หนึ่งในความฝันที่ผมอยากทำก่อนตายคือการดู
Radiohead เล่นสด
สำหรับผม Radiohead เป็นมากกว่าแค่วงดนตรีโปรด
ผมเป็นแฟนเพลงชนิดเดนตาย ร้องตามได้แทบทุกเพลง มีแผ่นซีดีทุกอัลบั้มเต็ม
อ่านเกือบทุกเรื่องราวของวง และมี Thom
Yorke นักร้องนำเป็นที่สุดแห่งแรงบันดาลใจ
เพลงของพวกเขาซึมลึกอยู่ในทุกช่วงชีวิต
ยามเหงาผมร้องเพลง No Surprises ยามกดดันผมเปิดเพลง
Creep ยามสนุกผมเต้นรำไปกับเพลง
Idioteque
ดนตรีของพวกเขาทำให้ผมมีความสุข
ทำให้ผมได้ปลดปล่อย และหลายครั้งก็ทำได้ถึงขั้นช่วยชีวิตในยามที่สิ้นหวัง
ไม่น่าเชื่อว่าความฝันของผมจะมาเร็วกว่าที่คิด
เพราะทันทีที่เทศกาลดนตรีร็อกที่ญี่ปุ่นอย่าง Summer
Sonic 2016 ประกาศไลน์อัพว่า Radiohead จะมาเล่นสดๆ
ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ทางสำนักพิมพ์อะบุ๊กกำลังมีโปรเจกต์ Converse presents Live From Planet Earth: Team
Travel in Japan ทริปที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ Live From Planet Earth และได้รับการสนับสนุนจาก
คอนเวิร์ส ประเทศไทย ต่อยอดไปสู่การเดินทางจริงของกลุ่มคนรักเสียงดนตรี
ทริปนี้มีไฮไลต์คือการไปลุย Summer Sonic
2016 กันที่กรุงโตเกียว และผมได้รับการติดต่อจากพี่แพท-สิระ บุญสินสุข
เจ้าของหนังสือและผู้ดูแลโปรเจกต์ให้เป็นหนึ่งในทีมการเดินทางครั้งนี้
คืนก่อนหน้าที่จะตีตั๋วเข้างาน
ทีมงานพาเราไปแวะที่ร้าน Live and Bar
LOTUS ย่าน Yotsuya
เพื่อสัมผัสประสบการณ์การเล่นสดในผับ
ซึ่งในงานนอกจากจะมีวง Getsunova และพี่ปู
แบล๊กเฮดมาโชว์พลังเสียงแล้ว พี่แพทของเรายังมีเซอร์ไพรส์ด้วยการจับมือกับ ณัฐ-ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร
มือกีตาร์วง Klear, มิก-ประกาย วรนิสรากุล
นักร้องวง Abuse the Youth และอู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์
นักร้องวง The Yers เล่นเป็นวงเปิดในนาม
The Dirty Sausages (ชื่อนี้จริงๆ
ครับ)
เช้าวันถัดมา
พวกเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อนั่งรถไฟจากย่านกินซ่าในโตเกียวไปยังจังหวัดชิบะ
เนื่องจากสถานที่จัดงานของ Summer Sonic นั้นคือ
Chiba Marine Stadium ซึ่งตั้งอยู่ที่ชิบะ
ใครที่เป็นคนชอบดูเทศกาลดนตรี
คงพอจะทราบอยู่บ้างว่า Summer Sonic คือเทศกาลดนตรีร็อกที่มีชื่อที่สุดงานหนึ่งในเอเซีย
เริ่มจัดในปี 2000 หลังจากนั้นก็จัดทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม
โดยงานจะจัดขึ้น 2 วันใน
2 เมืองคือ
โตเกียวและโอซาก้า
ส่วนใหญ่แล้วไลน์อัพของงานก็จะผสมกันระหว่างศิลปินระดับโลกและศิลปินญี่ปุ่น
โดยวงดังๆ ที่เคยมาเล่นก็เช่น Coldplay,
Muse, Blur, Greenday จนไปถึง Stevie Wonder หรือ
Pharrell Williams
ในโตเกียวปีนี้ วง Radiohead เล่นเป็นวงปิดในวันที่สอง
ฉะนั้นในวันแรกผมจึงไม่ต้องรีบไปต่อแถว มีเวลาเดินเล่นดูวงอื่นได้สบายๆ (รวม 2 วันมีวงขึ้นโชว์ทั้งหมดประมาณ
60 วง) โดยวงที่ผมเลือกดูในวันนั้นได้แก่ Weezer,
Fergie (สนุกเหลือเชื่อ เต้นตุ๊ดแตกเลย-ฮา) และ The Chainsmokers เจ้าของเพลงฮิต
Closer
ผมมีโอกาสไปเทศกาลดนตรีอยู่บ้าง
แม้จะไม่บ่อย เท่าที่สังเกต สิ่งที่ Summer
Sonic แตกต่างจากเทศกาลอื่นๆ
คือสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนตก
หรือบางครั้งฝนก็ตกตอนที่แดดจ้าซะยังงั้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนชุดกันฝนแทบไม่ทัน
แต่อากาศที่ไม่ค่อยดีนี้ก็ถูกลบล้างด้วยบรรยากาศที่สุดยอดในงาน
คนที่มาดูน่ารักและตั้งใจมาดูดนตรีเป็นอย่างมาก ทุกคนสนุกแบบจัดเต็ม ทั้งร้อง เต้น
แหกปาก กระโดด โดยไม่มีเก๊ก นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกขึ้นไปอีกก็คือ เวที 8 เวทีที่มีคาแรกเตอร์และจุดเด่นแตกต่างกันไป
ตั้งแต่สนามแข่งขันเบสบอล ไปจนถึงเวทีชิลล์ๆ ริมทะเล (ผมชอบเวทีนี้ที่สุด) รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ
ที่ทางผู้จัดงานจัดไว้ให้ เช่น Silent Disco ฟลอร์เต้นรำแบบใส่หูฟังส่วนตัว
หรือรถฉีดน้ำดับร้อนโดยสาวในชุดบิกินี
งานในวันแรกเหมือนจะจบลงด้วย The Offspring ที่เป็นวงใหญ่วงท้าย
แต่จริงๆ แล้วคืนนั้นยังมีคอนเสิร์ตโต้รุ่งสำหรับคนไม่อยากนอน จัดในชื่อ HOSTESS CLUB ALL-NIGHTER มีวงอินดี้ตั้งแต่
Deerhunter, Animal Collective,
Dinosaur Jr. หรือ Temples
แต่เนื่องจากงานจะจบลงตี
4
ผมซึ่งอยากเก็บแรงไว้เข้าเฝ้าพี่ทอม
ยอร์กพรุ่งนี้ จึงได้ดูแค่ Deerhunter 3 – 4
เพลง
แล้วก็รีบนั่งรถไฟกลับ
วันที่สองถือเป็นวันที่มีไฮไลต์เด็ดเพียบ
ผมวิ่งไปวิ่งมาระหว่างเวทีแทบไม่ทันเพื่อชมศิลปินวงโปรดให้ได้มากที่สุด
วันนั้นผมได้ดู Two door Cinema Club,
King, Cashmere Cat, The Jacksons เสียดายที่พลาด MØ, Mayer Hawthorne, Suede, Mark Ronson แต่ที่เสียดายที่สุดคือ
James Bay ศิลปินหนุ่มที่ผมอยากดูมาก! แต่เพราะเวลาของเจมส์
เบย์นั้นใกล้กับ Radiohead เกินไป
แถมเวทียังไกลกันอีก ผมที่อยากไปสักการะบูชาพี่ทอม ยอร์กใกล้ๆ
จึงยอมตัดใจเข้าไปในเวทีใหญ่ก่อนเวลา 2 – 3
ชั่วโมง
โดยวงที่เล่นก่อนหน้า Radiohead คือ
Sakanaction วงอิเล็กโทรร็อกญี่ปุ่น
(คล้ายๆ
Slot Machine บ้านเรา) ที่ก็เล่นได้ประทับใจผมไม่น้อย
ปกติแล้ว
เมื่อวงใดวงหนึ่งเล่นจบ คนก็มักจะเฮโลกันเดินออกจากเวทีไปดูวงอื่น แต่เมื่อ Sakanaction เล่นจบ
ผลปรากฎว่าแทบไม่มีใครเดินออกสักคน ทุกคนต่างมารอดู Radiohead ทั้งนั้น
ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของคนรอบตัว หลายคนใส่เสื้อ Radiohead มา และอีกหลายๆ
คนก็ฮัมเพลงของพวกเขาบิ้วท์ตัวเองไปด้วย
ก่อนเวลาเล่นประมาณครึ่งชั่วโมง
ผมเบียดตัวเข้าไปในฝูงชนเพื่อพาตัวเองไปใกล้เวทีมากที่สุด
จนในที่สุดผมก็มองเห็นเวทีในระยะประชิด ห่างแค่ประมาณ 10 – 20 เมตรเท่านั้น
อากาศตอนนั้นร้อนอ้าวมากๆ ไม่มีลมแม้แต่น้อย แถมคนก็แน่นจนแทบจะขยับตัวไม่ได้
แต่ความรู้สึกของทุกคนในเวลานั้นคือ พ่อที่รอคอยลูกน้อยออกมาจากห้องคลอด
หลังจากรอประมาณ 15 นาที (ซึ่งถือว่าเลทมากตามมาตรฐานคอนเสิร์ตญี่ปุ่นที่ตรงเวลาเป๊ะ) และแล้วในที่สุด
พวกเขาก็ปรากฎตัว! เสียงเป่าปากและกรีดร้องดังขึ้นกระหึ่ม
หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เลือดสูบฉีด เหงื่อไหลซึม ลมหายใจถี่กระชั้น
ความฝันของผมกำลังจะเป็นจริงแล้ว
Radiohead เปิดตัวด้วยซิงเกิลใหม่ของพวกเขา
Burn the Witch ต่อด้วย
Daydreaming (ลอยมาก) และอีก 3 เพลงรวดจากอัลบั้มใหม่
A Moon Shaped Pool ใครที่ไม่คุ้นอาจจะปรับตัวไม่ทัน
เพราะเพลงค่อนข้างเนือยพอสมควร แต่สำหรับผมที่ชอบความลอยและหลอนอยู่แล้ว จึง ‘ฟิน’ มาก
แต่แล้วอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ข้างในของทุกคนก็ปะทุออก
เมื่อพวกเขาเล่นเพลง 2 + 2 = 5 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพลงที่เล่นสดได้มันที่สุดเพลงหนึ่ง
บรรยากาศในตอนนั้นเหมือนภูเขาไฟระเบิด พอเข้าท่อน ‘Because
you have not been Payin’ attention’ คนก็กระโดดกันบ้าคลั่งจนพื้นสั่นไหว
คลื่นฝูงชนดันตัวผมไหลไปมาตามจังหวะดนตรีราวกับเกิดจลาจล
จากที่เบียดอยู่แล้วกลายเป็นเนื้อแนบเนื้อจนหายใจไม่ออก
ผมถูกดันจนเกือบจะไปยืนหน้าสุดเห็นพี่ทอมตัวเป็นๆ ระยะประชิด
นี่คือบรรยากาศที่เหวอมากๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดเช่นกัน
ผ่านไปอีก 2 – 3 เพลง
ผมเริ่มปรับตัวกับการอยู่ในเตาไมโครเวฟได้แล้ว และทันทีที่เสียง Xylophone ดังขึ้น
น้ำตาผมก็แทบจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เพลง No
Surprises คือเพลงที่ผมรักมากที่สุดเพลงหนึ่ง
ผมหันไปรอบๆ ตัวฟังเสียงผู้คนตะโกนร้องพร้อมกัน พลางคิดว่านี่เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
หลังจากนั้นวงก็เล่นเพลงเก่าบ้างใหม่บ้างสลับกันไป
ไล่ตั้งแต่ Bloom, The Gloaming, The
National Anthem, Lotus Flower (ได้ดูพี่ทอมเต้นถือเป็นบุญตา) Everything in Its Right Place ก่อนจะปิดด้วย
Idioteque อีกหนึ่งเพลงชาติที่เต้นกันยับ
แล้วงานก็จบลง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี Encore
Radiohead กลับขึ้นมาอีกครั้งตามเสียงปรบมือ
แล้วเริ่มด้วยเพลง Let Down ผมดูในเซ็ตลิสต์ที่โอซาก้าของพวกเขาเห็นว่าเล่นเพลง
Exit Music (For a Film) ด้วยก็แอบหวังเล็กๆ
ให้เขาเล่นเพลงนี้ แม้ว่าจริงๆ แล้วผมจะไม่คาดหวังอะไรแล้ว
เพราะรู้สึกว่าตายได้แล้วจากการได้ชมวงในฝันในระยะประชิด
แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
พอได้ยินโน้ตตัวแรกดังขึ้น โน้ตที่ทุกคนคุ้นเคยมานับ 20 ปี
โน้ตที่ทุกคนร้องตามได้ โน้ตที่ทำให้ใครหลายคนหลั่งน้ำตา ราวกับปาฏิหารย์บังเกิด
เพราะพวกเขาเล่นเพลง Creep! เพลงที่น้อยครั้งจะเล่นในรอบ
10 ปีให้หลัง
ผมคงไม่สามารถบรรยายได้ว่าบรรยากาศหรือความรู้สึกในช่วง
4 นาทีนั้นเป็นอย่างไร
รู้แค่ผมบอกกับตัวเองตอนนั้นตลอดว่า ‘นี่คือ
4 นาทีที่จะจดจำไปชั่วชีวิต’ ผมนึกถึงตัวเองตอนฟังเพลงนี้ยามกดดัน
นึกถึงตอนกด repeat ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นึกถึงตอนแอบฟังเพลงนี้ในห้องเรียนแล้วน้ำตาซึม นึกถึงตอนแหกปากตะโกน ‘What the hell I’m doing here!’ ในห้องน้ำ
การได้มาดู Radiohead ผมก็ถือว่าตัวเองตายได้แล้ว
แต่การได้ฟังเพลง Creep สดๆ
มันคือตายตาหลับได้เลย ผมเห็นคนรอบตัวน้ำตาไหลพรากไม่ต่างจากผม
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นตอนคอนเสิร์ตจบลงคือสมาชิกในวงแต่ละคนโบกไม้โบกมือเดินหลบไปหลังเวที
เหลือเพียงทอม ยอร์กคนสุดท้าย เขาเดินมาข้างหน้าแล้วไหว้ขอบคุณผู้ชมประมาณ 5 ครั้ง
ก่อนหน้านั้นผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ดู
Radiohead ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยากขอบคุณพวกเขาที่ช่วยสอนให้ผู้ชายคนหนึ่งรู้ว่า
หนึ่งในเหตุผลของการมีชีวิตอยู่คืออะไร
ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย