โกรธ โกรธ โกรธ และโกรธ
ช่วงที่ผ่านมาฉันไม่สามารถ ‘ไม่โกรธ’ สิ่งที่เผชิญอยู่ในแต่ละวันได้เลย ภาวะโรคระบาดระลอกใหม่ที่รัฐจัดการไม่ได้ทั้งที่มีเวลาเตรียมพร้อมร่วมปี การพยายามปกป้องความล้มเหลวที่ว่าด้วยตรรกะพิกลพิการ วิธีเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือทำลายคนเห็นต่างอย่างน่าไม่อาย การสื่อสารของเพื่อนที่ชวนให้สงสัยว่าเราอยู่กันคนละโลกใช่ไหม
หรือแม้แต่การโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงออกซึ่งความโกรธนี้ในหน้าวอลล์ของตัวเอง หรือพยายามพิมพ์เหตุผลยาวเหยียดในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์บิดเบี้ยวของรัฐมนตรี หน่วยงาน หรือ ‘ผู้ใหญ่’ ที่การกดโกรธก็ไม่ทำให้หายขุ่นข้องใจ
ฉันรู้ ประโยครสพระธรรมอย่าง ‘โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า’ ยังติดอยู่ในหัว และรู้ว่าก็ใกล้จะบ้าเข้าจริงๆ นั่นแหละ ฉันหงุดหงิดง่าย ความอดทนต่ำ ร้องไห้โฮออกมาได้เลยหากเจอข่าวเศร้า แต่กลับไม่อาจร่าเริงยิ้มกว้างได้แม้พอจะมีข่าวดีขึ้นมา
ฉันบ่นกับครูโยคะที่นัดเจอกันผ่านหน้าจอทุกคลาสว่าปวดหัวจะระเบิดและรู้สึกแย่เหลือเกิน ท่าอาสนะที่เคยทำได้ก็เขม็งเกร็งขัดข้อง ครูโยคะบอกว่าความเครียดและความโกรธกดลงอยู่บนบ่าฉัน (ในความหมายตามนั้น ไม่ใช่เปรียบเปรย) กล้ามเนื้อที่บ่าตึงจนเจ็บปวด ส่งผลให้มันลามไปกินหัวและป่วยจนชักจะส่งผลกระทบต่อการงานที่ทำ
ยืดเหยียดก็แล้ว Social Detox ก็แล้ว บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าโกรธๆ ก็แล้ว แต่อาการก็ไม่ยักจะดีขึ้น จนกระทั่งงานการทั้งหลายที่ผัดผ่อนมาจนถึงเดดไลน์ ช่วงเวลาเส้นตายที่ชีวิตมักจะหาทางออกให้เราเอง ฉันก็พบว่า การทำงานบ้านช่วยกอบกู้สติที่ขุ่นมัวจากความโกรธ ให้กลับมาฟังก์ชั่นและทำสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วงได้
แม้มันจะดูบ้าบออยู่สักหน่อยที่จะต้องส่งงานก่อน 6 โมงเย็น แต่ 4 โมงเย็นก็ลุกจากโต๊ะไปกวาดห้อง เดี๋ยวจะมีประชุมปรับแผนงานกับลูกค้าตอนบ่ายสอง ก็ใช้เวลา 15 นาทีสุดท้ายก่อนประชุมไปกับการพับผ้า หรือง่วงจนตาจะปิดแต่ยังนอนไม่ได้จนกว่าจะส่งงานลุล่วง ฉันก็ยังใช้เวลาสั้นๆ หลังแวบไปเข้าห้องน้ำในการขัดอ่างล้างหน้าเสียหน่อย
ยิ่งขอบเขตของงานบ้านชัดเจนเท่าไหร่ ยิ่งช่วยเรียกสติได้ดีเท่านั้น คล้ายกับฉันจะรู้ได้ทันทีว่าเมื่อเช็ดคราบน้ำจากกระจกบานนี้สำเร็จแล้ว ฉันจะกลับไปทำงานที่งมอยู่นานให้เสร็จได้
ฉันเคยหาคำตอบในเชิงจิตวิทยา นักวิจัยมากมายพูดตรงกันว่า ความรกรุงรังก่อกวนคุณภาพชีวิตและสมาธิของเราแน่นอน เรามักมีเปอร์เซ็นต์หดหู่และห่อเหี่ยวใจมากกว่าหากบ้านที่เราอาศัยอยู่ระเกะระกะหรือเต็มไปด้วยงานบ้านที่ยังจัดการไม่เสร็จ
คนโดะ มาริเอะ จึงไม่ได้เป็นเมจิกเกินจริง
มอตโต้ ‘ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว’ ของยิ่งในยามที่ชีวิตเครียดเคร่งและรู้สึกยากเย็นด้วยเงื่อนไขเรื่องโรคระบาด การจัดการของรัฐ ไปจนถึงสภาพเศรษฐกิจ ทำให้เรา ‘ควบคุมอะไรไม่ได้’ การที่ได้ลงมือทำเรื่องง่ายๆ ที่ควบคุมได้ มองเห็นเป้าหมาย และทำมันสำเร็จ จะช่วยเยียวยาเราได้มากกว่าที่คิด เมื่อเราถูพื้นห้องเราจะสะอาด เมื่อเราเก็บตู้เย็นเราจะมีที่ว่างใส่อาหารมื้อใหม่ เมื่อเราซักผ้าแต่เช้าเราจะมีเสื้อผ้าหอมแดดใส่ (หากฝนไม่ใจร้ายตกหนักใส่เราซะก่อน)
งานบ้านที่เคยเกี่ยงงอนไว้ก่อน กลายเป็นเสื้อชูชีพของฉันไปเสียแล้ว
แน่นอน บางคนอาจเป็นการเล่นเกมให้ผ่านด่าน บางคนอาจเป็นการทำงานง่ายๆ อย่างการเช็กอีเมลให้หมด หรือบางคนขอแค่ได้กินอิ่มท้องก็พร้อมเดินหน้า–วิธีการเหล่านี้คือเครื่องมือที่เราต้องหาให้เจอ แล้วหยิบมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตดำดิ่ง
ไม่มีเงื่อนไขของใครเหมือนกัน ด่านที่ต้องเอาชนะของแต่ละคนก็ยาก-ง่ายแตกต่าง ฉันได้แต่หวังให้ทุกคนหาเจอและผ่านพ้นมันไปได้เท่าที่ใจยังไหว
จากฉัน ผู้กำลังขัดคราบน้ำมันออกจากเตาอบอย่างขะมักเขม้นระหว่างการเขียนต้นฉบับ ส่วนคราบโกรธฝังแน่นที่มีต่อรัฐ ฉันตั้งใจจะปล่อยไว้ เมื่อไหร่มีโอกาสใช้สิทธิในการโหวตได้ ฉันมั่นใจจำแม่นเหลือเกินว่าใครทำอะไรไว้บ้าง!