Svalbard : รถลากสุนัข ถ้ำน้ำแข็ง และหมู่เกาะของนอร์เวย์ที่มีหมีขาวมากกว่าคน

Svalbard (สวาลบาร์ด) เป็นหมู่เกาะในประเทศนอร์เวย์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากขั้วโลกเหนือ เป็นสถานที่เหนือสุดที่มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่ เป็นบ้านของหมีขาวที่มีจำนวนมากกว่าคน ไม่มีต้นไม้ มีแค่ดอกไม้บางชนิดที่บานในหน้าร้อนเท่านั้น พื้นที่ส่วนมากเป็นธารน้ำแข็ง (glacier) และภูเขาชันที่มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำแข็งและหิมะ แถมพื้นดินยังเป็นชั้นดินที่แข็งตัวตลอดปี (permafrost)

เป็นสถานที่ที่ดูแล้วไม่น่าจะมาอยู่ได้ แต่สุดท้าย ด้วยความเป็นมนุษย์ก็ทำให้เราหาทางมาจนได้

การตัดสินใจไปสวาลบาร์ดของเราเกิดจากความคิดเพียงไม่กี่นาที แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน

ด้วยความที่เราเป็นคนเขตร้อน การจะได้เข้าไปเห็นถ้ำน้ำแข็งของจริงอย่างใกล้ชิดที่ไม่ใช่ในสวนสนุกดรีมเวิร์ลเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่การจะไปถึงจุดนั้นมันก็ไม่ได้ใกล้ๆ สำหรับคนที่เดินป่าอยู่เป็นประจำ การไฮกิ้งเพียงแค่ 4 – 5 ชั่วโมงไม่ใช่ปัญหา เราจึงตั้งใจว่าจะเดินไปลองเชิงถ้ำน้ำแข็งที่ Larsbreen Glacier ซึ่งอยู่ใกล้กับตัวเมือง Longyearbyen มากที่สุดก่อน แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

ด้วยอุณหภูมิเกือบ -20 องศาเซลเซียสกับพายุที่พัดซะจนทุกอย่างขาวโพลน การเดินที่ต้องลากเอาตัวเองที่ใส่เสื้อผ้ากันหนาวอย่างหนากับรองเท้าบู๊ตหนาหนักข้างละกิโลฯ ครึ่ง และกล้องตัวใหญ่ๆ อีก 2 กิโลฯ ท่ามกลางทางที่ทั้งเอียงและลาดชัน แถมพื้นยังเป็นกองหิมะยวบๆ เลยกลายเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังมากกว่าที่จินตนาการไว้มากมายนัก

การทดสอบใจของเราเริ่มขึ้นที่นี่ มีหลายจุดและหลายครั้งที่คิดว่าไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าจะหยุดไม่ไปต่อก็เสียดาย ความรู้สึกแบบนี้วนเวียนอยู่เป็นลูป ไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว สุดท้ายการที่ขึ้นไปถึงจุดหมายได้ต้องบอกว่าใช้ใจล้วนๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เหมือนคำที่มีคนว่าไว้ ‘จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว’ เมื่อใจมาแรงก็มา และสิ่งที่อยู่ปลายทางก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยสักนิด

ความรู้สึกแรกที่เราได้ลงไปเห็นถ้ำน้ำแข็งก็รู้เลยว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นคุ้มค่าแล้ว น้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่ในถ้ำส่องแสงระยิบระยับสู้กับแสงไฟฉายจนเป็นคริสตัลและมีลวดลายการทับถมและกัดเซาะจนเห็นเป็นชั้นๆ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะทำให้ตื่นตาได้ขนาดนี้ เราใช้ถ้ำน้ำแข็งเป็นที่พักกินขนมและดื่มน้ำอุ่นหวานๆ เติมน้ำตาลและความสดชื่นให้ร่างกาย มันคือการปิกนิกสุดคูล in the middle of nowhere ในถ้ำน้ำแข็งที่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสได้ทำ

โชคดีที่ตอนขากลับลงมา พายุสงบแล้ว อากาศดีขึ้นมาก ท้องฟ้าสีฟ้ายามค่ำโผล่ออกมาให้เราเห็นตัดกับหิมะขาวๆ เป็นการจบวันแบบสวยๆ ให้เรามีกำลังใจสำหรับการไปถ้ำน้ำแข็งอีกที่ในวันรุ่งขึ้น

Scott Turner ice cave เป็นถ้ำน้ำแข็งอีกแห่งที่อยู่ไกลออกไปจึงต้องเดินทางด้วยสุนัขลากเลื่อน ซึ่งภาพในจินตนาการคือสบายๆ เท่ๆ เหมือนภาพยนตร์ที่เคยดู

ในความเป็นจริงน้องหมาที่นี่ไม่ได้หน้าตาสะสวยเหมือนไซบีเรียนฮัสกี้ที่เราเคยเห็น จะออกไปทางหมาพันทางซะมากกว่า สิ่งพิเศษคือหุ่นของมันเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่ผอมและหนักแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำให้มันตัวเบา วิ่งได้เร็ว และกระโดดได้สูง ที่สำคัญคือเต็มเปี่ยมไปด้วยความคึกในทุกครั้งที่จะได้ออกไปวิ่ง

การบังคับน้องหมาก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เพื่อนช่วยเพื่อน คือเราจะนั่งสวยๆ ปล่อยให้มันวิ่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักควบคุมให้ไปทางซ้ายทางขวา เวลาขึ้นเนินชันๆ ก็ต้องช่วยกันไถ หรือเบรกเมื่อลงเนินที่ชันเกินไป บางครั้งน้องหมาวิ่งๆ อยู่ก็วุ่นวายวนเวียนพันกัน ตัวหัวหน้าแก๊งเชือกหลุดวิ่งแซงเพื่อนๆ ไปไกลโข ตัวรองหัวหน้าไม่เคยนำขบวนมาก่อนถึงกับไปไม่เป็น ดูงงๆ จนเราต้องพูดคอยให้กำลังใจเจ้าหมาว่ามันทำได้นะ มันถึงจะยอมวิ่งไปต่อได้

กว่า 8 ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน เรายังได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องหมาๆ อีกว่า ถึงตัวจะเป็นหมาเหมือนกันแต่เวลาเห่าก็พูดคนละภาษากันนะ เนื่องจากว่าในทีมขบวนลากเลื่อนของเรา มีน้องตัวหนึ่งมาจากฝรั่งเศส มันจะคุยกับตัวอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เวลาจะพูดกับมันก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศสถึงจะเข้าใจ ในขณะที่ตัวอื่นๆ พูดเป็นภาษานอร์เวย์ได้

ระหว่างทางเราก็จะเห็นหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสด รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแบบอาร์กติก แม้แต่นกที่เจอก็ยังขาวจั๊วะ

เมื่อมาถึง Scott Turner ice cave ที่แม้จะมีขนาดเล็กกว่าถ้าเทียบกับ Larsbreen Glacier แต่ก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน น้ำแข็งที่นี่จะเกาะตัวกันเป็นหินงอกหินย้อยเต็มถ้ำส่องแสงแพรวพราวเหมือนเพชรที่ถูกเจียระไนมาอย่างดี ทำให้หายเหนื่อยไปโดยปริยาย

โมเมนต์ที่ติดตาตรึงใจเราที่สุดระหว่างที่นั่งรถลากเลื่อนนี้คือจังหวะที่น้องหมาปลดทุกข์ ปกติแล้วมันก็จะวิ่งไปด้วยอึไปด้วยตามประสา แต่มีน้องหมาท้ายขบวนอยู่ตัวหนึ่งที่ดูท่าทางจะยังไม่คล่องเท่าไหร่ คือหน้าที่ที่ต้องวิ่งก็มี ภาระตัวเองก็ต้องทำ มันเลยต้อง multitasking ยกสองขาหลังขึ้นมาปล่อยทุกข์พร้อมกับที่สองขาหน้าวิ่งช่วยเพื่อนๆ ไปด้วย เรียกได้ว่าเป็น Moment of the Year ที่สร้างรอยยิ้มให้เราทุกครั้งที่คิดถึงเลยก็ว่าได้ (ฝากไว้เล็กๆ ให้ได้รู้กันว่าระหว่างทางไม่มีห้องน้ำเลย เราควรทำธุระตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยก่อนออกเดินทาง ถ้าใครทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องถอยไปปิดท้ายขบวนแล้วทำธุระของตัวเองนะ)

สุดท้ายสวาลบาร์ดก็อำลาเราด้วยแสง twilight และ blue hour ที่สวยจนติดตาตรึงใจชวนให้ยืนมองอยู่นานแม้อากาศจะหนาวจนขาสั่นก็ตาม

การผจญภัยของเราในสวาลบาร์ดครั้งนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป การที่เราได้ผ่านพ้นอะไรหนักๆ ที่มาทดสอบเราได้ มันก็คือการชนะตัวเอง ก้าวผ่านลิมิตความอดทน ปลดล็อกพลังภายในอีกขั้น ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองจนมีเรื่องไปเล่าให้คนอื่นฟังได้อีกหลายปี เป็นรางวัลคุ้มค่าที่คงหาไม่ได้ถ้าไม่ได้ออกเดินทางท่องเที่ยว ต้องยกความดีความชอบให้ไกด์ของเราด้วยที่ให้ความรู้และเล่าเรื่องต่างๆของสวาลบาร์ดให้ฟังจนเพลิน ลืมความเหนื่อยไปสักอึดใจและมีแรงที่จะไปต่อ

Svalbard

address: ตั้งอยู่ในเขต Artic Circle ระหว่างละติจูดที่ 74°- 81° องศาเหนือและลองติจูดที่ 10°- 35° องศาตะวันออก เมืองที่เป็นจุดศูนย์กลางคือ Longyearbyen การจะไปถ้ำน้ำแข็งหรือที่อื่นๆ ต้องใช้ไกด์ที่คุ้นเคยกับสถานที่และมี GPS ติดตัว และด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ถ้าไม่มีปืน เราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขตเมืองเพราะหมีขาวสามารถเข้าจู่โจมได้ทุกเมื่อ

how to get there: การมาสวาลบาร์ดจำเป็นต้องผ่านประเทศนอร์เวย์ก่อน ไฟลท์บินจากนอร์เวย์ก็เป็นเวลาค่อนข้างประหลาด เครื่องขึ้น-ลงประมาณตีสองตีสาม

1. สายการบิน Norwegian Air มีบินตรง Oslo – Longyearbyen, SAS มีบินตรง Oslo – Longyearbyen และ Tromsø – Longyearbyen

2. เรือ – Hurtigruten จะเปิดทัวร์ล่องไปรอบๆเกาะตอนช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็น high season

visa: Svalbard ถือเป็นเขตการปกครองพิเศษ เป็น visa-free zone ใครจะมาอาศัยอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าสามารถเข้ามาถึงได้ ไม่ได้เป็นประเทศในกลุ่มเชงเก้น ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม EU ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่การจะเข้ามาสวาลบาร์ดยังไงก็ต้องผ่านนอร์เวย์ก่อน เพราะฉะนั้นจึงต้องทำเชงเก้นวีซ่าแบบ multiple entry เพราะตอนออกจากนอร์เวย์ก็จะถือเป็นการออกจาก Schengen Area แล้ว นอกจากว่าตั้งใจจะมาสวาลบาร์ดอย่างเดียว ก็สามารถขอคำอนุญาตแยกอีกหนึ่งตัวผ่านทางสถานทูตนอร์เวย์ได้ เอกสารที่ต้องยื่นจะน้อยกว่า แต่เวลาจองตั๋วเครื่องบินต้องมั่นใจว่าสามารถเปลี่ยนเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องตรวจลงตราเข้านอร์เวย์

ใครอยากส่งเรื่องสถานที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR