Rokkosan & Arima Onsen : ตามรอยมิตรภาพสี่สาว Happy Hour บนภูเขาสูงและเมืองบ่อน้ำร้อน

มีหนังญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งโลดแล่นตามเทศกาลภาพยนตร์หลายแห่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา สร้างกระแสแซ่ซ้องในหมู่นักดูหนังจนถึงกับยกให้เป็นหนังแห่งปีของใครหลายคน (เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) หนังเรื่องนั้นชื่อ Happy Hour ของผู้กำกับริวสุเกะ ฮามางุจิ (Ryusuke Hamaguchi) – หนังเล่าเรื่องของผู้หญิงสี่คนที่เป็นเพื่อนรักกัน ความสัมพันธ์ของพวกเธอต่อผู้คนรอบข้าง ชะตาชีวิต ความรัก และครอบครัว ผ่านวิธีการถ่ายทำแบบลองเทคซึ่งเปิดโอกาสให้นักแสดงได้แสดงศักยภาพที่น่าทึ่ง เรื่องราวถ่ายทอดลื่นไหลให้เห็นความงดงามของชีวิตผู้คนธรรมดาสามัญที่ชวนจดจำ

และนั่นคือที่มาของการเดินทางไปภูเขาร็อกโกะ (Mount. Rokko หรือเรียกตามสไตล์คนญี่ปุ่นว่า Rokkosan) และเมืองอาริมะ ออนเซน (Arima Onsen) ในโกเบ เพื่อตามรอยความประทับใจของสถานที่ที่เป็นฉากหลังหลักๆ ในหนังเรื่องนี้

ภูเขาร็อกโกะกับเมืองอาริมะเชื่อมถึงกันได้ด้วยกระเช้าเคเบิลข้ามเขา ดังนั้นเราจึงสามารถเดินทางไปมาระหว่างสองสถานที่นี้ได้ เราเลือกที่จะไปภูเขาร็อกโกะก่อน โดยจับรถไฟ Hankyu ตรงจากสถานีอุเมดะ (Umeda Hankyu) ในโอซาก้าไปลงสถานีร็อกโกะ (Rokko) ในโกเบ ใช้เวลาเพียง 37 นาทีเท่านั้น

สถานีรถไฟร็อกโกะเป็นสถานีเล็กๆ น่ารัก ถึงแล้วเดินตามป้ายบอกทางที่นำเราไปยังสะพานลอยตรงไปสู่ป้ายรถเมล์ ขึ้นรถเมล์สาย 16 ไปจนสุดสายที่ป้ายสถานีรถเคเบิลร็อกโกะ (Rokko Cable Shita) ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ระหว่างทางมีหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยนั่งมาด้วยกันเต็มรถแสนสดชื่น แต่พวกเขาลงที่ป้ายมหาวิทยาลัยกันหมดก่อนจะถึงสุดสาย

ในฉากเปิดของหนังเรื่อง Happy Hour สี่สาวนัดกันนั่งรถเคเบิลคาร์ขึ้นไปเที่ยวภูเขาร็อกโกะจากที่นี่ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในฉากจำที่เป็นภาพโปสเตอร์ของหนังด้วย โดยระหว่างที่รอรถเคเบิลคาร์ เขามีชุดพนักงานเดินรถสีเขียวไว้ให้ใส่ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาไปพลางๆ รถเคเบิลคาร์มีทั้งส่วนที่เปิดรับลมและส่วนปิดในกระจกให้เลือกนั่ง บรรยากาศระหว่างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้มแซมด้วยสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ใช้เวลาไม่นานเราก็ขึ้นไปถึงสถานีบนภูเขา ซึ่งเป็นสถานีขนาดเล็กแลดูเก่าขลัง

ชั้นสองของสถานีเป็นจุดชมวิวกลางแจ้งที่มีชื่อว่า Tenran Observatory เห็นวิวอ่าวได้ไกลมาก มีแผนที่ชี้บอกให้ทราบว่าจุดไหนของวิวที่เห็นคืออะไร สามารถเห็นเมืองโกเบ อ่าวโอซาก้า ย่านอุเมดะ ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ไกลไปถึงสนามบินคันไซ

บนภูเขาร็อกโกะมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง สามารถเดินทางได้ด้วยรถบัสซันโจซึ่งวิ่งผ่านทุกจุดท่องเที่ยวทั้งหมด 8 ป้ายแล้ววนกลับเป็นวงกลม จุดไฮไลต์ที่สุดคือ Rokko Garden Terrace (ป้าย R07) เนื่องจากเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของข้างบนนี้ ใจกลางของที่นี่สร้างเป็นลานลดหลั่นสำหรับชมวิว โดยมีหอคอยแบบปราสาทตะวันตกให้เดินขึ้นบันไดวนไปดูวิวในจุดที่สูงขึ้นไปอีก ว่ากันว่าวิวกลางคืนเองก็สวยลืมหายใจเช่นกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านอาหาร ร้านเนื้อย่างโกเบชื่อ Rokkosan Genghis Khan Palace ซึ่งเราไปแวะเติมพลังที่นี่ คาเฟ่ ร้านขายขนมและของกระจุกกระจิก ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกให้เดินเพลินๆ อีกด้วย

จาก Rokko Garden Terrace เราเดินตามป้ายบอกทางอีกสักครู่เพื่อไปยังสถานีกระเช้าเคเบิล Rokko Sancho Station สำหรับพาเราเดินทางข้ามภูเขาไปยังเมืองอาริมะ กระเช้าเคเบิลมีลักษณะคล้ายโบกี้รถไฟขนาดหนึ่งโบกี้ พาดผ่านภูเขาสลับซับซ้อนและป่าสนเขียวครึ้ม วืดขึ้นวูบลงพอให้หวาดเสียวเป็นระยะๆ พอกระเช้าขาตรงข้ามวิ่งผ่านมา ผู้โดยสารของทั้งสองกระเช้าก็โบกมือทักทายกันน่าเอ็นดู

เหนืออื่นใดคือ วิวระหว่างทางสวยงามมาก เห็นทิวเขาใกล้ไกลราวกับภาพวาด ยิ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีด้วยแล้ว สีสันของบรรดาภูเขาก็ยิ่งสวยสดงดงามเข้าไปใหญ่ ช่วงใกล้ถึงเมืองอาริมะ เราจะเห็นวิวเมืองชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นทัศนียภาพที่น่าตื่นเต้น เหมือนค่อยๆ เหาะเหินออกจากป่าเข้าสู่เมือง

กระเช้าจอดที่สถานีอาริมะ ออนเซน (Arima Onsen Station) คนส่วนใหญ่เดินถึงประตูสถานีก็พากันเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเข้าตัวเมือง แต่ช้าก่อน เราจำเป็นต้องสวนกระแสเลี้ยวขวา เพื่อไปตามหาโลเคชั่นอีกแห่งในหนังเรื่อง Happy Hour นั่นคือน้ำตกในสวนทสึซึมิงาตากิ (Tsuzumigataki-koen) ทันทีที่เลี้ยวขวาออกมาจากหน้าสถานี เราจะเห็นป้ายที่อธิบายเกี่ยวกับสวนแห่งนี้พร้อมแผนที่ ดูไม่ยาก เราออกเดินทันที แต่เดินไปสักพักเริ่มไม่แน่ใจ เพราะมันเป็นทางเดินเล็กแคบเงียบเชียบค่อนข้างรกชัฏ (แต่ก็ยังอุตส่าห์มีสนามเด็กเล่นเล็กๆ ดูร้างๆ กับบ้านสองสามหลังที่ก็ดูร้างพอกัน) ป้ายบอกทางในแต่ละระยะก็ทิ้งช่วงห่างกันมากจนกลัวจะหลงตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นเอง เราก็ได้ยินเสียงซู่ซ่าของน้ำตกแว่วมาแต่ไกล แล้วเราก็พบว่า วิธีที่ช่วยให้ใจชื้นว่ามาถูกทางก็คือการที่ยิ่งเดินไป เสียงน้ำตกก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

ในที่สุดเราก็มาถึงน้ำตก เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่น้ำแรงและส่งเสียงดังทีเดียว ชื่อสวนแห่งนี้ที่จริงก็ตั้งชื่อตามเสียงน้ำตกที่ดังเหมือนเสียงกลองทสึซึมิ (tsuzumi hand drum) นี่ล่ะ

