Okinawa Road Trip : เส้นทางสุขนิยมรอบเกาะโอกินาวา

โอกินาวาเป็นชื่อเมืองที่มักจะเจอในการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อยๆ หากใครคิดจะต้องการไปพักร้อน ในใจก็สงสัยมาตลอดว่าทำไมจุดหมายถึงจะต้องเป็นโอกินาวา เปิดดูจากกูเกิลคร่าวๆ จะพบว่านอกจากชายหาดและทะเลที่สวยกว่าที่อื่นๆ ในญี่ปุ่นแล้ว วัดวาอาราม สถาปัตยกรรมต่างๆ ก็ดูเหมือนได้รับวัฒนธรรมจากจีนมาด้วย แถมอาหารการกินก็ดูเป็นของที่หาทานได้เฉพาะถิ่น ที่สำคัญดูดีต่อสุขภาพจนไม่น่าสงสัยว่าทำไมคนที่เกาะใต้สุดของญี่ปุ่นนี้ถึงได้อายุยืนที่สุด แต่ความคิดที่จะไปโอกินาวาของเราก็ยังคงถูกเก็บเอาไว้ก่อนทุกครั้ง ยังไงเวลาอยากไปญี่ปุ่นก็คงอยากสัมผัสกับเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า หรือเมืองที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างเกียวโต โอกินาวาก็ถูกเก็บไว้เป็นแผนถัดๆ ไปเสมอ

เมื่อถึงวันที่ไกด์บุ๊กตะลุยเกียวโต โตเกียวจนพรุนแล้ว เลยกลับมาปัดฝุ่นเกาะใต้สไตล์จีนอย่างโอกินาวาอีกครั้ง เราไม่เคยนึกออกว่าโอกินาวาใหญ่ขนาดไหน ตอนแรกเราคิดว่ามันเล็กขนาดเราเดินเล่นรอบเกาะได้ด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริง มันใหญ่กว่าที่เราคิด จากเหนือสุดจนใต้สุดของเกาะ ระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตร เมื่อเราพล็อตจุดต่างๆ ที่สนใจอยากจะไปในแผนที่ การเดินทางเดียวที่เรานึกออกคือเช่ารถขับ

ช่วงที่เราไปยังไม่มีสายการบินไหนที่บินตรงจากไทยไปโอกินาวา เลยบินไปญี่ปุ่นเพื่อนั่งสายการบินภายในไปลงที่เกาะอีกที ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 3 ชั่วโมง (พอๆ กันกับเดินทางจากกรุงเทพตรงไปโอกินาวาเลย)

เมื่อถึงสนามบิน เรามองหาบริษัทรถเช่าที่เราจองไว้ล่วงหน้า ป้ายบอกให้เราไปทางด้านหน้าของสนามบิน จะมีเหล่าบริษัทรถเช่าตั้งธงรอเรียงรายเต็มไปหมด แต่เรายังไม่ได้รับรถที่นี่ทันที จะมีรถตู้ของแต่ละบริษัทพาไปรับที่บริษัทตัวเองอีกที่นึง เมื่อได้รถเป็นที่เรียบร้อย ก็พร้อมลุยรอบเกาะแล้ว

ที่แรกที่เราตั้งใจจะไปไม่ใช่ปราสาทโอกินาวา แต่กลับเป็นที่ที่เรียกว่า Minatogawa Area ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของทหารอเมริกันมาก่อน ภายหลังถูกปรับเปลี่ยนบ้านแต่ละหลังให้เป็นร้านขายของ คาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ จนถึงโรงคั่วกาแฟ แต่ละร้านก็น่ารักๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะร้านขนมปังโฮมเมดแสนอบอุ่นชื่อ ippe coppe ที่เราตั้งใจมาที่นี่เพราะร้านนี้โดยเฉพาะ มีขนมปังหลากหลายรสให้เลือก แถมเจ้าของก็เป็นชายหนุ่มท่าทางอบอุ่นยิ่งกว่าบรรยากาศร้านเสียอีก ไม่แปลกใจที่ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านจะเป็นสาวๆ หลังจากเลือกขนมปังแล้ว เจ้าของร้านจะบรรจงใส่ขนมปังลงในถุงกระดาษ ห่ออย่างเรียบร้อยสวยงาม แล้วยื่นให้เราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เราออกมาหากาแฟกินคู่กับขนมปังจากคาเฟ่แถวนั้น มีร้านกาแฟที่น่ารักหลายร้าน แต่เราเลือกร้านหนึ่งที่มีกระท่อมหลังเล็กๆ สีขาวไว้ให้นั่งจิบกาแฟ เมื่อนั่งเล่นอยู่สักพักก็ออกมาเดินดูของกระจุกกระจิกในร้านขายของต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า จานชาม เครื่องประดับแฮนด์เมดน่ารัก เดินดูจนพอใจก็ออกรถต่อไปยังจุดหมายถัดไป

เราขับมุ่งไปยังทิศเหนือ ออกจากตัวเมือง Naha ที่เปรียบเสมือนเป็นเมืองหลวงของเกาะโอกินาวา จากที่เป็นตึกสูงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นที่โล่งๆ และธรรมชาติมากขึ้น ระหว่างทางจาก Naha ไปทางเหนือจะต้องผ่านฐานทัพอเมริกาซึ่งมาตั้งอยู่ที่โอกินาวา สังเกตเห็นว่าป้ายร้านค้าต่างๆ ระหว่างทาง มีความอเมริกันมากกว่าที่จะเป็นญี่ปุ่น และมักจะมีคนอเมริกันสัญจรไปมาให้เห็นมากมายจนบางทีก็รู้สึกว่า ไม่ได้กำลังขับรถอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

จุดหมายต่อไปของเราคือร้านขนมปังอีกเช่นกัน แต่ที่อยากมาร้านนี้ไม่ใช่เพราะของกิน แต่เป็นป้ายหน้าร้านที่เห็นผ่านตาอยู่บ่อยใน Pinterest ต่างหาก เราค้นจนเจอว่าร้านนี้อยู่ตรงไหนของโอกินาวา เส้นทางที่ไปร้านต้องออกมาจากไฮเวย์ประมาณหนึ่ง เลี้ยวตามแผนที่มาสักพักก็พบป้ายเล็กๆ ระหว่างทางแต่ต้องจอดรถด้านนอกแล้วเดินต่อเข้าไปในตัวร้าน Suien เป็นร้านขนมปังในบ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียว มีความคลาสสิกแบบฉบับญี่ปุ่น เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้ทั้งหมด อบอุ่นเหมือนหลุดออกมาจากแมกกาซีน มีขนมปังหลากหลายชนิดให้เลือก มีเมนูพวกสลัดกับซุปง่ายๆ ไว้กินกับขนมปังอีกด้วย จริงๆ แล้วอยากนั่งใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน แต่ยังมีอีกหลายที่ที่ต้องไปต่อ

พักจากของกินที่เริ่มแน่นท้องแล้ว เราขับรถมุ่งหน้าต่อไปทางทิศเหนือของเกาะ ถนนเริ่มเลาะริมชายฝั่ง มองเห็นพระอาทิตย์และมหาสมุทรอยู่ตลอดทาง ใช่ว่าทริปนี้เราจะแวะหาแต่ของกินตามทางเพื่อหาความสุขใส่ท้อง แต่เรายังหาวิวสวยๆ เป็นความสุขทางตา
อย่างแหลม Manzamo ที่มีชื่อเรียกว่า Elephant Rock ก็เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่ท่าทางจะได้รับความนิยมอยู่มากเช่นกัน ลักษณะเฉพาะของหน้าผาริมมหาสมุทรที่ตัดตรง สูงจะระดับน้ำทะเล ลมกัดกร่อนหินจนเป็นรูปร่างแปลกๆ มีจุดนึงที่มองดูเหมือนหัวช้าง น่าจะเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้แน่ๆ เสียดายที่วันนั้นเมฆมาก พระอาทิตย์ผลุบๆ โผล่ๆ แล้วก็หลบหายไปไม่ทันได้โชว์แสงสีสวยงามยามเย็นให้เราดู แต่แค่มองอะไรโล่งๆ ก็รู้สึกสบายใจแล้ว

เมื่อเริ่มโพล้เพล้ จึงต้องรีบออกรถต่อเพื่อเข้าไปยังที่พักของคืนนี้ ซึ่งยังอยู่ห่างออกไปอีกเป็นชั่วโมง ทางที่ต้องขับขึ้นไปเริ่มเป็นภูเขา แถมมืดมากอีกด้วย ความสว่างที่มีในตอนนั้นคือไฟหน้ารถและหน้าจอมือถือที่แสดงแผนที่ gps อยู่ ขับจนเริ่มรู้สึกว่าหลงทางสักพักก็พบกับ Beach Rock Village ซึ่งคนปกติคงไม่มีใครมาตั้งที่พักอยู่ตรงนี้แน่ๆ แต่ที่นี่เป็นเหมือนคอมมูนเล็กๆ มีสตาฟฟ์ที่ใช้ชีวิตอยู่กันที่นี่เลย เป็นชุมชนเล็กๆ พึ่งพาตัวเองด้วยเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ทำที่พักรวมถึงบาร์ในกระโจมแบบมองโกเลียและร้านพิซซ่าบนต้นไม้!

เราจองที่พักแบบกระโจมหรือเรียกอีกอย่างว่า เกอร์ ตามแบบฉบับมองโกลเอาไว้ เมื่อเก็บของเรียบร้อย สตาฟฟ์ก็บอกให้เราไปทานอาหารที่เตรียมไว้ให้ทานเป็นอาหารมื้อง่ายๆ แค่ข้าว ผัดหัวโกโบ ซึ่งเป็นรากพืชชนิดหนึ่ง และมะระผัดไข่เมนูประจำเกาะโอกินาวา เมื่อกินเสร็จแม้จะยังไม่ดึกมาก แต่ก็มืดจนไม่มีอะไรให้เดินดูรอบๆ แล้ว มืดระดับดาวชัดเต็มท้องฟ้า แต่ถึงดาวจะชัดแค่ไหน อากาศก็หนาวจนต้องรีบหลบเข้ากระโจม ตอนแรกคิดว่าจะไม่อาบน้ำ แต่คำเชื้อเชิญให้ลองบ่อน้ำร้อนในห้องใต้ดินที่พวกสตาฟฟ์ทำขึ้นมาเอง และไม่ได้ให้ใครลงไปแช่ง่ายๆ ก็ยั่วยวนจนปฏิเสธไม่ได้เลย เราเดินตามลงไปยังห้องใต้ดิน ประตูไม้เตี้ยๆ ถูกเปิดออกจนได้เห็นอ่างน้ำเป็นบ่อดินที่ถูกก่อขึ้นมาอย่างง่ายๆ ไม่ได้หรูเหมือนบ่ออนเซ็น แต่ดูซื่อๆ ง่ายๆ และน่าแก้ผ้าโดดลงไปแช่และนอนอยู่ในนั้นทั้งคืนหากอุณหภูมิของอากาศด้านนอกจะลดลงเรื่อยๆ ขนาดนี้!

พอถึงตอนเช้า เราจึงได้สำรวจบริเวณรอบๆ ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้ขึ้นเขามาสูงแค่ไหน ที่พักตั้งอยู่บนเนินที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและมองออกไปเห็นมหาสมุทรอยู่ข้างหน้า สตาฟฟ์พาเราเดินไปดูเล้าไก่ แปลงปลูกผัก รวมถึงเรือนหลังเล็กบนต้นไม้ เราขอขึ้นไปสำรวจข้างบน เรือนหลังเล็กๆ หลังนี้ดูคล้ายเรือนชงชาแต่มีขนาดเล็กมากๆ ปูด้วยเสื่อทาทามิ และมีหน้าต่างไม้ไซส์กำลังน่ารักที่เปิดออกไปชมวิวหุบเขาและมหาสมุทรได้ชัดกว่าข้างล่างเสียอีก เราบอกสตาฟฟ์ว่าถ้ารู้ว่ามีเรือนนี้ จะขอย้ายจากกระโจมขึ้นมานอนบนนี้แทน แต่สตาฟฟ์บอกว่า “ถ้าอยู่บนนี้จริงๆ ตอนกลางคืนจะหนาวมาก และลมแรงพอที่จะทำให้เรือนทั้งหลังสั่นไปหมด เผลอๆ ก็อาจจะเจอไต้ฝุ่นพัดจนพังเหมือนเรือนกระจกหลังเก่าที่ปลูกบนต้นไม้เหมือนกัน และถูกพายุไต้ฝุ่นพัดจนพังเสียหายไปเมื่อหลายปีก่อน” เขาพูดพลางชี้นิ้วไปยังซากเรือนกระจกที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นบนต้นไม้ไกลออกไป ฟังแบบนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่เมื่อคืนไม่ทันเห็นเรือนหลังนี้ก่อน

เราร่ำลาสตาฟฟ์หลังจากอาหารมื้อเช้า และเสียดายที่ต้องรีบออกมาไม่ทันได้ชิมพิซซ่าที่สตาฟฟ์บอกว่ามีคนขึ้นมากินแค่พิซซ่าแล้วกลับไปก็มี แต่เราต้องรีบกลับเข้าเมือง Naha เพราะยังต้องใช้เวลาขับอีกทั้งวัน

จุดถัดไปที่เราจะแวะไม่ไกลจากที่พักมากนัก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตอันดับต้นๆ ของโอกินาวาเลยก็ว่าได้คือ The Okinawa Churaumi Aquarium หลายคนดั้นด้นมาถึงที่นี่เพียงเพื่อมาเยี่ยมท่านจินเบ ฉลามวาฬในตู้กระจกขนาดยักษ์ ถึงจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยด้วยเหตุผลอย่างไว้เพื่อการศึกษา แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเอาสัตว์ขนาดใหญ่มากักขัง เพราะเห็นว่าเป็นการทรมานสัตว์ แต่ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกมหัศจรรย์กับขนาดของวาฬที่ใหญ่มากในระยะที่ใกล้จนแทบหยุดหายใจ

