รู้จักชีวิตคนเม็กซิโกผ่านการเดินทางลัดเลาะเลียบชายฝั่งแปซิฟิก

…”ถ้าใครผ่านมาได้ยินฉันกำลังพูดออกเสียงกับตัวเอง เขาคงต้องคิดว่าฉันบ้าไปแล้วแน่นอน แต่ในเมื่อฉันรู้ดีว่าไม่ได้เสียสติ ดังนั้น ก็ไม่มีเหตุผลกลใดที่จะต้องแคร์นี่นา”…

(บางประโยคในหนังสือ The Old Man and the Sea โดย Ernest Hemingway)

1

same same but different 

เม็กซิโกหยิบยื่นความรู้สึก ‘คุ้นเคย’ คล้ายกำลังเดินทางอยู่ที่ไหนสักแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คล้ายแม้กระทั่งกับบางพื้นที่ในเมืองไทยด้วยซ้ำ สภาพอากาศบริเวณชายฝั่งไม่ต่างจากแถบหัวหิน ระยอง หรือระนอง ร้อนและชื้นมาก ตอนเช้ายังไม่ทันออกปั่นเหงื่อก็ไหลไคลก็ย้อย พืชพันธุ์ชาวบ้านปลูกเหมือนกันหลายชนิด เช่น มะม่วง มะพร้าว ดงกล้วยซึ่งปลูกกันเป็นล่ำเป็นสัน ส้มเขียวหวาน มะละกอ มะนาว สับปะรด ที่ไม่เจอเลยคือทุเรียน คนอาจจะไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้ หรืออาจจะไม่ชื่นชอบกลิ่นทุเรียนเหมือนคนเอเชียซึ่งคลั่งไคล้ทุเรียนก็เป็นได้ เวลาผ่านเมืองน้อยใหญ่หรือหมู่บ้านทั้งหลาย สภาพความเป็นอยู่ของผู้คน ร้านรวงก็คล้ายกันเช่นกัน คนชนบทแถบนี้เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่กันแบบปล่อยเป็น Free Range เหมือนคนฝั่งเอเชียเช่นกัน  

นั่นคือเมื่อเพียงแค่สัมผัสที่ผิว แต่เมื่อสังเกตรายละเอียด เห็นความแตกต่างหลายอย่าง เช่น หน้าร้านขายเนื้อหมู เจ้าของร้านมักจะเอากระทะขนาดใหญ่มาตั้งบนเตา นำเอามัน ตับ กระเพาะ ปอด ไส้ เศษหมู หนังหมู เอามาทอดใช้ไฟอ่อน เพื่อให้ได้น้ำมันหมู และยังขายแคบหมูกับเครื่องในทอดอีกด้วย หรือร้านขายไก่ย่าง ก็ใช้เครื่องปรุงที่ดูเผ็ดทาตัวไก่เสียสีแดงเทือก แต่เมื่อชิมก็พบว่าไม่ได้เผ็ดแต่อย่างใด แทนที่จะกินกับข้าวเหนียวส้มตำแบบบ้านเรา คนเม็กซิโกกินกับสลัด ข้าวผัด และแผ่นแป้งตอร์ติยา อร่อยแบบบ้านเขา แต่คนมาจากอีกซีกโลก คุ้นเคยกับรสชาติอีกแบบหนึ่งก็ยังคงให้คะแนนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสำรับแบบเดียวกันที่ได้กินที่นี่

รถเข็นเร่ขายของก็เยอะและเห็นเป็นปกติ อย่างพ่อค้าขายผลไม้ เขาเตรียมผลไม้หลายชนิดที่คนไทยรู้จักทุกชนิดแน่นอน ใส่ไว้ในกล่องกระจกใส เวลาลูกค้าแวะมา ก็นำเอามาใส่ในถ้วยพลาสติกแล้วเติมผงปรุงรส ไม่ก็ซอส แตงโมหรือมะละกอสุกก็เติมน้ำตาลพริกเกลือเป็นความแปลก เพราะปกติเรามักจะเติมลงไปในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างมะม่วงดิบหรืออย่างมากก็สับปะรด แต่ที่นี่เขาเติมได้ไม่ว่าจะผลไม้อะไรก็ตาม

หน้าตาผิวพรรณคนประเทศนี้หลากหลายกว่า ค่าที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก จึงมีทั้งคนหน้าแบบฝรั่ง ฝรั่งผสมแขก คนพื้นเมืองดั้งเดิมจริงๆ มักจะร่างป้อมเตี้ยและบึกบึนกว่า ลูกผสมชนเผ่ากับพวกล่าอาณานิคมก็มี นับเป็นความงดงามอย่างหนึ่ง

บ้านเรือนเก่าแก่มักจะสร้างสไตล์โคโลเนียล มีโบสถ์คาทอลิกประจำเมือง ตามมุมต่างๆ ตรงโน้นตรงนี้มีแท่นบูชา ไม่ก็สิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายศาลพระภูมิ ต่างกันที่ข้างในมีรูปปั้นนักบุญในศาสนาคริสต์ หรือพระแม่มารีย์ มีแม้กระทั่งรูปปั้นปีศาจน่ากลัว น่าจะเชื่อกันว่าสามารถขับไล่ความชั่วร้ายและปกปักรักษาให้พ้นภัยได้ นี่ก็เป็นความเหมือนและแตกต่างในเวลาเดียวกันเช่นกัน มนุษย์ไม่ว่าที่ไหนๆ หนีไม่พ้นต้องการที่พึ่งทางใจกันทั้งสิ้น 

เม็กซิโกเป็นความคล้ายคลึงซึ่งแตกต่าง

ผมใช้เวลาราว 3 สัปดาห์ ปั่นผ่านเส้นทางที่เลียบชายฝั่งแปซิฟิก ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศนี้ ตลอดระยะทางราว 700 กิโลเมตรนี้ค่อยๆ ซึมซับ ทำความรู้จัก สัมผัสทั้งธรรมชาติและผู้คน

เนื่องจากเดินทางแบบทุนต่ำ จึงพยายามประหยัด ทำอาหารกินเอง ยอมจ่ายเพื่อเข้าไปกินในร้านบ้าง ถือเป็นค่าประสบการณ์ ที่พักก็คือเต็นท์ และมักจะหาที่หลบสายตาคนเพื่อพักแรม แต่กับพื้นที่ชายฝั่งแบบนี้ ปั่นจักรยานทั้งวัน อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อท่วมตัวชนิดต้องถอดเสื้อออกมาบิดเหงื่อไหลประหนึ่งใครเอาน้ำมาสาดใส่ เนื้อตัวเหนียวและเหม็นชนิดยังไม่อยากทนกลิ่นสาบคล้ายกลิ่นแพะของตัวเอง ผมตัดสินใจยอมจ่ายเพื่อพักแรมตามสถานที่พักแรมเอกชนซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามหมู่บ้านและเมืองเล็กริมทะเล เพราะได้อาบน้ำทุกวัน แบบนี้ดีกว่าเยอะ

เมื่อไปถึงเมืองใหญ่ จึงเข้าพักโฮสเทล นอนห้องรวมราคาถูกกว่านอนโรงแรม ไม่มีความเป็นส่วนตัว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โฮสเทลเป็นสถานที่เอื้อให้พบเจอทำความรู้จักนักเดินทางคนอื่นๆ บรรดาแบ็กแพ็กเกอร์มีลักษณะร่วมอย่างหนึ่ง คือยอมเข้าสังคม แต่ถึงระดับหนึ่งก็กันตัวเองออกจากกลุ่มคน ไม่ได้ต้องการแวดล้อมตัวเองท่ามกลางผู้คนตลอดเวลา การพบปะสังสรรค์นั้นสำคัญ ขณะเดียวกัน เวลาสันโดษกลับจำเป็นมากกว่า 

บรรยากาศของแต่ละช่วงแต่ละแห่งหยิบยื่นความรู้สึกแตกต่างกันด้วย 

เมืองเล็กแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวจ๋าอย่างซายูลิตา (Sayulita) หรือเมืองใหญ่อย่างปวยร์โต วายาร์ตา (Puerto Vallarta) คึกคักขวักไขว่ เต็มไปด้วยแสง สี เสียงสังเคราะห์ ร้านมาริสโคสหรือภัตตาคารขายอาหารทะเลมากมายให้เลือกเข้าไปสั่งทาน วงดนตรีวณิพกสไตล์เม็กซิกันเคลื่อนย้ายไปเล่นตามเก้าอี้ริมหาด ร้องบรรเลงให้ใครก็ตามแต่ที่กวักมือเรียก วงดนตรีสดสมัยใหม่เล่นกันตามผับก็มีด้วยเช่นกัน ความบันเทิงมากมายพร้อมให้สัมผัสตามรสนิยมของแต่ละคน

