Biei : บิเอะในวันที่อากาศอุ่นกำลังดี

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นค่อยๆ ขยับพาผมออกห่างจากตึกสูงไปเรื่อยๆ
ผ่านทางด่วน จุดพักรถ เข้าสู่พื้นที่ทำการเกษตร ทุ่งหญ้าสีเขียวสลับเหลือง
ภูเขาที่เขียวไปทั้งลูก หมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูเป็นกันเอง
วิวข้างทางเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายชวนให้อยากจะหยุดเวลาทั้งหมดแล้วเอามานั่งหายใจทิ้งซ้ำไปซ้ำมา

ผมกำลังพูดถึงบรรยากาศของเกาะที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นในฤดูร้อน
ฮอกไกโด (Hokkaido) และเมืองเล็กๆ ในหน้าร้อนที่ไม่ร้อนอย่างที่คิดชื่อว่า
บิเอะ (Biei)

บิเอะเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ
ซัปโปโร (Sapporo) ระยะทางโดยประมาณ 160 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งโดยรถยนต์ส่วนบุคคล ผมเคยแวะสถานที่ที่อยู่ระหว่างทางไปบิเอะหลายแห่งมาก เหตุจากครั้งนั้นผมไปเพื่อทำงานเลยได้แวะตามสถานที่ต่างๆ เต็มไปหมด

ฮอกไกโดในหน้าร้อนนั้นมีเสน่ห์รุนแรง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร
เมล่อนที่นี่หวานจนไม่รู้จะหวานยังไง (หากกินคู่กับซอฟต์ครีมด้วยแล้วละก็…) นี่ยังไม่รวม
เนื้อ นม ไข่ ของกินขึ้นชื่อของที่นี่ ผักผลไม้ก็หวานไปซะทุกชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นผลผลิตที่ปลูกในเกาะ สังเกตได้จากพื้นที่ส่วนมาก หากมองด้วยตาจะเห็นว่าหนักไปทางเกษตรกรรม ซึ่งเกาะฮอกไกโดสมบูรณ์จนเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

ระหว่างอยู่ที่นั่นผมถามคนท้องถิ่นว่าทำไมผักผลไม้ที่นี่ถึงได้หวานนักและได้คำตอบว่า
ดินของเกาะฮอกไกโดจะได้ ‘พัก’ ทุกปีเลยทำให้มีแร่ธาตุในดินเยอะ คำว่า ‘พัก’ ในที่นี้คือเกาะฮอกไกโดจะเป็นพื้นที่ที่มีหิมะตกยาวนานที่สุดในประเทศ
ในขณะนั้นก็จะปลูกพืชผักไม่ได้ เมื่อไม่มีการปลูก ไม่มีใครทำอะไรกับดิน มันก็เลยได้พัก
ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ผักผลไม้มีรสหวาน

ตอนที่มาทำงานช่วงแรก บิเอะเป็นเมืองที่ตอนแรกเราเกือบจะมองข้ามไปเพราะกลัวว่าจะไม่มีอะไรให้ถ่าย
แต่สุดท้ายเมืองนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เส้นทางหลักๆ ที่นักท่องเที่ยวมักพูดถึงคงไม่พ้น
Panorama Road และ Patchwork Road ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยมาก
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกติดใจบิเอะคือความเป็นกันเอง ไม่พยายามจะเป็นเหมือนเมืองอื่นด้วยความที่เป็นเมืองเด่นเรื่องเกษตร
การนำเสนอของบิเอะก็เน้นพูดชวนคนมาเที่ยวความเป็นเมืองเกษตรกรรม ‘ถ้าเราเป็นอย่างนี้ก็อยากจะให้คนเห็นสิ่งที่เราเป็น’ นี่คือแนวคิดในการพัฒนาเมืองนี้ก็ว่าได้

ระหว่างที่ผมมองทุ่งหญ้าสีเขียวสลับเหลือง
ระหว่างอยู่บนเส้นทาง Patchwork Road เราขับรถเล่นไปรอบๆ
ผ่าน Mild Seven Hills สถานที่นี้ได้ชื่อนี้มาน่าจะเป็นเพราะเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายโฆษณาบุหรี่ยี่ห้อดังตามชื่อ
วิวที่อยู่ตรงหน้ากับอากาศอุ่นๆ พร้อมกลิ่นหญ้าทำให้ร่างกายผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว

อีกภาพที่เห็นได้บ่อยมากๆ ที่บิเอะคือ เห็นคนเช่าจักรยานปั่นกัน ครอบครัวหนึ่งปั่นจักรยานผ่านหน้าผมไป
พ่อกับแม่ปั่นนำ โดยมีเด็กชายคนหนึ่งปั่นตามหลังมาเรื่อยๆ หนุ่มน้อยปั่นด้วยท่าทางสนุกสนาน เมื่อมาถึงทางขึ้นเนินยาวๆ
ผมก็แอบดูว่าหนุ่มน้อยจะฟันฝ่ามันไปได้ยังไง พ่อกับแม่จะลงมาช่วยไหมนะ

ภาพที่เห็นคือพ่อแม่ปั่นนำไปลิ่ว โดยหันมายิ้มและมองหนุ่มน้อยเป็นระยะ เด็กพยายามปั่นขึ้นเนินอย่างสุดความสามารถแต่ด้วยพละกำลังที่มีดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
พ่อกับแม่หยุดรอแล้วหันมายิ้มเป็นระยะๆ หนุ่มน้อยไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ง่ายๆ
ทั้งปั่นทั้งลงไปจูงจักรยานจนในที่สุดก็ผ่านพ้นเนินสุดหินนี้ไปได้

ผมยืนยิ้มอยู่คนเดียวและคิดว่าภาพของครอบครัวนี้น่าจะสอนอะไรได้หลายอย่าง
สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีอาจจะเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่ง
การเดินทางต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างมารวมกันจึงทำให้เราจดจำและมีความหมาย

เลยมาอีกไม่ไกลเราพบกับ Ken & Mary Tree ย้อนกลับไปประมาณปี1970
รถยนต์ค่ายหนึ่งได้มาถ่ายทำหนังโฆษณาที่นี่และเจ้าต้นไม้ต้นนี้ก็อยู่ในฉาก พระเอกและนางเอกชื่อ
Ken และ Mary ต้นไม้ต้นนี้เลยได้ชื่อจากการทำงานครั้งนั้น ผมชอบร้านขายของแถวนั้นซึ่งเปิดโทรทัศน์ฉายโฆษณาตัวที่ว่านี้ด้วย
ให้เปรียบเทียบกันช็อตต่อช็อตเลยว่าจริงไหม ซอฟต์ครีมข้างทางอร่อยมาก

เราขับรถต่อไปอีกไม่ไกลเพื่อดูบ่อน้ำสีฟ้าที่ชื่อว่า Blue Pond สีฟ้าสมชื่อจนผมแอบสงสัยว่ามันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจริงๆ
เหรอ ที่แน่ๆคือบริเวณนั้นมีการสร้างเขื่อนกันดินโคลนถล่มจากภูเขาไฟ มีการตรวจพบแร่ธาตุอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ในน้ำ ผมไม่เก่งวิทย์ มันก็จะงงนิดๆหน่อยๆ ไม่ไกลกันมีน้ำตก Shirahige
น้ำที่ตกลงมาก็เป็นสีฟ้าเหมือนกัน บริเวณนี้เย็นสบายมากๆ

ผลไม้ที่ฮอกไกโดหวานมากจริงๆ จะซื้อที่ร้านใหญ่หรือร้านเล็กก็รอดหมด ระหว่างที่กำลังขับรถหาอาหารกลางวัน เราก็เจอกับร้านอาหารที่ตัวอาคารไม้ทาด้วยสีแดง
บรรยากาศดีมากๆเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังเรื่อง Little Forest ผมจำไม่ได้จริงๆว่าร้านชื่ออะไรและอยู่ที่ไหน
(ตอนนั้นหลงทางอยู่) มีแค่รูปถ่ายใบนี้เท่านั้นที่เป็นหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง อีกร้านหนึ่งที่ผมชอบคือร้านสเต๊กที่อร่อยมาก
แถมพนักงานเสิร์ฟน่ารักจนสั่งอาหารกันไม่ถูก ร้านอยู่ที่ Farms Chiyoda ผมไม่ใช่คนมีรสนิยมด้านอาหารดีมาก
แต่ก็มั่นใจในรสชาติของสเต๊ก และแน่ใจสุดๆ เรื่องหน้าตาพนักงานว่าไม่ได้คิดไปเอง

ก่อนออกมาจากบิเอะในคืนสุดท้าย ผมคิดว่าอยากกลับมาที่นี่อีก ทันใดนั้นเหมือนบิเอะจะได้ยินเราเลยส่งของขวัญอำลามาให้อีกชุดหนึ่ง

ระหว่างขับรถกลับที่พัก เราได้ยินเสียงดังมากเหมือนมีการเดินขบวนอะไรซักอย่าง
ชาวบ้านบริเวณนั้นเดินไปในทางเดียวกับเสียงนั้น เราเลยตัดสินใจจอดรถเพื่อเดินไปดู
ภาพที่เห็นคือคนจำนวนมากกำลังแห่ดูสิ่งที่คล้ายคบเพลิงเต็มไปหมด
เสียงกลองปลุกเร้ามากๆ ผู้คนทั้งชายหญิงช่วยกันตีกลองพร้อมร้องประสานเสียง
ชายหนุ่มถือสิ่งที่คล้ายคบเพลิงจุดไฟแห่ไปมาและนำมาตีกับตะแกรงเหล็กคล้ายจะให้ไฟดับ ความพร้อมเพรียงของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
บวกกับเปลวไฟที่ร้อนเป็นทุนเดิม ทำให้บรรยากาศดูขลังมากๆ

เรายืนดูด้วยความตื่นเต้นจนพิธีจบ ทุกคนคุยกันพร้อมรอยยิ้มและมีเหงื่อกับน้ำที่ต้องพรมตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อลดความร้อนจากไฟ
ผมไม่แน่ใจว่าประเพณีที่ว่านี้มีจุดประสงค์คืออะไร
แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ทุกคนมีความสุขและรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน

ผมมารู้ภายหลังว่าเทศกาลนั้นมีชื่อว่า Nachi Biei Fire Festival ซึ่งจะจัดกันในวันที่
24 กรกฎาคม ของทุกปี โดยมีชายหนุ่มเดินถือคบเพลิงที่มีน้ำหนักร่วม 40 กิโลกรัมไปรอบเมืองและเกิดภาพอย่างที่ผมได้เล่าไป ที่มาที่ไปย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีที่แล้ว
เกิดการระเบิดของภูเขาไฟโทคาจิดาเคะ อาสาสมัครของเมืองจึงร่วมกันจัดกิจกรรมนี้ขึ้น
เพื่อช่วยบรรเทาความเศร้าของชาวเมืองและเป็นการขอพรให้ภูเขาไฟสงบลงอีกด้วย

นี่คือบิเอะในวันที่อากาศอุ่นกำลังดีที่ผมพอจะจำได้คร่าวๆ ถ้ามีโอกาสผมคงกลับไปนั่งรับลมอุ่นๆ จิบกาแฟสักแก้ว พร้อมมองรถเกี่ยวข้าวในแปลงหลากสี
ฟังเพลงโปรดและหลับไปในคืนที่ฟ้าเปิดมองเห็นดาว

Maps

ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR