เวลานึกถึงคนในแวดวงดีไซเนอร์ นักออกแบบสิ่งทอ หรือ textile designer ดูเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อยู่กึ่งๆ ระหว่างใกล้ตัวกับไกลตัว
ที่บอกว่าใกล้ตัว เพราะงานของพวกเขาคือการออกแบบแพตเทิร์นหรือลวดลายผ้า ลึกไปจนถึงคิดเทกซ์เจอร์หรือเนื้อผ้าหลากรูปแบบที่เราสวมใส่กันทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนที่บอกว่าไกลตัว ในฐานะคนที่ไม่ได้ทำงานดีไซน์ การจะหาเพื่อนสักคนที่ทำอาชีพนี้นั้นช่างหาตัวจับยากเย็นเหลือเกิน
กระทั่งคนใกล้ตัวแนะนำให้เรารู้จักกับ โน๊ต–ขนิษฐา นวลตรณี เจ้าของสตูดิโอออกแบบสิ่งทออย่าง Kaniit.Textile และนักออกแบบสิ่งทอที่ทำงานประจำอยู่ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
ลวดลายที่อยู่บนผืนผ้าทอมือดอยตุงแทบทั้งหมดรังสรรค์จากสองมือของเธอคนนี้
พอพูดถึงผ้าทอไทย หลายคนจินตนาการล่วงหน้าแล้วว่าผ้าผืนนั้นหนาเตอะและหนัก ไม่ก็ลวดลายดูไม่โดนใจคนหนุ่มสาวบ้าง แต่ถ้าได้ลองลูบๆ คลำๆ ผ้าทอมือในช็อปของดอยตุงทุกวันนี้ ด้วยไอเดียและฝีมือการพัฒนาของดีไซเนอร์รุ่นใหม่ คำว่าน่าซื้อหรือน่าใช้ต้องหลุดจากปากคุณได้แน่ๆ
ก่อนที่เราจะยื่นผ้าทอผืนนุ่มๆ ให้คุณลองสัมผัส มาทำความรู้จักกับโลกของนักออกแบบสิ่งทอ ไปพร้อมกับผลงานศิลปะของหญิงสาวตรงหน้าด้วยกันดีกว่า
โน๊ตจบปริญญาตรีจากภาควิชา Industrial Design คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในช่วงปีสุดท้ายของการศึกษา นิสิตทุกคนต้องเลือกวิชาออกแบบที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในฐานะคนที่รู้ตัวว่าไม่ถนัดงานออกแบบเซรามิก อินทีเรีย และกราฟิก เธอเบนเข็มตัวเองเข้าสู่โลกของสิ่งทอโดยไร้ความกังวล
“ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงมีชื่อเสียงเรื่องการทอมาก รวมทั้งเรื่องคราฟต์อะไรแบบนี้ ตอนเรียนจบก็เลยไปสมัครงานที่นี่เพราะเราอยากเรียนรู้งานสิ่งทอให้มากขึ้น พอทำงานได้ 2 ปี เรารู้สึกว่าตัวเองอยากจะรู้ลึกลงไปอีกก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อหลักสูตร Textile Art and Design ที่ Aalto University กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
“ส่วนหนึ่งที่เราตัดสินใจไปเรียนที่ฟินแลนด์ก็เพราะคุณมาริแอน คนที่เซตระบบการทอผ้าให้กับดอยตุง เขาเป็นคนฟินแลนด์ เครื่องทอผ้าที่เราใช้ก็เป็นเครื่องทอแบบเดียวกันก็เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นนิดหนึ่ง”
“สิ่งที่เราเรียนจากที่นู่นจริงๆ อาจจะไม่ได้เอามาใช้กับผ้าทอไทยได้เลย คือการศึกษาที่นู่นเขาเน้นสอนวิธีการคิด หรือ design process ให้เรามากกว่า คุณอยากรู้เรื่องนี้ใช่ไหม ทำดิ ลองทำเลย เล่นเลย แล้วบางทีชิ้นงานมันก็เกิดจากการเออเร่อหรือการทดลองทำอะไรเล่นๆ นี่แหละ”
การเรียนออกแบบที่ฟินแลนด์ทำให้โน๊ตมองเห็นความสำคัญของระบบการคิดมากขึ้น ขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ที่เฮลซิงกิ เธอทำทั้งเรียนและฝึกงานไปด้วย บวกกับความชื่นชอบในงานดีไซน์แบบสแกนดิเนเวียน คนรอบตัวหลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า งานออกแบบผ้าทอไทยๆ ของโน๊ตมีกลิ่นอายของสแกนดิเนเวียนแอบซ่อนอยู่
งานที่เธอถนัดที่สุดคืองานที่เกี่ยวข้องกับการถักทอ
เธอยื่นใบงานขนาดกระดาษ A4 ให้เราดู สิ่งนั้นคือสื่อกลางสำหรับการคุยงานกับช่างฝีมือ มันมีทั้งตาราง รอยวาด ตัวเลข 1 2 3 4 5 ที่ดูเหมือนเป็นภาษาเฉพาะสำหรับช่างทอผ้าและคนออกแบบลายผ้า
“เหตุผลที่จำนวนคนที่ทำงานเกี่ยวกับการถักทอยังมีน้อย น้อยมาก เพราะว่างานแบบนี้อาศัยความถึกสูงมากเลย เช่น เราต้องมานั่งร้อยเส้นยืนทีละเส้น มันมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก ดังนั้นคนที่ไม่ได้ชอบมันจริงๆ หรือเนิร์ดจริงๆ เจอการร้อยเส้นยืนทีละ 500 เส้นอะไรแบบนี้ก็ไม่ไหวแล้ว”
ระหว่างที่ฟัง เราจินตนาการไปด้วยว่าถ้าคนใจร้อนอย่างเราต้องนั่งร้อยเส้นยืนแบบนั้นบ้าง ฟันธงได้เลยว่าไม่มีทางผ่านด่านวัดใจง่ายๆ ด่านนี้ได้แน่นอน
“งานของ textile designer กว้างมากนะ เหมือนเรามีกันหลายเลเวลมาก ตั้งแต่คนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ material เส้นสาย แล้วก็เรื่องโครงสร้างการทอที่เป็นทั้งแพตเทิร์นและ structure แล้วก็เรื่อง surface การตกแต่งลายผ้าหรือทำ decorative บนผืนผ้าอีกทีหนึ่ง มุมหนึ่งคืออาชีพนี้มีหลายเลเวลให้เราเข้าไปเล่นได้”
โน๊ตบอกเราพร้อมรอยยิ้มว่า เธอเอนจอยกับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานสิ่งทอ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกใช้วัสดุ แล้วก็เรื่องการคิดแพตเทิร์นและการเล่นกับสีสันของเส้นสายต่างๆ ที่เพิ่มความสวยงามให้กับผืนผ้า
“textile designer ก็เหมือนคนทำสลัดที่หยิบส่วนผสมนั้นส่วนผสมนี้มาใส่ในจานเดียวกัน”
ขณะที่บทสนทนาระหว่างเราดำเนินอยู่ โน๊ตหันกลับไปหยิบกล่องหลายกล่องที่บรรจุทั้งม้วนเส้นสาย ผ้าทอผืนใหญ่ และตัวอย่างผ้าทอผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัสลายต่างๆ ที่เธอภูมิใจนำเสนอ
และนี่คือ 5 ผลงานออกแบบที่มีความหมายกับเธอ
Storytelling
“อันนี้เป็นงานชิ้นแรกที่เราทำและชอบมากที่สุดเลย เป็นงานออกแบบลายผ้า หรือ surface design ที่ Finlayson (แบรนด์ของแต่งบ้านสัญชาติฟินแลนด์) เลือกไปทำเป็นคอลเลกชั่นสินค้าวางขาย
“ย้อนกลับไปสิบปีก่อน ช่วงที่เรียนปี 2 เราเข้าร่วมโปรเจกต์ชื่อ pattern lab เป็นโปรเจกต์ประจำปีที่ให้นักศึกษารวมกลุ่มกันทดลองเรียน ทดลองทำ surface design ทำแพตเทิร์นของตัวเองคนละ 30 ลาย แล้วพอทำออกมาปุ๊บ ก็เอางานแต่ละคนไปออกแฟร์ เจอแบรนด์ลูกค้า นัดคุยกับบริษัทต่างๆ เพื่อเอาลายผ้าไปเสนอ ถ้าเกิดลูกค้าสนใจก็ขายเลย แล้วเอาเงินที่ได้คืนทุนให้กับโรงเรียน ส่วนที่เหลือก็แบ่งกำไรกัน
“โจทย์ของงานชิ้นนี้คือคำว่า storytelling เรานึกว่าของอะไรที่มันสามารถเล่าเรื่องราวได้มากที่สุด ก็เลยนึกถึงกล้องถ่ายรูปแค่นั้นเลยค่ะ” เธอหัวเราะ
Impermanence of things
“พอทำโปรเจกต์กับ pattern lab จบ ก็ต่อด้วยการทำทีสิสเลย ตอนนั้นเรารู้สึกว่ายังเหลืองานอีกประเภทหนึ่งที่เรายังไม่เคยทำขึ้นมาจริงๆ เลย ซึ่งก็คืองาน installation art
“เราเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในชั้น วันแรกจำได้เลยว่าเพื่อนคนฟินน์ถามว่า เธอนับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า เชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดไหม เราก็ อ้าว เชื่อสิ (หัวเราะ) พอพูดไปแล้วเหมือนเขาจะไม่ค่อยเข้าใจกัน เลยอยากหยิบปรัชญาในศาสนาพุทธสักอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นแก่นหลักในงาน
“เราสนใจคำที่ว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่ว่าจะทำออกมาเป็นงานยังไงล่ะ เลยอยากเล่นกับไอเดียที่ว่า แค่คุณขยับไปก้าวเดียว งานตรงหน้ามันเปลี่ยนรูป ภาพหรือสีที่คุณเห็นมันก็เปลี่ยนไป
“หลักการมันมีแค่การขึงด้ายให้มันกลายเป็น 16 เลเยอร์ที่มีระยะห่าง แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนที่ที่เราเห็นมันคือการเคลื่อนที่ของสี พอแก่นยึดของเราคือความไม่แน่นอน ก็นึกต่อว่าสีอะไรที่ไม่แน่นอนบ้าง อ๋อ สีธรรมชาติไง คือสีธรรมชาติถ้าเกิดเราใส่สารอะไรที่มันเปลี่ยนความเป็นกรดเป็นด่าง สีหนึ่งสีสามารถแตกออกมาได้เป็น 20 สีได้เลย
“แก่นของพุทธเองก็คือธรรมชาติ คือความเปลี่ยนแปลง เหมือนเราค่อยๆ develop ไอเดียแต่ละก้อนขึ้นมาจากการตั้งคำถาม
“ก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำสีธรรมชาติมาก่อนเลย ฤดูหนาวที่นู่นยาวนาน 8 เดือน ไม่มีใบไม้อะไรให้เก็บเลย สิ่งที่เราทำตอนซัมเมอร์คือขี่จักรยานแล้วไปเก็บเบอร์รี เด็ดใบเบิร์ช กระเทาะเปลือกไม้ริมถนน (หัวเราะ) เข้าป่าไปเก็บต้นดอกไม้ เอามาตาก เก็บเป็นของแห้ง หรือแช่ในช่องฟรีซเก็บไว้ เพื่อเอาไปทำงานตอนหน้าหนาว สุดท้ายก็ค่อยเลือกว่า 16 เลเยอร์นั้นควรเป็นสีอะไร
“โปรเจกต์นี้สุ่มเสี่ยงเหมือนกันว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี เพราะเรามีเวลาทำค่อนข้างน้อย แต่พอทุกคนเห็นแล้วก็สนใจ หลังเรียนจบก็ทิ้งไว้ที่โรงเรียน เขาเอาไปโชว์ต่อที่ Milan Design Week เราภูมิใจนะ อย่างน้อยๆ งานเราได้ไปถึงมิลาน”
What you see is “not” what you get
“จริงๆ แล้ว material ที่ไม่ใช่ผ้าเราก็ทำนะ อย่างงานนี้เป็นงานที่โชว์ใน Bangkok Design Week ปีที่แล้ว คือเรารู้สึกว่าคนที่มาเดินงานดีไซน์บางกลุ่มเป็นเด็กๆ ที่เขามาเพราะอยากถ่ายรูป เราเลยหยิบวัสดุที่รีเฟลกต์กับแสงแฟลชมาทอเป็นชิ้นงาน คล้ายกับว่าสิ่งที่เราเห็นจริงๆ อาจจะไม่ได้เป็นเหมือนสิ่งที่เราคิดไว้ก็ได้ ถ้าลองถ่ายรูปแบบเปิดแฟลชดูมันจะกลายเป็นสีรุ้ง”
AAMU
“แรงบันดาลใจการทำงานส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่องที่เราสนใจ หรือเรื่องที่เราชอบ อย่างเสื่ออันนี้ เราถามทางพี่ดิว PDM ไปว่าโจทย์คืออะไร คือปกติเวลาจะทำงานเราก็ต้องถามโจทย์ใช่ไหมคะ เขาบอกว่าขอแบบเท่ๆ คูลๆ (หัวเราะ) โอเค งั้นเราคิดโจทย์เองก็ได้
“เริ่มจากการมองกลับไปว่าจริงๆ ภาพจำของ PDM คือเสื่อลายกราฟฟิกสีขาว เทา ดำ ลายเส้นคมๆ ชัดๆ แต่เราเป็นคนชอบอะไรสีสันสดใส สะท้อนแสงอะไรแบบนั้นเลย เราอยากทำเสื่อสีๆ หรือ ‘เสื่อมั่ว’ ตรงข้ามกับแบรนด์ไปเลย
“จริงๆ เสื่อ AAMU เหมือนเป็นตัวอย่างชิ้นงานที่ใช้ทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างสิ่งทอเข้ามาเกี่ยวข้อง คือเรารู้สึกว่าลายกราฟิกมันก๊อปปี้ได้ง่าย งั้นเราทำลายที่เกิดจากการวางโครงสร้าง วางทีละเส้นเลยละกันคนอื่นจะได้ก๊อปไม่ได้”
Doitung/Mae Fah Luang Foundation
“คอนเซปต์ของดอยตุงคือชนเผ่า งานชิ้นนี้เราเอางานปะของเผ่าอาข่ามาทำเป็นโครงสร้างผ้าทอ ลักษณะโครงสร้างแต่ละอันมันมีความเป็นพิกเซลอยู่เราเลยแตกลายไปยังไงก็ได้
“โครงสร้างผ้าชิ้นนี้เป็นโครงสร้างที่บอกได้ว่าเราทำลายได้ทั้งหมดกี่แบบ มีทั้งสี่เหลี่ยม ดอกสามเหลี่ยม แบบเส้น แบบยึกยัก เป็นตัวตั้งต้นที่แตกออกมาเป็นผ้าผืนอื่นๆ
“จริงๆ ผ้าของดอยตุงมีความเป็นลูกครึ่ง อย่างระบบทอของเราก็คล้ายกับเมืองนอก เราสามารถสร้างลายจากการทำโครงสร้างในกี่ได้เลย ส่วนของไทยหลักๆ คือเหมือนการเก็บลายขิด ลายตะกรอซึ่งเป็นลายดั้งเดิมโบราณเราสามารถเอาแรงบันดาลใจเรื่อง hill tribe ของชาวเขาหรือลวดลายไทยมาปรับให้เข้ากับเทคนิคของฝรั่งได้”
“ในการทำงานจริง เราต้องทำงานกับอาจารย์กฤษณ์ เย็นสุดใจ แฟชั่นดีไซเนอร์ที่เขาจะเอาผ้าที่เราทำไปทำเป็นแฟชั่นอีกทีหนึ่ง คล้ายกับการโยนก้อนหินใส่กัน ทางนู้นโยนคอนเซปต์มาให้เราระดับหนึ่งแล้วก็ให้เรากลับไปคิด เหมือนกับการช่วยกันต่อยอดไปเรื่อยๆ งานก็เลยออกมาเป็นประมาณนี้
“อย่างเซตนี้วางคอนเซปต์ไว้ว่าอยากให้ผ้าเด่น เราก็จัดการทำลายผ้าที่ใส่กลิตเตอร์ลงไป จริงๆ แล้วผ้าทอชุมชนหรือผ้าทอของชาวบ้านจริงๆ เขาไม่ทำกัน หรืออย่างลินินเขาก็จะไม่ทำเพราะเส้นมันเล็กไป ถ้าจะทำคือเขาต้องปรับโครงสร้างการทอใหม่ซึ่งมันใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน
“เพราะงั้นผ้าทอของดอยตุงจะไม่เหมือนกับผ้าทออื่นๆ ถ้านึกภาพผ้าทอไทยหรือผ้าทอชาวบ้าน แน่นอน เราจะคิดว่ามันต้องเนื้อหนา ใส่แล้วร้อน แต่เรามีการ develop ในเรื่องของเนื้อผ้าเพิ่มขึ้นด้วยความรู้ของ textile”
“เราทำงานกับแม่ฟ้าหลวง ได้คลุกคลีกับช่างทอ กับชาวบ้านเยอะ บางทีก็ต้องไปอยู่ที่ดอยตุง 2-3 อาทิตย์ แล้วจริงๆ ความเห็นของชาวบ้านมีผลกับงานเรานะ หรือบางทีเขาทอผิด ทำอะไรผิดมาแล้วเป็น error design ที่สวยเราก็เปิดโอกาสให้ หลายครั้งเราก็ถามเขาว่า “คิดว่าดีไหม” เพราะป้าที่เขาทำงานมาแล้วเขาจะรู้เรื่องเทคนิค อะไรที่ไม่ดีเราก็ต้องเชื่อเขา แต่เราก็จะมีวิธีพูดต่อว่างั้นลองให้หน่อยได้ไหม (หัวเราะ)
“เราดีใจทุกครั้งที่ป้าช่างทอบอกว่าผ้าสวย เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้อาร์ต ไม่ได้เรียนอะไรมาแบบเรา แต่เขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่เราทำออกมามันสวย เรารู้สึกว่าแค่นี้พอแล้วนะสำหรับเรา”