ก่อนกลับเข้าสู่เมือง เราแวะโซบะร้านเด็ด ที่หมายมั่นไว้ว่ายังไงก็ต้องไปกินให้ได้ ร้าน Yanbaru Soba 山原そば โซบะทำเองซึ่งถือว่าเป็นโซบะที่แบบฉบับโอกินาวาเจ้าดัง มีคนต่อคิวอยู่ไม่ขาดแม้จะอยู่ไกลจากเมืองมาก ร้านสีขาวริมทางที่แทบจะขับผ่านถ้าหากไม่ทันเห็นรถที่จอดเยอะจนผิดสังเกตและคนที่ยืนรออยู่หน้าร้าน เราไปต่อคิวหนาวเหน็บอยู่สักพักก็ถูกเรียกให้เข้าไปนั่ง ส่วนหนึ่งที่โซบะอร่อยคงเพราะคนกินถูกแช่แข็งอยู่ด้านนอกจนได้ที่ด้วย พนักงานพยายามจะถามว่าอยากทานอะไร เราต้องใช้ภาษากายในการสื่อสารจนเป็นอันเข้าใจว่าอยากได้เมนูที่เด็ดที่สุดของร้าน ไม่นานพนักงานก็ยกโซบะร้อนน้ำซุปใสพร้อมซี่โครงที่มองด้วยตาก็รู้สึกว่ามันนิ่มจนจะละลายอยู่แล้วหากไม่รีบทาน เราไม่รีรอที่จะทานโซบะร้อนๆ สูดเส้นนุ่มหนานุ่มจะเกือบจะเท่าเส้นอุด้ง คีบเนื้อซี่โครงเปื่อยยุ่ย และซดน้ำซุปหวานต้มกระดูกและจากปลาคัตซึโอะตากแห้งรสกลมกล่อมจนเกลี้ยงหมดชามอุ่นสบายพุงอย่างรวดเร็ว เป็นการปิดท้ายด้วยอาหารตำรับโอกินาวาที่ถูกต้องที่สุด หากใครมีโอกาสอยากแนะนำร้านนี้เป็นพิเศษจริงๆ ไม่ผิดหวังที่จะดั้นด้นไปทาน

ก่อนกลับเข้าสู่เมือง Naha จุดหมายสุดท้ายที่อยากแวะคือ Spice Motel Okinawa โมเต็ลเก่ายุคเรโทรที่ถูกปรับปรุงโดยรุ่นลูกเป็นบูติกโมเต็ลที่เก๋ทันสมัยแต่ยังแฝงไว้ด้วยความเก๋าคลาสสิกตั้งแต่รุ่นพ่อ เราได้เยี่ยมเพียงบางจุดของโมเต็ลเท่านั้น และนั่งพักดื่มกาแฟที่ล็อบบี้ที่ยังเก็บป้ายไฟนีออนชิ้นดั้งเดิมขนาดใหญ่เอาไว้ข้างในล็อบบี้ เหมือนถูกดึงกลับเข้าไปในบรรยากาศยุคก่อนอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากขับรถเที่ยวจนเกือบครบรอบเกาะ จากความคิดแรกที่คิดว่าโอกินาวาคือจุดหมายที่ตั้งใจว่าจะมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองใหญ่ๆ แต่ในมุมมองของนักท่องเที่ยวแบบเรากลับพบว่า เกาะที่ห่างไกลที่สุดของญี่ปุ่นจนมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองอย่างโอกินาวา ช่างเป็นเกาะที่น่าอิจฉาเรื่องชีวิตและความเป็นอยู่ ถึงที่ที่เราไปจะไม่ใช่สถานการณ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หรือดีเด่นด้านวัฒนธรรม แต่ก็ได้เห็นวิถีชีวิต ความกินดี อยู่ดี อากาศดี สิ่งแวดล้อมดี ทำทุกอย่างราวกับเป็นการพักผ่อนตลอดชีวิต ไม่แปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงเลือกเกาะนี้สำหรับพักผ่อนจริงๆ

ปล. ยังข้ามไม่ได้พูดถึงคาเฟ่และร้านขนมปังเจ้าเด็ดไปหลายร้าน ไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟังอีก

ปล.2 ตามไปดูรูปเพิ่มใน instagram l jiranarong2 (แท็ก #jiranarongxokinawa)

ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR