‘ความสัมพันธ์ดี งานออกมาดี’ 22 ปี FRIDAY วงดนตรีอารมณ์ดีที่ไม่ว่าจะฟังวันไหนก็มีความสุข

Highlights

  • FRIDAY เป็นวงดนตรีป๊อปอายุวง 22 ปี ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนที่เป็นเพื่อนกันมาร่วม 30 ปี คือ บอย–ตรัย ภูมิรัตน, ดุลย์–อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ และ หนึ่ง–เกรียงไกร วงษ์วานิช 
  • หลังจากไม่ได้เห็นพวกเขาร่วมเล่นดนตรีบนเวทีเดียวกันมานาน FRIDAY กำลังจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ชื่อว่า ‘FRIDAY 22 ปียินดีที่ได้รู้จัก’ ในช่วงสิ้นปีนี้

รู้สึกเหมือนกันไหม เมื่อการทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์อย่างวันศุกร์เดินทางมาถึง หลายครั้งเราจะรู้สึกมีความสุข ซึ่ง ‘สุขแห่งชาติ’ ที่ใครๆ ต่างเฝ้ารอเป็นเหตุผลให้ 3 สหายนำมาตั้งชื่อวง FRIDAY

สหายทั้ง 3 คนที่ว่าประกอบไปด้วยนักร้องนำคือ บอย–ตรัย ภูมิรัตน พร้อมมือกีตาร์สองคนชื่อ ดุลย์–อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ และ หนึ่ง–เกรียงไกร วงษ์วานิช นับตั้งแต่พบหน้าทำความรู้จักกันพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชีวิตกันมาแล้วราว 30 ปี 

แต่หากนับเวลาในการเป็นเพื่อนร่วมวง ตอนนี้ FRIDAY เข้าสู่ขวบปีที่ 22 ตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบันวงดนตรีป๊อปวงนี้มีผลงานทั้งหมด 4 อัลบั้มคือ Friday I‘m In Love, Magic Moment, Song For Tomorrow และ Colorfication รวมทุกอัลบั้มแล้วเฉลี่ยเพลงฮิตติดหูได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ชั่วโมงต้องมนต์, เปลี่ยนไปทุกอย่าง, หนาวนี้, อยู่คนเดียวอีกแล้ว, ใกล้ไป, ไม่ว่าเธอจะรักฉันหรือไม่, นาฬิกา รวมถึง เพลงรักเก่า 

นอกจากทำงานร่วมกันในชื่อ FRIDAY สมาชิกทั้ง 3 ยังมีงานดนตรีที่เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวกันอีกด้วย อย่างบอยทำเพลงเดี่ยวในชื่อ บอย ตรัย และเป็นนักแต่งเพลงเลื่องชื่อ นามปากกาว่า Zentrady ส่วนหนึ่งมีวงชื่อ Sleeper 1 อดุลย์เองก็ผลิตงานในชื่อ DUNE TUNE และยังมี 2 Days Ago Kid วงดนตรีโปรเจกต์พิเศษที่รวมเพื่อนพ้องศิลปินชื่อดังไว้มากมาย

เรานัดพบเจอในวาระที่ FRIDAY กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ‘FRIDAY 22 ปียินดีที่ได้รู้จัก’ ครบรอบ 22 ขวบ ในวันที่ 14-15 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นนัดหมายสำคัญหลังจากไม่ได้เห็นพวกเขาทั้ง 3 คนครบวงบนเวทีมาเนิ่นนาน

งานนี้พวกเขาบอกว่าจะพาผู้ฟังทุกคนย้อนกลับไปในบรรยากาศช่วงเริ่มต้นทำวง ส่วนทำไมถึงต้องมองกลับไปยังจุดเริ่มต้น สิ่งนี้สำคัญกับพวกเขามาก-น้อยขนาดไหน ก่อนคืนสู่เหย้าชาว FRIDAY จะมาถึง ผมอยากชวนทุกคนมานั่งล้อมวงคุยฟังคำตอบจากพวกเขาไปพร้อมกัน

ไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันอะไร ผมขอให้ทุกคนได้นั่งฟังพวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข   

 

ทุกวันนี้แต่ละคนทำอะไรกันอยู่บ้างในวันศุกร์

บอย : ยังมีบางศุกร์ที่เหมือนเดิมคือเล่นดนตรี แต่ว่าก็มีศุกร์ใหม่ๆ ที่ได้อยู่บ้าน เลี้ยงลูก และมีศุกร์ที่ต้องมาประชุม เราทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เล่นดนตรีต่อ หมายถึงทำงานรับจ้าง (หัวเราะ) ทั้งทำเพลงโฆษณา เป็นอาจารย์สอนพิเศษ เป็นโค้ชประกวดร้องเพลง อะไรที่ทำเพื่อต่อลมหายใจของการแต่งเพลง เกี่ยวกับการทำดนตรี รับหมด

หนึ่ง : เราจะแตกต่างหน่อยเพราะย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ต่างจังหวัดนานมากแล้ว หลักๆ ทำฟาร์มเกษตรอยู่ที่เชียงใหม่ ทำไปสักพักเริ่มสนุก ตอนนี้เริ่มทำสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับการเกษตรอีก และเป็นผู้รับเหมาทำโรงเรือน กลางวันจะอยู่กับเรื่องต่างๆ พวกนี้ กลางคืนจะทำเพลง ฟังเพลงบ้าง ยังรักที่จะทำเพลงอยู่ แต่ว่าทำได้ไม่เยอะ ส่วนใหญ่วันศุกร์จะเป็นวันที่เคลียร์เรื่องฟาร์ม อาจจะได้นั่งคุยกับคนงาน ได้คุยกับเพื่อนๆ แถวบ้าน แล้วก็เลี้ยงลูก

อดุลย์ : เหมือนกันเลยคือดูแลธุรกิจที่บ้าน แต่เล่นดนตรีเหมือนเดิม เพราะเดินทางมาถึงตรงนี้การเล่นดนตรีเป็นความถนัดและทำได้ดีที่สุด มีบางเสียงบอกว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มีความสุขที่ได้ทำและได้ยินมัน 

 

พออยู่ห่างกัน ทุกวันนี้การทำงานเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

อดุลย์ : ใช้การส่งไลน์ผ่านมือถือ ส่งไอเดียที่สร้างขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็เหมือนการทำงานที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าต่างสถานที่ อาจถาม-ตอบช้าลง แต่ได้เวลาคิดเยอะขึ้นกว่าการเจอหน้า อยู่บ้านมีเวลาให้คิดนิดหนึ่ง มีวิธีตอบว่าจะเอาไม่เอา ตกเย็นมาก็ไลน์หาเพื่อน ทำเพลงกัน ส่งเพลงให้ฟัง คนนี้คิดยังไง อัพเดตกัน อัดกีตาร์ให้ฟัง บอยแต่งเนื้อ เขียนเมโลดี้มา พี่หนึ่งนี่เช็กไลน์ทีหนึ่งเวลาห้าทุ่มก่อนนอน วันหนึ่งติดต่อได้ครั้งเดียวเพราะเวลามีแค่นั้น (หัวเราะ) 

หนึ่ง : ถ้าเช็กข้อความที่เพื่อนส่งมาในไลน์ก็จะได้ทำเพลง เพราะเราอยู่แบบเกษตรกร (หัวเราะ) 

 

การอยู่ห่างกันเป็นเหตุผลให้การทำอัลบั้มล่าช้าด้วยไหม

อดุลย์ : มีส่วนเหมือนกัน หลังๆ พวกเราชอบทำเพลงยากขึ้น เพราะพวกเราทำเพลงมาหลายแบบ เหมือนต้องทำงานแข่งกับเพลงของตัวเองและยังต้องแข่งกับความฮิต ทำให้ออกเพลงยากมากยิ่งขึ้น ถามว่าอยากให้ฮิตไหม เราก็อยาก ฮิตก็ดีแต่เราต้องถูกใจผลงานของตัวเองด้วย