ที่นี่เป็นฉากที่สี่สาวเดินทางมาเที่ยวและถ่ายรูปด้วยกัน ในวันที่เราไป เจอเด็กสาวมัธยมสามคนน่ารักกุ๊กกิ๊กสะพายเป้มาเที่ยวกันชวนให้คิดถึงมิตรภาพในหนัง ซึ่งนอกจากเด็กกลุ่มนี้และกลุ่มเราแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นอีกเลย มีความรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อินดี้ขึ้นมาทันที น่าจะเป็นเพราะมันอยู่คนละทิศของเมืองอาริมะเมื่อออกมาจากสถานีกระเช้ามากกว่าเหตุผลอื่น

เสร็จสรรพจากนั้นเราเดินย้อนกลับทางเดิมผ่านสถานีกระเช้ามุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดเข้าตัวเมืองอาริมะ ถนนพาเราเดินผ่านทั้งทิวไม้ในหลืบเขา บ้านเรือน ตึกอาคาร พูดง่ายๆ ว่ายิ่งเดิน วิวสองข้างทางก็ยิ่งเปลี่ยนจากป่าไปเป็นเมืองเข้าทุกที แล้วก็จะเริ่มเจอผู้คนมากขึ้นๆ

อาริมะ ออนเซนเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่มีสถานที่น่าสนใจให้เดินวนเพื่อเที่ยวหลายแห่ง หลักๆ เลยก็คือที่นี่เป็นเมืองบ่อน้ำร้อน ดังนั้นจึงมีออนเซนให้เลือกใช้บริการหลากหลาย หนึ่งในออนเซนที่ดังที่สุดของเมืองก็คือ คิน โนะ ยู (Kin no Yu) ที่มีเอกลักษณ์คือน้ำร้อนสีทองอันเกิดจากแร่ธาตุ

ถ้าไม่มีเวลามากพอ เราขอแนะนำออนเซนเท้าไทโกะ (Taiko no Ashiyu หรือ Taiko’s foot bath) ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ออนเซนสีทอง คิน โนะ ยู นี่เองล่ะ ออนเซนเท้านี่ก็มีน้ำเป็นสีทองเช่นกัน ธาตุหลักเป็นเกลือโซเดียมคลอไรด์ อุณหภูมิอยู่ที่ 42.3 องศาเซลเซียส (เป๊ะเป็นทศนิยมขนาดนั้น) มีสรรพคุณบำบัดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ฟกช้ำดำเขียว ตลอดจนปวดข้อ เขาว่ามาอย่างนั้น ที่สำคัญคือฟรี! เดินมาเมื่อยๆ จะไม่อดใจแช่อย่างไรไหว ผ่อนคลายดีแท้เชียว หากไม่มีกระดาษทิชชู่ติดกระเป๋ามาสำหรับเช็ดเท้าหลังแช่เขาก็มีผ้าผืนเล็กขายด้วยนะ นอกจากนี้ ที่นี่ยังปรากฏอยู่ในฉากหนึ่งของหนังเรื่อง Happy Hour อีกด้วย เป็นตอนที่หนึ่งในสี่สาวเดินมาแช่เท้าคนเดียวเหงาๆ หลังจากที่เพื่อนอีกสามคนพากันกลับไปก่อนแล้ว

แช่เท้าจนรื่นรมย์หายเมื่อย ยังไม่ต้องเดินไปไหนไกล ฝั่งตรงข้ามนี่แหละของเด็ดแห่งเมืองอาริมะที่ต้องขอยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้างเลย มันคือ Arima Toys & Automata Museum ชั้นหนึ่งเป็นร้านขายของเล่นที่ชวนให้เงินในกระเป๋าสั่น และมีห้องเวิร์กช็อปทำของเล่นกรุกระจกให้ยืนสังเกตการณ์คุณลุงช่างทำของเล่นที่กำลังทำงานอยู่ ชั้นสองเป็นภัตตาคาร ชั้นสามเป็นของเล่นสังกะสีและชุดรถไฟขนาดมหึมาที่วิ่งผ่านเมืองและภูเขาจำลองที่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งห้อง รถไฟวิ่งได้จริงและมีเจ้าหน้าที่มาเดินเครื่องให้ชมเป็นรอบๆ ของเล่นสังกะสีที่ชั้นนี้ชวนหวนไห้อดีตอย่างมาก ประวัติสั้นๆ ที่มีให้อ่านบอกเล่าความรุ่งเรืองของของเล่นสังกะสีและการยุติการผลิตที่ชวนเศร้าเมื่อถึงยุคของของเล่นสมัยใหม่

ขึ้นไปชั้นสี่เป็นชั้นที่เราชอบที่สุด มันคือชั้นของออโต้มาต้า หรือของเล่นที่มีกลไกขยับได้เมื่อกดปุ่ม ซึ่งออโต้มาต้าจำนวนมากมายที่นี่เปิดให้เราได้กดเล่นเป็นที่เพลิดเพลินลืมเวลาเอามากๆ หลายชิ้นชวนอมยิ้มขำขัน และหลายชิ้นชวนทึ่งให้กับความช่างคิดประดิดประดอย ขอบอกเลยว่าแค่ชั้นนี้ชั้นเดียวก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว

ไปต่อกันที่ชั้นห้า ซึ่งเด็กๆ น่าจะชอบเป็นพิเศษ เพราะเป็นชั้นของเล่นร่วมสมัย มุมที่ชวนให้ผู้ใหญ่อย่างเราอดก้มตัวลงไปเล่นไม่ได้คือมุมชุดของเล่นไม้ประเภทที่ต้องปล่อยให้ลูกแก้วลูกบอลไหลลงตามรางลดหล่นเป็นชั้นหรือวงวนที่ชวนเล่นซ้ำๆ หยุดไม่ได้ สุดท้ายกับชั้นหก เป็นชั้นที่บรรจุของเล่นจากประเทศเยอรมนีทั้งชั้น สวยหรูมลังเมลืองราวกับหลุดไปอยู่ในเยอรมนีช่วงเทศกาลคริสต์มาสก็ไม่ปาน

ยังเหลือไฮไลต์สำคัญอีกแห่งในอาริมะที่เราตั้งใจมา นั่นคือสวนกลางเมืองในแม่น้ำอาริมะงาวะ (Arima River Shinsui Park) ที่บอกว่าเป็นสวนในแม่น้ำเพราะเขาสร้างให้ลงไปเดินในแม่น้ำจริงๆ มีแอ่ง มีบันไดต่างๆ ให้คนลงไปเดินลัดเลาะวกวนได้ และสายน้ำในแม่น้ำจะถูกแอ่งที่มนุษย์สร้างกำกับการไหลไม่ให้ล้ำเข้ามาในบริเวณสำหรับคนเดิน มีสะพานสีแดงชื่อสะพานเนเน่ (Nene-bashi) ทอดข้ามแม่น้ำด้านบนของสวน ตั้งชื่อตามภรรยาของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ผู้สร้างปราสาทโอซาก้า) และมีรูปปั้นเนเน่ตั้งอยู่ที่หัวสะพานในฤดูท่องเที่ยว เช่น ช่วงซากุระบาน นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหลั่งไหลกันมาที่สวนแห่งนี้จนแน่นขนัดชนิดที่ในแม่น้ำจะเห็นแต่คนไม่เห็นสายน้ำกันเลยทีเดียว

ในหนังเรื่อง Happy Hour สถานที่นี้อยู่ในฉากสำคัญมากที่สุดฉากหนึ่งคือฉากที่สี่สาวเดินเที่ยวเมืองอาริมะ ออนเซนด้วยกันจนมาหยุดอยู่ที่ระเบียงเล็กๆ ด้านหนึ่งของแม่น้ำ มองข้ามไปทางฝั่งสะพานเนเน่ สี่สาวเห็นสามีของหนึ่งในกลุ่มตนเดินมากับคุณโนเสะ นักเขียนสาวผู้ซึ่งต่อมาหนังจะเล่าให้เห็นว่ามีส่วนสำคัญต่อความสัมพันธ์และมิตรภาพของสี่สาวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้วพร้อมสายฝนโปรยปราย เราแวะร้านโยชิทาคายะที่เป็นร้านขายของเก่าแก่เปิดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1868 เพื่อหาซื้อขนมและของฝาก ก่อนจะขึ้นรถไฟที่สถานีอาริมะออนเซนที่ตั้งอยู่ตรงข้ามร้านเพื่อเดินทางกลับโอซาก้า เป็นอันจบการเดินทางในวันแสนสุขและภารกิจตามโลเคชั่นหนังก็เสร็จสมบูรณ์

Rokkosan & Arima Onsen

ภาพนิ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Happy Hour (Ryusuke Hamaguchi, 2015, Japan)

ใครอยากส่งเรื่องสถานที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR