ให้กงจินเป็นพื้นที่ปลอดภัย Hometown Cha-Cha-Cha ซีรีส์เยียวยาใจคนที่เคยเจ็บปวด

Hometown Cha-Cha-Cha *บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์*

Hometown Cha-Cha-Cha เปิดเรื่องด้วยความวุ่นวายในกรุงโซล ไปพร้อมกับภาพของ ‘หมอฟันฮเยจิน’ (รับบทโดย ชิน มิน-อา) ผู้แสดงออกชัดเจนถึงเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการทั้งความมั่นคงด้านการงาน ฐานะทางสังคม ความเป็นอยู่ที่ดี และความอิสระ แต่เหตุการณ์พลิกผัน ทำหมอฟันอนาคตรุ่งตัดสินใจย้ายไปเปิดคลินิกในหมู่บ้านริมทะเลชื่อ ‘กงจิน’ ที่นั่น หมอฮเยจินได้รับความช่วยเหลือและน้ำใจจากชาวบ้าน โดยเฉพาะจากฮงดูชิก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘หัวหน้าฮง’ (รับบทโดย คิม ซอน-โฮ)

Hometown Cha-Cha-Cha

เป็นเรื่องยากหากจะต้องอธิบายว่า ‘หัวหน้าฮง’ ทำงานอะไร นั่นเพราะเขาทำทุกอย่างที่คนจ้างหรือขอความช่วยเหลือ เช่น นำประมูลที่ตลาดปลา ขายอาหารในซาวน่า เป็นบาริสต้า หรือนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์โดยคิดค่าจ้างเท่าค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็มีคติประจำใจคือ เมื่อเป็นวันหยุด ก็จะหยุดอย่างแท้จริง ไม่แตะต้องงานใดๆ และพาตัวเองออกไปโต้คลื่น ตกปลา หรือพักผ่อนเพียงลำพัง

ความสัมพันธ์ระหว่างฮเยจินกับกงจินพัฒนาไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์สีชมพูระหว่างเธอและหัวหน้าฮง ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของคนดูอย่างเรากับชาวกงจินก็แนบแน่นขึ้น อาจเป็นเพราะเราไม่ได้เห็นแค่แง่สวยงาม สว่างไสว แต่ได้เห็นพวกเขาเผชิญกับความทุกข์ใจ ความผิดพลาด การสูญเสีย และความผิดหวังในชีวิต ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีความสมบูรณ์แบบ

เรื่องราวการเติบโตของตัวละครเป็นเหมือนเรือที่ออกจากฝั่ง พัดพาตัวเองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เรียนรู้วิธีการฝ่าคลื่นในทะเลแห่งชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้หนทางเดินเรือกลับมาพักใจในผืนฝั่งอันอบอุ่น

และการออกเรือไปพร้อมกับพวกเขาก็ไม่ต่างจากการได้เห็นหนทางเยียวยาจิตใจของตัวเราเองเมื่อต้องเผชิญคลื่นลมแห่งชีวิตเช่นกัน

ไม่มีใครไม่เคยมีบาดแผล

Hometown Cha-Cha-Cha จัดอยู่ในหมวดซีรีส์โรแมนติก​คอเมดี้ ซึ่งสะท้อนออกมาได้ดีผ่านฉากเมืองกงจิน ทั้งฉากหลังที่เป็นทะเลสีครามทอดยาวขนานไปกับท้องฟ้าสดใส และฉากหน้าที่เป็นรอยยิ้มของชาวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะร่าเริงลอยอยู่ในอากาศ

ถึงอย่างนั้นความสดใสก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์เท่านั้น หากจะมองอย่างรอบด้านแล้ว ไม่มีใครในกงจินที่จะมีความสุขตลอดเวลา เราทุกคนต่างมีเรื่องเสียใจในชีวิตกันทั้งนั้นล่ะ และหลายครั้งเราพยายามวิ่งหนีออกจากความเสียใจ แต่ก็ไม่อาจจะผ่านพ้นไปได้ 

hometown cha-cha-cha

คุณยายกัมรีเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ที่รักของคนทั้งหมู่บ้าน แต่ต้องอยู่ตัวคนเดียวเพราะลูกหลานย้ายไปอยู่ที่อื่นและไม่มีเวลาให้ เจ้าของคาเฟ่อดีตนักร้องสูญเสียทั้งอาชีพและภรรยาที่รัก และต้องเลี้ยงลูกสาวตามลำพัง ครอบครัวผู้นำชุมชนตัดสินใจหย่าร้างกันด้วยความไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งคุณป้าช่างเมาท์แห่งหมู่บ้านก็เคยผ่านการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเป็นแม่

ฮงดูชิกก็เช่นกัน แม้เขาจะมีความสามารถในทำงานอย่างน่าทึ่ง ช่วยเหลือคนอื่นอย่างสุดตัวจนเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในกงจิน แต่เขาเองก็หนีไม่พ้นความทุกข์ใจจากการสูญเสียคุณปู่ที่รักยิ่ง และยังมีปริศนาเมื่อ 5 ปีก่อนที่เป็นบาดแผลฝังลึกในใจ

บาดแผลทางใจช่างแตกต่างจากบาดแผลทางกาย เราแทบสังเกตไม่เห็น แต่มันก็สร้างความเจ็บปวดได้รุนแรงไม่ต่างกัน มีคำอธิบายถึงบาดแผลทางใจ (trauma) ได้ง่ายๆ ว่าเป็นผลกระทบจากประสบการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิต มักจะเป็นเรื่องที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจและมีความยากลำบากในจัดการความรู้สึก อีกทั้งยังคงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตปัจจุบัน 

ต่อให้รอยยิ้มของหัวหน้าฮงจะตรึงใจหรือเสียงหัวเราะของคนในกงจินจะดังแค่ไหน แต่รอยยิ้มทั้งหมดก็ไม่สามารถการันตีว่าเขาเหล่านั้นจะไม่มีรอยแผล การเห็นเรื่องราวตัวละครแบบนี้ทำให้เราไม่มองข้ามบาดแผลที่มองไม่เห็นของคนรอบข้าง แม้ในคนที่สดใสที่สุดก็ตาม

Hometown Cha-Cha-Cha
Hometown Cha-Cha-Cha

ปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดด้วยการแกล้งไม่สัมผัสแผล

หัวหน้าฮงเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เสียตั้งแต่เขายังเด็ก มีเพียงคุณปู่คอยดูแล จนกระทั่งมัธยมต้นคุณปู่ก็จากไปด้วยอาการหัวใจวายตอนที่หัวหน้าฮงไม่อยู่บ้าน ความคิดที่ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุความตายของคนที่รักจึงก่อตัวขึ้น และยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อรุ่นพี่ที่เป็นเหมือนครอบครัวจากไปพร้อมคำด่าทอของคนรอบตัวที่โทษว่าเขาคือต้นเหตุ

ความรู้สึกผิดตามติดฮงดูชิกไม่ต่างจากเงา แม้แต่ในความฝัน เขายังเห็นตัวเองอีกคนโผล่มาถามว่า “มีความสุขเหรอ แกสมควรมีความสุขหรอ” สะท้อนความเจ็บปวด ตอกย้ำความรู้สึกผิดและการโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

และทั้งที่หัวหน้าฮงเป็นคนชอบสัตว์ทุกประเภท แต่ตอนที่โบราและอีจุน เด็กประถมในหมู่บ้านขอให้ช่วยเลี้ยงเม่นของพวกเขา หัวหน้าฮงกลับปฏิเสธด้วยความกลัวว่าหากเกิดการสูญเสียอีกครั้งเขาคงจะรับมันไม่ไหว

วิธีที่หัวหน้าฮงใช้รับมือตลอดเวลาที่ผ่านมาคือการทำทุกอย่างไม่ว่างเว้น เว้นไว้อย่างเดียวคือการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง อีกทั้งยังเก็บการโทษตัวเองไว้เป็นเครื่องเตือนใจ นับเป็นกลไกทางจิตใจ (defense mechanism) ที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันความเจ็บปวดเท่าที่ทำได้

การจัดการบาดแผลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เรามักต้องเจอกับความท้าทายในการรับมือ และด่านที่ใหญ่ที่สุดคือการยอมรับและเผชิญหน้ากับบาดแผลนั้น ดังตอนที่หมอกับหัวหน้าฮงคุยกันเรื่องคุณปู่ ประโยคท่อนหนึ่งของหมอฮเยจินที่ว่า “การสมมติแบบนั้นไม่มีประโยชน์หรอก โลกนี้มีตัวแปรตั้งมากมายและนั่นเกินขอบเขตที่เราจะควบคุมได้ เพราะงั้นไม่ใช่ความผิดของหัวหน้าฮงหรอก” แม้จะเสียดแทงความรู้สึกของหัวหน้าฮงไปเต็มๆ แต่นั่นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มันคือก้าวแรกของหนทางสู่การก้าวผ่าน

บาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาลุกลามไปยังส่วนอื่นได้

บาดแผลของหัวหน้าฮงยากจะเยียวยา นำมาสู่การไม่เปิดใจกับหมอฟันฮเยจินแม้จะตกลงคบหากันอย่างเป็นทางการ ฮเยจินจึงขอเวลาและระยะห่างระหว่างกัน เพราะเมื่อคนหนึ่งไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องในอดีต อีกคนก็รู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ 

หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องเร็วเกินไปที่คนเพิ่งคบกันจะต้องการการเปิดใจแบบเต็มร้อย แต่โดยธรรมชาติ เมื่อเราเริ่มสร้างความสัมพันธ์ เราต่างล้วนคาดหวังความไว้วางใจและความรู้สึกปลอดภัยมั่นคง (sense of security) หากอีกฝ่ายไม่สามารถสื่อสารสิ่งนั้นได้หรือสื่อสารได้ไม่ตรงกับความคาดหวังของเรา ความกลัวจึงเริ่มก่อกินใจ จาก ‘แผลของฉัน’ ก็กลายเป็น ‘แผลของเรา’ หัวหน้าฮงเองก็รับรู้ถึงความซับซ้อนของใจตัวเองแต่พูดออกมาได้แค่เพียงคำว่า “ขอโทษ”

“บางเรื่องที่พูดง่ายสำหรับใครบางคน แต่กับใครบางคนมันอาจจะพูดออกมาได้ยาก ฮงดูชิกมีความเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่เรียนรู้วิธีอดกลั้น เลยไม่รู้วิธีระบายมันออกมา แถมยังไม่มีคนที่คอยรับฟังความเหน็ดเหนื่อยของเขามานานแล้ว” 

คำพูดนี้ของผู้นำชุมชน ยอฮวาจอง ช่วยอธิบายให้ทั้งหมอฟันและคนดูอย่างเราเข้าใจได้ชัดเจนว่าแม้จะเป็นความรู้สึกของเราแท้ๆ มันก็ไม่ง่ายที่จะถ่ายทอด หากเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะบอกเล่ามันออกมาและสิ่งที่สำคัญในความสัมพันธ์ก็คือการสร้าง ‘พื้นที่ของความไว้วางใจ’ เพื่อให้เราสามารถสื่อสารและเรียนรู้กันด้วยความรู้สึกปลอดภัย

ถึงฉากนี้เราก็แอบใจชื้นขึ้นมาว่า หมอฟันเองคงพร้อมจะเป็นพื้นที่นั้นให้หัวหน้าฮงแล้วล่ะ

เสี้ยวเวลาของการทำแผลคือเสี้ยวเวลาที่เจ็บปวดที่สุด

“ถ้าหัวหน้าฮงให้ความมั่นใจกับฉันว่า สักวันจะเปิดใจให้กัน ฉันว่าฉันก็รอได้นะ สิ่งที่ฉันต้องการคือโอกาส ว่าวันพรุ่งนี้ของหัวหน้าฮงจะมีฉันอยู่บ้าง และเราจะได้เดินร่วมทางกัน” 

เมื่อตัวละครแต่ละตัวเรียนรู้แล้วว่าการเอาตัวเองหลบอยู่ภายใต้แผลเก่านั้นเจ็บปวดไม่ต่างกับบาดแผลที่ยังสดใหม่ เราจึงเริ่มเห็นการเผชิญหน้าและนำไปสู่การจัดการปัญหาของตัวละคร เช่น หมอฟันฮเยจินที่เลือกจัดการกับความรู้สึกไม่มั่นคงด้วยการซื่อตรงกับความรู้สึกและพร้อมให้เวลากับคนที่รัก

การเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นไม่ง่ายนัก เรามักจะต้องต่อสู้กับความคิดที่เป็นแรงเสียดทานข้างใน จังหวะนี้เราคงเจ็บปวดมากกว่าครั้งไหน หลายคนจึงใช้เวลาทำใจก่อนทำแผลอยู่นานหรือบางคนก็เลือกที่จะปล่อยทิ้งไว้ โดยที่ลืมไปว่าเมื่อไหร่ที่แผลถูกรักษาแล้วแผลนั้นก็จะไม่เจ็บอีกต่อไป

Hometown Cha-Cha-Cha

วันหนึ่งแผลนั้นจะกลายเป็นแค่แผลเป็น

บางครั้งบาดแผลก็ไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนจากแผลเรื้อรังที่เจ็บปวดเป็นร่องรอยแผลเป็นบนผิวหนังเท่านั้น เราต่างคนคงไม่สามารถลบอดีตของตัวเองได้ สิ่งที่ทำได้คือ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วพาตัวเองก้าวเดินต่อ

เราชอบคำพูดของคุณยายกัมรีที่คุยกับหัวหน้าฮงว่า “ที่ผ่านมาแกเหนื่อยมามาก…จากนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเถอะนะ” ซึ่งเต็มไปด้วยความเข้าใจของคนที่เห็นหัวหน้าฮงมาตั้งแต่เด็กและรับรู้ความเจ็บปวดนั้น

การที่จะก้าวผ่านความเจ็บปวดไปได้ไม่ใช่การปฏิเสธความจริงหรือมัวแต่กล่าวโทษตัวเอง หากต้องเริ่มจากการเมตตากรุณาต่อตนเอง (self-compassion) หรือการดูแลความรู้สึกของตัวเองนี่ล่ะ พาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มองในมุมที่กว้างขึ้น ตัวเราก็จะค่อยๆ แข็งแรง และแน่นอนความสัมพันธ์รอบตัวเราก็แข็งแรงและมั่นคงไปด้วย

อีกสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแผลสดเป็นแผลเป็นอาจคล้ายๆ คำพูดของผู้นำชุมชนที่บอกหมอฟันฮเยจินว่า “ฉันว่าคุณหมอน่าจะเป็นต้นไม้พักใจให้ดูชิกได้นะ” และหมอเองก็ตัดสินใจทำเช่นนั้น ถึงแม้จะคาดหวังแต่ก็ให้พื้นที่กับคนที่รัก พร้อมรับฟังและไม่รีบเร่งตัดสิน ไม่ต่างจากชาวบ้านกงจินเมื่อ 5 ปีก่อนที่เลือกไม่ถามว่าทำไมหัวหน้าฮงถึงกลับโซลด้วยท่าทีเลื่อนลอย และดูแลเขาอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาสบายใจและใช้ชีวิตต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการมีแรงสนับสนุนรอบตัวที่ดี (supportive system) จะช่วยให้ก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ไปได้ไม่มากก็น้อย

ช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีฟ้าใส แสงเปลี่ยนทิศตกกระทบเกิดเฉดสีใหม่ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกลับขอบฟ้า แต่อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงแสงอ่อนยามเช้าก็ฉายขึ้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่ การเติบโตของชีวิตก็ไม่ต่างกัน มีวันที่ทุกข์ใจ และมีวันที่สดใส และทุกชีวิตก็จะดำเนินต่อไป

และเช่นนี้ ‘กงจิน’ จึงไม่ใช่แค่หมู่บ้านชาวทะเลแต่เป็นบ้านที่ปลอดภัยของคนที่เคยเจ็บปวด

Hometown Cha-Cha-Cha

เปิดเรื่องด้วยความวุ่นวายในกรุงโซล ไปพร้อมกับภาพของ ‘หมอฟันฮเยจิน’ (รับบทโดยชินมินอา) ผู้แสดงออกชัดเจนถึงเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการทั้งความมั่นคงด้านการงาน ฐานะทางสังคม ความเป็นอยู่ที่ดี และความอิสระ แต่เหตุการณ์พลิกผัน ทำหมอฟันอนาคตรุ่งตัดสินใจย้ายไปเปิดคลินิกในหมู่บ้านริมทะเลชื่อ ‘กงจิน’ ที่นั่น หมอฮเยจินได้รับความช่วยเหลือและน้ำใจจากชาวบ้าน โดยเฉพาะจากฮงดูชิก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘หัวหน้าฮง’ (รับบทโดยคิมซอนโฮ)
เป็นเรื่องยากหากจะต้องอธิบายว่า ‘หัวหน้าฮง’ ทำงานอะไร นั่นเพราะเขาทำทุกอย่างที่คนจ้างหรือขอความช่วยเหลือ เช่น นำประมูลที่ตลาดปลา ขายอาหารในซาวน่า เป็นบาริสต้า หรือนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์โดยคิดค่าจ้างเท่าค่าแรงขั้นต่ำรายชั่วโมงเท่านั้น ถึงอย่างนั้น เขาก็มีคติประจำใจคือ เมื่อเป็นวันหยุด ก็จะหยุดอย่างแท้จริง ไม่แตะต้องงานใดใด และพาตัวเองออกไปโต้คลื่น ตกปลา หรือพักผ่อนเพียงลำพัง
ความสัมพันธ์ระหว่างฮเยจินกับกงจินพัฒนาไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์สีชมพูระหว่างเธอและหัวหน้าฮง ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของคนดูอย่างเรากับชาวกงจินก็แนบแน่นขึ้น อาจเป็นเพราะเราไม่ได้เห็นแค่แง่สวยงาม สว่างไสว แต่ได้เห็นพวกเขาเผชิญกับความทุกข์ใจ ความผิดพลาด การสูญเสีย และความผิดหวังในชีวิต ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีความสมบูรณ์แบบ
เรื่องราวการเติบโตของตัวละครเป็นเหมือนเรือที่ออกจากฝั่ง พัดพาตัวเองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เรียนรู้วิธีการฝ่าคลื่นในทะเลแห่งชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้หนทางเดินเรือกลับมาพักใจในผืนฝั่งอันอบอุ่น และการออกเรือไปพร้อมกับพวกเขาก็ไม่ต่างจากการได้เห็นหนทางเยียวยาจิตใจของตัวเราเองเมื่อต้องเผชิญคลื่นลมแห่งชีวิตเช่นกัน
อีกสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแผลสดเป็นแผลเป็นอาจคล้ายๆ คำพูดของผู้นำชุมชนที่บอกหมอฟันฮเยจินว่า “ฉันว่าคุณหมอน่าจะเป็นต้นไม้พักใจให้ดูชิกได้นะ” และหมอเองก็ตัดสินใจทำเช่นนั้น ถึงแม้จะคาดหวังแต่ก็ให้พื้นที่กับคนที่รัก พร้อมรับฟังและไม่รีบเร่งตัดสิน
ไม่ต่างจากชาวบ้านกงจินเมื่อ 5 ปีก่อนที่เลือกไม่ถามว่าทำไมหัวหน้าฮงถึงกลับโซลด้วยท่าทีเลื่อนลอย และดูแลเขาอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาสบายใจและใช้ชีวิตต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการมีแรงสนับสนุนรอบตัวที่ดี (Supportive System) จะช่วยให้ก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ไปได้ไม่มากก็น้อย
ช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีฟ้าใส แสงเปลี่ยนทิศตกกระทบเกิดเฉดสีใหม่ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกลับขอบฟ้า แต่อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงแสงอ่อนยามเช้าก็ฉายขึ้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่ การเติบโตของชีวิตก็ไม่ต่างกัน มีวันที่ทุกข์ใจ และมีวันที่สดใส และทุกชีวิตก็จะดำเนินต่อไป และเช่นนี้ ‘กงจิน’ จึงไม่ใช่แค่หมู่บ้านชาวทะเลแต่เป็นบ้านที่ปลอดภัยของคนที่เคยเจ็บปวด

AUTHOR