บอย : เพราะยิ่งโต เหมือนเรามีเหตุผลในการชอบสิ่งที่เราทำมากขึ้น เรามีคำถามกับตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่วัยที่ทำอะไรออกมาแล้วตัดสินใจง่ายเหมือนเมื่อก่อน

 

หาก FRIDAY มีอัลบั้มใหม่จะแตกต่างจากเดิมไหม

บอย : ถ้าลองไล่ไปตามอัลบั้มที่เราเคยทำ จะเห็นว่ามีความตั้งใจ มีระยะเวลาในแต่ละยุคที่เป็นตัวตนของพวกเรา อย่างยุคแรกเรามีพี่เลี้ยงเป็นโปรดิวเซอร์เหมือนช่วงฝึกหัดทำสตูดิโอ ชุดที่สองเหมือนช่วงเดบิวต์ เราได้ทำเองทุกอย่าง ใส่ความเบิกบาน ความเป็นวัยรุ่น ของเราเข้าไปได้ ชุดที่สามเป็นการชาเลนจ์ตัวเอง ลงไปในพื้นที่ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำ ชุดที่สี่จึงวนกลับมาทำสิ่งที่เรานิยม ที่เราชอบ มีความเป็นพวกเรามากขึ้น และสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นการทำเพลงสะสม เอาความชอบมาเกลี่ยกัน ยังไม่รู้เหมือนกันว่าชุดที่ห้าจะออกมาเป็นยังไง 

อดุลย์ : ตอนเด็กอาจเล่าเรื่องพร่ำเพ้อได้อินมากๆ อยู่ในช่วงฮอร์โมนทำงานเช่นนั้น พอเราโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ แม้จะเล่าเรื่องแบบเมื่อก่อนได้อยู่ แต่ตอนนี้เราทำเพลงที่มีบางมุมเกี่ยวกับเรื่องจริง ความเป็นไปของชีวิต การลาจาก อาจจะอินแบบนี้มากกว่าการพร่ำเพ้อเรื่องอกหัก 

หนึ่ง : ผ่านประสบการณ์ ผ่านการเติบโตมา พยายามพูดสิ่งที่อยู่ในยุคเรามากขึ้น 

 

พอเติบโตขึ้น เวลากลับไปเล่นเพลงเก่าๆ ความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม

บอย : ถ้าในแง่ของคนร้อง อย่างเพลง กลับมา บางทีผมไม่ได้ร้องเพราะอยากให้ใครกลับมา แต่เป็นความสุขที่ได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างวงดนตรีกับคนฟัง เราสื่อสารกันด้วยเพลงนี้

อดุลย์ : ถ้าให้เสริมก็คือทุกอย่างกลับมาหมดแหละ เวลาที่เราเล่นเพลงที่เคยทำไว้ 17-18 ปีที่แล้ว ประเด็นคือเพลงมันไม่ใช่เพลงเราอีกต่อไป ทุกคนมีความเป็นเจ้าของเพลงเหล่านั้น เขาถึงมาอยู่ตรงนั้น เขาอยากจะฟัง เราเป็นตัวกลางในการบรรเลงสิ่งที่เขาอยากฟังแค่นั้นเอง

บอย : ในความคิดของผมคืออดีตเก็บไว้ได้แค่ในเนื้อเพลง

 

อะไรที่ทำให้ความเป็นเพื่อนยังอยู่ได้นานขนาดนี้

บอย : ระยะห่างที่พอดี ความเป็นเรา 3 คน ไม่มากหรือน้อยกว่านี้ เหมือนระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก ห่างพอดีจึงเกิดต้นไม้และสิ่งมีชีวิต (หัวเราะ)

หนึ่ง : เรื่องพื้นที่ ระยะ ทำให้ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป 

อดุลย์ : บอยกับผมมีโปรเจกต์ 2 Days Ago Kids ทำอะไรแชร์กันอยู่แค่ 2 คน แต่ชิ้นงานที่ออกมาในแบบ 3 คนจะมีลักษณะที่ต่างกันไปเลย เพราะการทำงานร่วมกัน 3 คนมีความพิเศษที่อยู่ภายใต้วิธีคิดแบบพวกเราเช่นนี้

บอย : โปรเจกต์ส่วนตัวเหมือนเป็นการบำรุงจิตวิญญาณ เราต้องมีสิ่งที่เป็นตัวตนหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตอยู่ เราอาจจะคิดอะไรที่สุดขอบของเราอยู่คนเดียวจะได้พูดเต็มที่ แต่ว่า FRIDAY เหมือนเป็นคู่สมรส เรารู้สึกลึกๆ ว่าเป็นสิ่งที่ต้องประคับประคองไปด้วยกันให้นานที่สุด ไกลที่สุด ไม่ว่าจะยาก จะกระท่อนกระแท่น ยังไม่รู้อนาคต หรืออะไรก็ตาม แต่เรารู้สึกว่าควรเป็นพื้นที่หนึ่งที่สงวนไว้ ถนอมไว้

 

กลัวไหมหากวันหนึ่งอาจไม่ได้ทำวงร่วมกัน พวกคุณจะต้องสูญเสียสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ

อดุลย์ : เอาจริงๆ เคยคิดมุมนี้เหมือนกันว่าวันไหนที่คนหนึ่งตายไปเราจะทำยังไง แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าใครก็เป็นได้ อาจจะเสียดายมากเพราะอุตส่าห์ทำวงมาด้วยกัน ดังนั้นเราควรให้คุณค่า ความสำคัญ กับทุกครั้งที่เจอกัน เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ 

บอย : ไม่ได้คิดเลยนะ แต่พูดแล้วก็คิดเลย

อดุลย์ : เดี๋ยวจะหาเงาเสียงเหมือนๆ มาเล่นแทน 

ทุกคน : (หัวเราะ)

อดุลย์ : กลัวนะ จริงๆ แล้วกลัวทุกเรื่องเลย ยิ่งมีลูก เราต้องกลัวสิ่งนี้อยู่แล้ว

บอย : ส่วนหนึ่งของชีวิตหายไปเลย สิ่งที่เราเว้นที่ไว้ให้

อดุลย์ : (นั่งคิด) มันตอบยากเพราะเป็นเรื่องอนาคต เกิดขึ้นในทุกๆ วันกับทุกคน ยิ่งให้มันมากเท่าไหร่เรายิ่งนับถอยหลังกับมันมากเท่านั้น คิดตลอดว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง

บอย : เราคาดหวังให้อยู่กับเราตลอดไปไม่ได้ 

 

แล้วอะไรทำให้ FRIDAY จัดคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 7 ปี

อดุลย์ : ช่วงก่อนหน้านี้ย้อนไป 7 ปี ตอนออกอัลบั้มชุดที่สี่เป็นช่วงที่หมิ่นเหม่ที่สุดเลย สมมติ FRIDAY เป็นคนคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงที่ยืนอยู่ตรงขอบที่สุดแล้ว น่าเป็นห่วง แล้วจังหวะนั้นมีงานหนึ่งที่กลับมารวมตัวเล่นดนตรีด้วยกันคือ งานคอนเสิร์ตของบอย ‘ขุนเขาแห่งหมี’ แล้ว FRIDAY ไปเล่น เราถึงได้รู้ว่าแฟนเพลงมองเราเหมือนเป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วความรู้สึกในการได้กลับมาเล่นร่วมกัน ได้สัมผัสสิ่งนั้น เรารู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเลย ทำให้คิดได้ว่าควรให้คุณค่ากับสิ่งนี้ กอดมันไว้ให้ดี

บอย : ก่อนหน้าจะเป็นคอนเสิร์ตขุนเขาแห่งหมี พวกเราเว้นวรรคไป 2 ปี ได้เล่นดนตรีร่วมกันน้อยมาก ต่อให้เล่นเป็นชื่อ FRIDAY แต่ยังไงก็ไม่ครบ 3 คนสักที พวกเราพยายามประคองกันไป แต่ไม่ได้พยายามหาคำตอบชี้ชัดว่าเราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยังไง มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายใน 7 ปีทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง มีหลายเหตุการณ์ เหมือนจะนานก็นาน จะว่าไม่นานก็ไม่นาน คิดดูว่า 7 ปีที่แล้วผมยังไม่มีลูก 

อดุลย์ : เราไม่ได้จะปล่อยมือจากมันนะ แต่อย่างที่เล่าให้ฟัง วันหนึ่งมีคำตอบให้เราเห็นเองว่าควรจะดูแลให้ดีกว่านี้ ดีกว่าที่เคยทำมา ทั้งหมดนี้สอนและเตือนให้เรารู้ค่าในสิ่งที่ทำตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น

บอย : ตอนที่มีทัวร์กับวงช่วง 10-15 ปีที่แล้ว เราอยากไปทำโปรเจกต์อื่นๆ ทำให้ลืมโฟกัสโมเมนต์ช่วงที่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ดี บางทีเราไม่ได้ใช้เวลาเก็บเกี่ยวความรู้สึกนั้นให้เต็มที่ พูดได้ว่าตอนที่อยู่ด้วยกันสนุกที่สุดแล้ว

หนึ่ง : พอเราทัวร์เยอะๆ มันเกิดความรู้สึกว่าทำอะไรซ้ำๆ เลยหลงลืมละเลยอะไรเหล่านี้ไป 

 

รู้สึกผิดหรือพลาดอะไรไหม

อดุลย์ : เกือบๆ นะ แต่เราไม่รู้จะไปโทษใคร ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง เราต้องลงทุนทำทุกอย่างที่ทำได้ให้ FRIDAY เคลื่อนต่อไป

บอย : ไม่ใช่ความผิดแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้องกลับไปให้ความสำคัญ หลังจากทุกคนรู้จึงเริ่มกลับมาเขียนเพลงกันใหม่ คุยกันว่ามีเพลงอะไร หรือช่วงนี้ฟังเพลงอะไรกันอยู่ กลับไปทำเหมือนตอนเด็กๆ อีกครั้งหนึ่ง

 

คอนเสิร์ตครั้งนี้จะมีความพิเศษอะไรบ้าง

บอย : เราไม่กล้ารับประกันความสนุก แต่เรากล้ารับประกันความรู้สึก (หัวเราะ) ต้องเต็มล้นไปด้วยความรู้สึกแน่นอน เราอยากจะพาย้อนกลับไปในความรู้สึกตอนที่เริ่มเล่นดนตรีด้วยกัน ตอนแรกสุดเป็นยังไงโมเมนต์ที่มีกันอยู่แค่ 3 คน 

เราจะดึงโมเมนต์แบบนั้นกลับมาในคอนเสิร์ตครั้งนี้ พาย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ FRIDAY เลยอยากทำรูปแบบคอนเสิร์ตเป็นอะคูสติก เหมือนเรานั่งเล่นกัน 3 คน แต่อาจจะไม่ใช่อะคูสติกอย่างเดียว จะมีเครื่องดนตรีอื่นๆ ด้วย รวมถึงมีความหลากหลายในคอนเสิร์ตที่ค่อยๆ เพิ่มเติมมา เราเลือกเล่นในสถานที่ที่กระชับ เห็นหน้าเห็นตากัน อบอุ่น เป็นมิตร เล่นด้วยความรู้สึกเดิม ตอนแรกจะจัดคอนเสิร์ตครบรอบ 20 ปี แต่ตอนนี้มันเลยไป 22 ปีแล้ว พวกเราไหวตัวช้าไปหน่อย ความรู้สึกของคอนเสิร์ตนี้คืออยากจะขอบคุณที่รู้จักกันมา

หนึ่ง : เหมือนเป็นการเดินทางกลับไปเจอเรื่องราวระหว่างพวกเราและคนฟังที่ผ่านอะไรมาด้วยกัน อาจจะไม่ยิ่งใหญ่มากแต่อบอุ่น เพราะจะได้อยู่ในระยะที่ใกล้กัน

