หากเราอยู่ในกรุงเทพฯ การดูหนังนอกกระแสหรือที่เรียกติดปากกันว่าหนังอินดี้ เราคงนึกถึง House RCA, Scala, Bangkok Screening Room (BKKSR) หรือที่ Warehouse30
ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับยุคแรกเริ่มที่หนังนอกกระแสเข้าสู่เมืองไทยก็นับว่ามีจำนวนมากขึ้น กลับกันถ้าเราต้องการดูหนังอินดี้ที่ต่างจังหวัด เราอาจนึกไม่ออกว่าต้องไปที่ไหน หรือไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจังหวัดเหล่านั้นมีโรงหนังนอกกระแสไหม
ด้วยเหตุนี้เองที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ โจ้–ชลัท ศิริวาณิชย์ กลับมาบ้านที่โคราชและทำห้องฉายหนังนอกกระแส Homeflick
โจ้อยู่กรุงเทพฯ มานับสิบปี หลังจากที่เขาเรียนจบก็เริ่มทำงานในค่ายเพลง เขาตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านที่โคราชเป็นฟรีแลนซ์ตัดต่อโฆษณา หนัง และซีรีส์ แล้วสานต่อความฝันทำโปรเจกต์ห้องฉายหนัง Homeflick ซึ่งเริ่มฉายมาตั้งแต่ปี 2556
“โปรเจกต์ฉายหนังเป็นสิ่งที่เราอยากทำตั้งแต่เด็ก ราวๆ ม.ต้น มีภาพฝันไว้ว่าอยากจะมีคอมมิวนิตี้ไว้รวมคนที่น่าจะดูหนังที่ต่างจากหนังโรงใหญ่มารวมตัวกันแล้วดูด้วยกัน เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาข้อเดียวของที่โคราชคือมันไม่เคยมีชมรมที่จะรวมทุกคนไว้ แล้วเราก็ไปหาเขาไม่เจอด้วยว่าคนเหล่านั้นอยู่ไหนในเมือง เป็นความอัดอั้นของเรามาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้”
โจ้เริ่มบทสนทนาขึ้นด้วยท่าทีที่สบายอกสบายใจราวกับว่าห้องฉายหนังแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่บรรจุความฝันในการฉายหนังนอกกระแส หล่อหลอมผู้คนซึ่งชื่นชอบสิ่งเหมือนกัน และเป็นเสมือนคอมฟอร์ตโซน
“การฉายหนังนอกกระแสที่กรุงเทพฯ กับโคราชยังต่างกันมาก อย่างกรุงเทพฯ ที่ไหนก็มีฉายหนังนอกกระแส แต่โคราช ตอนที่เรากลับมาทำ มันตั้งไข่มากๆ ด้วยซ้ำ
“คอนเซปต์แรกของ Homeflick คือแรกเริ่มเราตั้งใจฉายหนังนอกกระแสไทยเท่านั้น ไม่ได้พยายามจะฉายหนังฝั่งอเมริกาหรือญี่ปุ่น เพราะเราหวังว่าวันหนึ่งจะมีคนกลุ่มใหม่มาฉายหนังด้วยกันกับเรา กลายเป็นว่า 4-5 ปีหลังจากนั้นก็ยังไม่มีที่อื่นเกิดขึ้นมาใหม่มาจัดฉายหนังกับเรา สุดท้ายแล้วเราจะมาจำกัดแค่หนังไทยนอกกระแสไม่ได้ นานๆ ทีมันต้องฉายเรื่องอื่นที่เขาเรียกร้องอยากดูจริงๆ ด้วย”
โจ้เริ่มต้นฉายหนังครั้งแรกเรื่อง ตั้งวง (กำกับโดยคงเดช จาตุรันต์รัศมี) ปี 2556 ที่โรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่จำนวน 160 ที่นั่ง เขามีหน้าที่ตั้งแต่การเจรจาซื้อหนังมาฉาย การโปรโมต ออกแบบโปสเตอร์ ประสานกับโรงภาพยนตร์ ขายตั๋วไปจนถึงการเปิดประตูโรงต้อนรับผู้ชม แต่ปรากฏว่าการฉายครั้งแรกกลับโล่ง มีคนตีตั๋วไม่ถึงครึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้น เขาฉายเรื่อง MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY จัดฉายทั้งหมดสองรอบ วันเสาร์-วันอาทิตย์ ด้วยความที่เขามั่นใจว่าหนังอยู่ในกระแสฟีเวอร์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ คนเต็มโรงเกือบทั้งหมด การฉายหนังครั้งที่สามจึงดำเนินต่อ
“พอเราฉายเรื่องที่สามปุ๊บ ก็เป็น 36 ต่อเนื่องจาก MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY เราฉายที่ร้านเฟื่องนครแทน ซึ่งคนก็เต็มเหมือนกันเพราะตอนนั้นฉายฟรีด้วย ด้วยความที่เราอยากให้ทุกคนได้ดูหนัง แฮปปี้มาก ใจมันก็มโนไปแล้วว่าต่อไปนี้เราฉายหนังในคาเฟ่มันจะต้องประสบความสำเร็จมากแน่ๆ พอมาเรื่องที่สี่ ฉายเรื่อง สยิว หนังเรื่องแรกสุดของพี่คงเดช มีคนมาไม่ถึง 10 คน รวมพนักงานในร้านด้วยนะ เลยได้เห็นตั้งแต่การฉายรอบที่คนเต็มโรง รอบคนบางตา จนมารอบที่แทบจะไม่มีคนดูเลย มันก็ได้เห็นสัจธรรมว่าถึงจุดหนึ่งเราต้องทำใจนะ เราจะบังคับให้คนมาอินกับหนังที่เราฉายทุกครั้งไม่ได้ มันมีปัจจัยนอกเหนือจากนั้น อย่างเศรษฐกิจไม่ดีหรืออากาศร้อนก็ไม่มีใครอยากออกจากบ้านแล้ว”
หลังจากที่โจ้ฉายหนังที่เฟื่องนครอย่างต่อเนื่อง ในปี 2561 ร้านปิดตัวลง ด้วยความที่ผูกพันกับร้าน ระยะที่ตั้งไม่ใกล้จากบ้าน สามารถฝากขายตั๋วได้ เขาตัดสินใจลุยการฉายหนังที่บ้านตัวเอง โดยรีโนเวตห้องด้านล่างของบ้านขนาด 20-25 คน ให้กลายเป็นห้องฉายหนังมีผนังขาว พื้นหินอ่อน เสื่อ เบาะรองนั่ง และแอร์ 1 ตัว
“พอเราได้ลองฉายหนังจริงคนที่มาดูก็ค่อนข้างแฮปปี้ คือเราก็บอกล่วงหน้าว่าเอาขนมมากินเล็กน้อยได้นะ เอาผ้าห่มเอาอะไรมาเองได้ แล้วก็สมมติว่ามีรอบหนึ่ง คุณมาสองคน พอถึงเวลาฉายทั้งโรงมีสองคน คุณก็นอนแผ่ไปเลยไม่ว่ากัน นอนดูให้เป็นเหมือนบ้านตัวเองไปเลย เราอยากให้ Homeflick เป็นสถานที่ต่างจากโรงหนังทั่วไปมากๆ คือโรงหนังค่อนข้างจะมีพิธีการต่างๆ แต่มาที่นี่อยากให้รู้สึกว่ามาบ้านเพื่อนมากกว่า”