ ที่ตัวเองชอบแล้วค่อยกลับมา มันจะเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ ทุกวันไม่ได้นะ มันไม่ได้จริงๆ ถ้าจะทำงานอย่างนี้ มันไม่อยู่ไปตลอดหรอก หยุดตัวเองให้ได้ก่อนที่จะไม่มีคนมาฟัง 

“ตอนนี้คุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในวง เราคิดกันแล้วว่าช่วงกลางปี เราจะพักวง พักทัวร์ เดินทางกลับบ้าน กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติ ไม่รับงานเล่นที่ไหนเลย จะพักร่างกายตัวเองเพื่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์ จะได้มีเวลาสำหรับคิดงาน” 

“ไม่รบกวนเวลาแล้ว นู่น แฟนคลับรอถ่ายรูปขอลายเซ็นอยู่เพียบเลย” ผมพูดหยอกเขาตามประสา

งาน Gathering in the glen #2 ดำเนินมาถึงช่วงท้องฟ้าประกายดาว ถึงคิวของวงดนตรีชื่อเขียนไขและวานิชขึ้นเล่น ผมนั่งชมการแสดงและฟังเสียงกีตาร์อะคูสติกผสานเสียงร้องของเขาอย่างตั้งใจ เหม่อมองไปที่พระจันทร์กลมโต พลันนึกถึงความสูงอันหนาวเหน็บที่เขียนไขและวานิชกำลังพบเจอ เป็นความสูงที่ต้องเรียนรู้รับมือด้วยความลำบากยากเย็น กับความรู้สึกที่เหมือนยืนอยู่บนยอดเขาสูงที่ต้องเผชิญอากาศเหน็บหนาวแต่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับความหนาว เจอกับสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงปรับตัวตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เป็นความสูงเดียวกันที่ทำให้เขามองเห็นภาพต่างๆ ได้สวยกว่ามุมปกติของชีวิต เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าแค่ไหน เขาเท่านั้นที่รู้คำตอบ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ธนพล โฆษะวิวัฒน์

ชื่อเล่นชื่อ กิ้ม สนุกกับการบันทึกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตด้วยการกดชัตเตอร์ ฝันไว้ว่าสักวันจะคุยกับสัตว์รู้เรื่องเพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราว