มุมมองต่างสีของบิ๊ง-ภาพฟ้า พุทธรักษา นักวาดที่หันมาจับกล้องทำบล็อกท่องเที่ยว

Highlights

  • บิ๊งเป็นนักวาดภาพประกอบและบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวที่มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 5 แสนคน
  • กว่าที่บิ๊งจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาฝึกวาดรูปเองตั้งแต่ชั้น ม.4 ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อแม่ คือหนึ่งในบททดสอบใหญ่ที่เธอต้องเผชิญ
  • บิ๊งเป็นคนที่หลงใหลในการแต่งสีภาพ จนวันนึงได้มาเจอกับ Glazziq Filter Lens ที่เป็นแว่นกันแดดเอฟเฟ็คพิเศษ ช่วยให้เธอมองโลกในสีสันที่ชอบได้ตั้งแต่ก่อนกดชัตเตอร์

“อยากให้คนมองเราเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ทำงานศิลปะ ไม่ใช่เน็ตไอดอล” หญิงสาววัย 23 ปีบอกกับเราอย่างตรงไปตรงมา

บิ๊ง–ภาพฟ้า พุทธรักษา ผู้หญิงตาเฉี่ยว แต่งตัวเป๊ะ แถมยังเป็นเจ้าของแอคเคานต์อินสตาแกรมที่มีผู้ติดตามมากกว่า 5 แสนชีวิต หากมองกันแต่เพียงภายนอก หลายคนอาจจะเผลอมองเธอผ่านฟิลเตอร์เน็ตไอดอลสาวมั่น ดุ และเข้าถึงยาก โดยไม่ทันจะได้เห็นถึงความสามารถทางศิลปะของผู้หญิงคนนี้

วาดภาพประกอบ สตรีทอาร์ต ออกแบบของเล่น และถ่ายภาพ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของผลงานศิลปะหลากแขนงที่บิ๊งเลือกใช้แสดงออกถึงตัวตนของเธอจนสะดุดตาผู้มาเห็น ทำให้เธอได้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับแบรนด์ต่างๆ และมีแบรนด์กล้องชื่อดังเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนการเดินทางของเธอแลกกับผลงานภาพถ่าย

แต่การที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วย

เพราะเบื้องหลังสายตาเฉี่ยวคมของบิ๊งยังมีเรื่องราวอีกหลายมุมที่ใครต่อใครอาจไม่เคยรู้ เราจึงอยากชวนให้ทุกคนถอดฟิลเตอร์ใดๆ ก็ตามที่กำลังใส่มองหญิงสาวออกก่อน แล้วลองมาทำความรู้จักเธอด้วยตาเปล่าอย่างที่ควรเป็นกันดูสักที


1. คงมีผู้ปกครองไม่กี่คนที่จะรับได้ ถ้าลูกจะขอลาออกจากโรงเรียนมาทำงานศิลปะ บิ๊งแน่ใจว่าแม่ของเธอเองก็เป็นเหมือนผู้ปกครองส่วนใหญ่ เมื่อธุรกิจที่บ้านมีปัญหาจนทำให้เกิดความขัดสนและมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และเด็กสาวตัดสินใจจะลาออกจากโรงเรียนมัธยมปลายแล้วมาทำงานศิลปะอย่างที่ชอบ เธอจึงปลอมลายเซ็นแม่และทำเรื่องลาออกด้วยตัวเอง ก่อนจะอุบเงียบไว้กับตัวเองถึง 6 เดือนก่อนที่จะโดนจับได้

“ช่วงที่ลาออกมา บิ๊งยังใส่ชุดนักเรียนออกจากบ้านทุกวัน แม่ก็คิดว่ายังไปโรงเรียน แต่จริงๆ ไปเสือป่า ไปซื้อสี ไปเดินเล่นปากคลองตลาด ไป TCDC พกสมุดสเกตช์เข้าไปนั่งดูหนังสือ สเกตช์งาน ฝึกวาดรูป พอแม่จับได้ก็คุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอยากให้เรากลับไปเรียน ถามว่าเรากลับไปตอนนี้ทันไหม โรงเรียนจะให้เรียนไหม เลยทำข้อตกลงว่า เราขอเลือกทางเดินเอง แต่จะไม่รบกวนค่าใช้จ่ายจากเขา ดูแลตัวเองให้ได้ ถ้าวันหนึ่งเรากลับไปขอความช่วยเหลือ เราจะยอมไปในเส้นทางที่เขาอยากให้ไป” บิ๊งเล่าถึงช่วงเวลาพลิกผันในชีวิต

แม้พ่อแม่ของเธอจะจบจากสายศิลปะกันทั้งคู่ แต่ก็คิดว่าลูกสาวของตนเองไม่เหมาะจะทำงานศิลปะเป็นอาชีพ และคิดว่าคงจะดีกว่าหากเธอเรียนแพทย์หรือบัญชี แต่ตัวลูกสาวกลับคิดต่างกัน

ถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก และหมั่นทำไปเรื่อยๆ สักวันเธอจะทำได้ดี

2. ในช่วงแรกของการออกมารับผิดชอบชีวิตตัวเอง บิ๊งใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเทียบให้ได้วุฒิการศึกษาระดับ ม.ปลาย จากนั้นจึงค่อยๆ ฝึกวาดรูปด้วยตัวเอง และเทคคอร์สเรียนสั้นๆ ในสิ่งที่สนใจ ทั้งการวาดรูป การทำเสื้อผ้า กระเป๋า รวมทั้งหาเลี้ยงตัวเองด้วยการรับวาดเคสมือถือในอินสตาแกรม และย้ายจากบ้านเกิดที่นนทบุรีออกมาอยู่คอนโดย่านสาธรเพื่อให้สะดวกแก่การเดินทาง

“ตอนจะออกมาก็เริ่มคิดว่าจะทำอะไรดี เลยนึกถึงเคสมือถือเพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้ เราเริ่มจากการหาปากกาหรือสีเพอร์มาเนนต์มาวาดให้เพื่อนในห้องใช้ฟรีก่อน แล้วให้เขาฟีดแบ็กว่าสีมันลอกง่ายไปไหม พอคงที่ก็เริ่มลงขายในอินสตาแกรม”

นับเป็นจังหวะเวลาที่ดี เพราะในตอนนั้นอินสตาแกรมเพิ่งเริ่มเป็นที่นิยม บิ๊งจึงมีคู่แข่งไม่มากและยอดขายก็ทำให้เธอดูแลตัวเองได้ แต่เมื่อมีคู่แข่งเยอะและเริ่มชะลอตัว หญิงสาวก็เริ่มแตกไลน์ไปทำกระเป๋า ผ้าพันคอ จนในที่สุดก็มีแบรนด์มาชวนไปทำงานร่วมกัน

แม้จะเป็นช่วงที่เธอเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่ก็เป็นช่วงที่ยากลำบากอยู่ไม่น้อย

“ตอนขายของเราได้เงินทันที แต่พอทำงานกับแบรนด์ที่เป็นระบบวางบิล กว่าจะได้เงินก็หลังจากเสร็จงาน 30-60 วัน ทำให้เราต้องเอาเงินเก็บออกมาจ่ายค่าเช่าคอนโด อยากกินข้าวที่ห้างก็ไม่มีเงิน ต้องทุบกระปุกใส่เหรียญมาซื้อข้าวหลังคอนโดกิน ตอนนั้นก็รู้สึกว่านี่ล่ะคือชีวิตจริง แต่ก่อนเงินหมดขอพ่อแม่ได้ ตอนนี้หมดก็คือหมดจริงๆ”

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่ความรับผิดชอบที่เธอต้องแบกรับยังส่งผลกับสภาพจิตใจเช่นกัน ในเวลากลางคืน เธอออกไปทำงานตามร้านกาแฟที่เปิด 24 ชั่วโมง แล้วรอให้สว่าง มีเสียงคนและรถอยู่ภายนอก จึงจะหลับลง จนตัดสินใจไปพบแพทย์ที่แม้จะไม่ได้วินิจฉัยฟันธงว่าเธอเป็นโรคซึมเศร้า แต่ก็มีอาการซึมเศร้า

“สิ่งที่ช่วยเราไว้คือการเลี้ยงแมวและการวาดรูป”

รอยยิ้มของหญิงสาวบอกกับเราว่า ตอนนี้เธอก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาเรียบร้อยแล้ว

3. แม้ในช่วงแรกผลงานของเธอจะเน้นไปที่การวาดรูป ใช้ดินสอ ปากกา สีแต่งเติมให้เกิดเป็นภาพ แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บิ๊งเริ่มเข้าสู่เส้นทางสายใหม่ที่มีกล้องถ่ายภาพเป็นอุปกรณ์คู่ใจ

“การถ่ายภาพเป็นสิ่งที่เราสนใจเพิ่มเข้ามา แต่ในช่วงแรกจะเป็นลักษณะถ่ายเล่น ใช้กล้องฟิล์มของคุณพ่อกับกล้องไอโฟน ช่วงแรกๆ ก็พยายามถ่ายให้ได้วันละม้วน เดินถ่ายรอบคอนโด ขึ้นสะพานลอย ถ่ายที่ที่เราไปซื้อของมาทำขาย เช่น ช่างเย็บกระเป๋า แต่เริ่มมาถ่ายจริงจังเพราะมีช่วงที่ตันจากการวาดรูป ไม่รู้จะวาดอะไร ไม่รู้ทำยังไงให้วาดดีขึ้น ฟังคำวิจารณ์คนอื่นเยอะไปจนเครียด เลยให้เวลาตัวเองหนึ่งปี ออกเดินทาง ถ่ายรูป เริ่มจากเชียงใหม่ ไปอยู่เป็นเดือนๆ พาแมวไปด้วย”

และบิ๊งถ่ายรูปอย่างจริงจัง ในที่สุดภาพถ่ายของเธอก็ไปสะดุดตาแบรนด์กล้อง ทำให้เธอเริ่มมีสปอนเซอร์ และได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เริ่มจากเลห์ ลาดัก, เมืองอื่นๆ ในอินเดียที่เธอติดใจเทียวไปเทียวมาถึง 3 ทริปด้วยกัน และตามมาด้วยไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และล่าสุดคือแอฟริกา

หญิงสาวเล่าว่า เธอเลือกถ่ายภาพจากสีสันที่ถูกใจ เพราะตั้งแต่ทำงานวาดภาพ เธอก็จะให้ความสำคัญกับสีเป็นอันดับหนึ่ง และแม้จะถ่ายมันไปหมดตั้งแต่วิวทิวทัศน์ยันผู้คน แต่เธอชื่นชอบการถ่ายภาพคนเป็นพิเศษ เพราะเธอรักการแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้คนที่เธอไปถ่ายรูป


“อย่างตอนไปอินเดีย เราไปสถานที่ปั้นเทวรูปและได้คุยกับคนทำงานศิลปะที่นั่น เราถามเขาว่าเทวรูปใช้ในงานอะไร เขาก็ตอบ แล้วอธิบายเพิ่มว่าที่ใส่ฟางก่อนจะช่วยยึดดิน ยึดแขนขา สนุกดี พอเราได้รู้จักกับคนในแต่ละที่ที่เขาทำอยู่ เวลาขอเขาถ่ายรูป สีหน้าหรือแววตาเขาก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น”
บิ๊งเล่า

นอกจากเธอจะสนุกกับการถ่ายรูปแล้ว ประสบการณ์การเดินทางก็ยังทำให้เธอกลับมาอยากวาดรูปอีกครั้ง และเหล่าผู้คนที่พบเจอก็สอนให้เธอรู้จักการทำงานศิลปะโดยไม่จำเป็นต้องเก็บเอาคำวิจารณ์บนโลกออนไลน์มาใส่ใจจนเป็นทุกข์อย่างแต่ก่อนอีกด้วย

4. ทุกครั้งที่ท่องเที่ยวและกดชัตเตอร์ บิ๊งจะนึกข้ามไปถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่เธอต้องการ

ตั้งแต่การวางคอมโพสิชั่น หากครั้งไหนที่เธอตั้งใจจะนำภาพที่ถ่ายไปวาดรูปต่อ เธอก็จะเว้นพื้นที่สำหรับวาดไว้โดยเฉพาะ รวมทั้งการปรับแต่งสีสันของภาพ ซึ่งปกติหญิงสาวจะมีความโปรดปรานในการดึงฟ้าให้มีสีอมเขียว และดึงเหลืองเพิ่มขึ้นให้ภาพมีความอุ่นขึ้น ซึ่งเดิมทีเธอก็จะนึกภาพไว้ในใจ แล้วลองปรับแต่งออกมาตามภาพที่นึก

ล่าสุดศิลปินสาวก็พบกับแว่นตาคู่ใจตัวใหม่ นั่นคือแว่นตาฟิลเตอร์เลนส์จาก Glazziq (กลาสสสิค) ที่ช่วยให้มุมมองของเธอสวยงามขึ้นขณะสวมใส่ สร้างแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ จนกลายเป็น accessory ที่เธอจะต้องพกไปมาทุกๆ ที่

“พอได้ลองใส่ฟิลเตอร์เลนส์รุ่น Forest ก็ตกใจมาก เพราะบิ๊งสามารถเห็นภาพเหมือนแต่งรูปเสร็จผ่านทางแว่นนี้ได้เลย สีมันเป็นแบบที่เราแต่งภาพเป๊ะๆ เลยทำให้เรารู้สึกดีและโอเคกับมัน จากนั้นก็ใส่มาตลอด” หญิงสาวเสริมว่า นอกจากนี้เธอยังตกหลุมรักดีไซน์ของกรอบที่มีความเรียบง่าย มินิมอล สีสวย ทำให้เธอสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้โดยไม่รู้สึกเขิน รวมถึงคุณภาพของกรอบและเลนส์ก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง

ด้วยความที่เป็นคนตาไม่สู้แสง หลายครั้งหญิงสาวจึงใส่แว่นกันแดดอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลายครั้งเธอก็พบกับปัญหาว่าแว่นนั้นมีสีเข้ม ทึบเกินไปจนทำให้เธอต้องถอดออกขณะถ่ายภาพ แต่กับแว่นตาฟิลเตอร์เลนส์นั้นเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา เธอสามารถใส่มันถ่ายภาพได้สบายๆ

“ตอนไปแอฟริกากับแบรนด์กล้อง บิ๊งได้ลองใส่ฟิลเตอร์เลนส์รุ่น Summer เป็นครั้งแรก ซึ่งสีแอฟริกาจะมีความอุ่นอยู่แล้ว แต่พอใส่แล้วก็จะทำให้มันอุ่นขึ้นไปอีก เลยใส่นั่งรถถ่ายรูปตลอดทาง ก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันมืดลง มันช่วยถนอมสายตาให้เราแต่ไม่กระทบกับสิ่งที่ถ่ายออกมา แล้วเราก็เอามาทาบหน้ากล้องมือถือ ใช้เป็นฟิลเตอร์ได้ด้วย เวลาต้องถ่ายอะไรที่แสงจ้ามากๆ ถ้าทาบตัว Forest ก็จะออกมาสวยขึ้น เหมือนเป็น ND filter เลย” บิ๊งเล่าด้วยสายตาของเด็กซนที่สรรหาวิธีการใหม่ๆ มาทดลองในการถ่ายภาพ


5. เป้าหมายระยะสั้นที่บิ๊งตั้งไว้ในวันแรก คือการขายของเพื่อให้อยู่ได้

ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือ อยากให้งานศิลปะของเธอเป็นที่ยอมรับ และมีความสุขกับการทำงานที่เธอรัก

ในวันนี้ เธอมาไกลเกินกว่าเป้าหมายระยะสั้นที่วางเอาไว้ เพราะบิ๊งดูแลตัวเองได้สบายๆ ไม่ต้องทุบกระปุกอีกต่อไป แต่กับเป้าหมายระยะยาว เธอทำได้สำเร็จหรือยัง คำตอบที่ได้นั้นมาพร้อมรอยยิ้ม

“ตอนนี้บิ๊งรู้สึกมีความสุขกับทุกอย่างที่ทำเลยค่ะ อย่างที่บ้านก็โอเคแล้ว ในช่วงสองสามปีแรกเขาก็จะคอยถามบ่อยๆ ว่าเราแน่ใจแล้วใช่ไหมกับทางที่เราเลือก มาตอนนี้พ่อแม่ก็มีความสุขและยินดีกับบิ๊งมาก ทุกวันนี้เวลาไปออกงานกับแบรนด์ต่างๆ เขาก็ชอบแซวว่า “‘ไม่น่าเชื่อเลย เด็กแสบวันนั้น พ่อแม่ใจหายใจคว่ำไปไม่รู้กี่รอบ’” บิ๊งหัวเราะ

เมื่อถามถึงอนาคตต่อไป หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนจะบอกว่า เธอมีความสนใจใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดในแต่ละปี หรือตลอดทุกครั้งเมื่อออกเดินทาง อย่างประเด็นที่เธอสนใจในเวลานี้คือความป่วยซึมเศร้า โดยบิ๊งอยากจะทำความเข้าใจมันให้มากขึ้นและหวังว่าวันหนึ่งงานของเธอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ผ่านการสื่อสาร แต่หญิงสาวออกตัวว่าเธออาจต้องสะสมประสบการณ์ให้มากขึ้นเสียก่อน

“เราชอบแข่งขันกับตัวเอง ชอบตั้งเป้าให้สูงไว้ก่อน วันนี้ทำไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยๆ ไปทีละสเตป” หญิงสาวว่า

“พอทำได้ก็จะรู้สึกว่านี่คือผลจากการฝึกฝนที่ผ่านมาตลอด ก็จะรู้สึกดี”


ลองมาฟังคำตอบจากปากของเธอกัน ว่าแว่นตาฟิลเตอร์เลนส์คู่ใจของเธอตัวนี้มีความพิเศษอย่างไร และทำไมแว่นตาคู่นี้ถึงช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินสาวให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

หากใครที่สนใจแว่นตา Glazziq Filter Lens สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Website: www.glazziq.com
และสามารถลองสวมใส่ได้ที่ หอแว่นสยามพารากอน, Printa Cafe สีลม และ Casa Lapin เมเจอร์เอกมัย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรม และศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อย รวบรวมผลงานไว้ที่ pathipolr.myportfolio.com