ช่วงหนึ่งของเส้นทาง ครอบคลุมระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร จู่ๆ ก็แทบไม่มีรถราขับผ่าน การจราจรเบาบาง ฉับพลันทันใดความเงียบสงบเข้ามาห่มคลุม ภูมิประเทศก็แตกต่างมากเช่นกัน เพราะเต็มไปด้วยเนินเขาสูง หรือเรียกว่าภูเขาลูกย่อมๆ ก็ไม่ผิด การปั่นจักรยานไม่ได้ง่ายดายแบบปั่นทางราบอีกต่อไป แต่ละวันต้องป่ายปีนขึ้นสู่เขาลูกหนึ่ง ออกห่างทะเลพอสมควร หรือไม่ก็เป็นถนนที่ชิดหน้าผา เพียงเพื่อจะลงไปสู่หุบอีกฝั่งซึ่งใกล้ชิดชายหาด แล้วก็ต้องปั่นขึ้นไปหาอีกลูกหนึ่ง ทำแบบนี้วันละหลายครั้ง ต้องงัดแรงขา (และแรงฮึด) สู้กับถนนลักษณะนี้

หมู่บ้านมักอยู่ก้นหุบ แม้จะติดหาด แต่ชายหาดว่างเปล่า ไร้การท่องเที่ยวและฝูงทัวริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเต่าทะเลยักษ์อย่างตนุหรือกระ เพราะพวกมันสามารถขึ้นมาวางไข่บนหาดในช่วงกลางคืนโดยไม่มีมนุษย์รบกวน สังเกตได้จากร่องรอยเท้าแบนคล้ายครีบตะกายทรายแล้วก็ขุดหลุมใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางเป็นเมตรเพื่อวางไข่แล้วฝังกลบ ก่อนจะกลับลงสู่ทะเลลึก มีศูนย์อนุบาลลูกเต่าหลายแห่งตลอดพื้นที่ชายฝั่งเลียบมหาสมุทรแปซิกฟิกนี้ เป็นความพยายามอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลให้คงอยู่ต่อไป แน่นอน ชาวเลยังคงถือโอกาสไปขุดเอาไข่เต่าเปลือกนิ่มกลมขนาดเท่าลูกปิงปองมารับประทานกัน (ถ้าหากเต่าไปวางไข่ใกล้ชุมชน) โดยเฉพาะพวกผู้ชาย พวกเขากินไข่เต่าดิบ เพราะเชื่อว่าช่วยเสริมสุขภาพและพลังทางเพศได้

เมืองชายทะเลบางแห่งแม้จะต้อนรับนักท่องเที่ยว มีสิ่งสะดวกสบายรองรับครบครัน แต่ฤดูฝนกำลังเดินทางมาถึง หน้ามรสุมเช่นนี้นักท่องเที่ยวบางตา บางแห่งแทบจะเรียกว่าได้หาดส่วนตัวเลยทีเดียว ผู้ประกอบการต่างรู้ดีว่าหน้าโลว์รายได้จะขาดหาย จึงฉวยโอกาสช่วงหน้าไฮไม่กี่เดือนยามฟ้าใสทะเลสวยเก็บเกี่ยวรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะได้ถัวกัน ถือโอกาสช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยวพักผ่อน ได้สโลว์ไลฟ์บ้าง

เมืองใหญ่สามารถกระตุกประสาทสัมผัสให้ตื่น ขณะที่การเดินทางผ่านสถานที่โล่งว่างก็ปลุกประสาทสัมผัสด้วยเช่นกัน แต่แตกต่าง ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าอยู่ขั้วตรงข้าม เพราะโลกสังเคราะห์ปลุกให้ใจกระเจิง ในขณะธรรมชาตินั้นปลุกให้ใจกลับมารวมกันเป็นก้อนเดียว สิ่งเร้าสองแบบนี้ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน

AUTHOR