อดุลย์ : ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้งานออกมาดี เพราะยังไงคนดูที่เดินทางมาถึงตรงนี้ ซื้อบัตรมาดู เป็นตัวจริงทุกคน เราต้องอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะให้เขารู้สึกอย่างที่เรารู้สึกเหมือนกัน เราจะทำให้ดูว่าวันนั้นที่เริ่มต้นมาเป็นยังไง 

 

เพราะอะไรทุกคนถึงยังเล่นดนตรีมาจนถึงทุกวันนี้

บอย : ผมยังรู้สึกสดชื่นเมื่อมีเรื่องราวมากระทบใจและอยากพูดออกไป แต่ในมุมของวงดนตรี พอห่างกันผมรู้สึกเหงา อยากเห็นหน้าเห็นตา เพราะเป็นช่วงที่เราผ่อนคลาย ตอนอยู่กับเพื่อนไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังเสแสร้งและเราได้เป็นตัวเอง ทุกครั้งที่เล่นดนตรีเหมือนได้กลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง กลับไปเป็นเด็กนัยน์ตาใสคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

หนึ่ง : ส่วนผมน่าจะเพราะว่าอยู่ไกล หลังๆ การได้เล่นดนตรีคือการได้มาเจอเพื่อนๆ มากกว่าการคุยกันออนไลน์ ระหว่างที่ได้พูดคุย นั่งเล่นดนตรี เราได้รับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของกันและกัน ซึ่งถ้าผมยังเล่นดนตรีได้บ่อยๆ ผมจะพยายามทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้กลับมาเจอครอบครัวที่เรามี

อดุลย์ : สำหรับผมเป็นความสามารถติดตัวที่ทำแล้วรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละที่ทำแล้วถนัดที่สุด พอทำแล้วมีความสุขก็อยากทำให้นานที่สุด เหมือนที่ซูเปอร์ฮีโร่ส่วนใหญ่มีอาชีพเสริม เขาไม่ได้มากู้โลกอย่างเดียว โทนี สตาร์ก ก็มีธุรกิจ สไปเดอร์แมนเรียนหนังสือ ฮัลก์เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทุกคนมีสิ่งอื่นที่ต้องทำเสมอ การทำอะไรเสริมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สุดท้ายแล้วเราต้องกู้โลกเพราะเป็นงานที่ตอบสนองเสียงข้างในของซูเปอร์ฮีโร่ตัวนั้น  

 

สุดท้ายแล้วเหตุผลอะไรทำให้ทุกคนยังอยากเล่นดนตรีร่วมกัน

หนึ่ง : สำหรับผมวง FRIDAY เหมือนการแต่งงาน ทั้งชีวิตเรามีอยู่วงเดียว แล้วทำวงนี้มาโดยตลอด จบสมบูรณ์ในคำนี้ ต่อให้มีโปรเจกต์เดี่ยวแต่นั่นจะเป็นการเฉพาะกิจ พอผ่านระยะเวลามาเกิน 20 ปี FRIDAY เป็นเหมือนพื้นที่ที่พอรู้ว่าว่างเมื่อไหร่ เราจะเรียกรวมเพื่อนหรือสุดท้ายเพื่อนมันก็มาตาม

อดุลย์ : สำหรับผมเราเดบิวต์มากับ FRIDAY วงนี้ให้ทุกอย่างในชีวิตเลย ทั้งประสบการณ์ที่ดี การที่เราได้ไปเล่นดนตรีแล้วมีคนตอบรับ มีคนชอบชิ้นงานที่เราทำ

บอย : เราสร้างความสมดุลของชีวิตด้วยการทำทุกอย่าง ทำสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไป แต่สำหรับ FRIDAY เราจะไม่ไปปรับเปลี่ยนตัวตนของวง เป็นยังไงก็ให้มันเป็นแบบนั้น

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย