กล้าสร้างสรรค์ เปิดรับความแตกต่าง และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อนาคตที่น่าสนุกขึ้นเมื่อ Gen Z ได้ครองโลก

Highlights

  • คนรุ่นใหม่หรือคนเจนฯ Z เป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบการนิยามตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ รสนิยม ศาสนา หรือความสนใจ เพราะพวกเขาเห็นว่าการนิยามเป็นการจำกัดอิสระในการสร้างตัวตนของพวกเขา
  • คนเจนฯ Z พยายามตามหาความเฉพาะตัวของตัวเอง แต่ก็ให้ความสำคัญกับความแตกต่างของผู้อื่นด้วย โดยผลสำรวจจาก McKinsey พบว่าคนรุ่นนี้พร้อมที่จะทำความเข้าใจความแตกต่างของผู้อื่นและมีแนวโน้มที่จะเลือกวิธีการเปลี่ยนโลกอย่างประนีประนอม

หากคุณเป็นคนอายุ 30 ปีลงมา เราอยากชวนให้คุณนึกดูว่าตั้งแต่เกิดจนโต คุณเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิตบ่อยแค่ไหน

เอาแค่เรื่องใกล้ตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ในสมัยเด็กๆ ก็ได้ เราจะพบว่าอินเทอร์เน็ตโมเด็ม 56K กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โทรศัพท์มือถือกลายมาเป็นสมาร์ตโฟน หรือกระทั่งการบ้านที่ทำในสมุดก็กลายมาเป็นการบ้านที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำเป็นส่วนใหญ่

ดูเหมือนว่ายิ่งโตความเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมาถึงเร็วและถี่ขึ้น เราต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ กันทุกปี ต้องอัพเดตสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด จนน่าจะกล่าวได้ว่าคนตั้งแต่รุ่นมิลเลนเนียลลงไปจนถึงเจนฯ Z ที่กำลังเป็นวัยรุ่นนั้น ได้เติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

แต่เรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็คือ คนรุ่นใหม่ๆ อย่างเรา หรือที่เรียกกันว่ามิลเลนเนียลและเจนฯ Z นั้น ได้รับอิทธิพลแบบไหนมาบ้างท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วใบนี้ จากข้อมูลของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหาร พบว่าคนรุ่นใหม่หรือเจนฯ Z มีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในความหลากหลาย ความกล้าที่จะแสดงออกตัวตนของตัวเอง และความสามารถในการสืบค้นหา ‘ความจริง’ จากข้อมูลอันมหาศาล

 

ตัวตนที่ไม่จำเป็นต้องมีนิยาม

‘เพราะชีวิตคืออิสระแห่งการเลือกที่จะเป็น’ คนเจนฯ ใหม่เข้าใจประโยคนี้ได้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่ชอบการนิยามตัวเองให้อยู่ภายใต้กรอบใดๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ย่อมเกลียด ‘การเหมารวม’ เป็นที่สุด เพราะนั่นคือการกระทำที่ขาดความเคารพตัวตนของคนคนนั้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเพศ ศาสนา ความสนใจ หรือรสนิยม ก็ตาม

ในงานสำรวจของ McKinsey ที่มีกลุ่มตัวอย่างหลากหลายช่วงอายุจำนวน 2,321 คน พบว่าคนเจนฯ Z ถึง 24 เปอร์เซ็นต์เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาใดเป็นพิเศษ ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ อย่างเจนฯ X ที่มีจำนวนคนไม่นับถือศาสนาเพียงแค่ 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้คนเจนฯ Z ยังเป็นรุ่นที่สนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกันมากที่สุด คือ 53 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนในเจเนอเรชั่นอื่นมีสัดส่วนการสนับสนุนในเรื่องนี้ไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเจนฯ X และ Y

เมื่อไม่มีกรอบหรือนิยามที่บ่งชี้ตัวตน ชีวิตของคนรุ่นใหม่จึงมีอิสระมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขากล้าที่จะทดลอง เรียนรู้ และค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมเปลี่ยนความสนใจจากเรื่องเดิมๆ เหล่านั้น และหันไปเสาะหาตัวตนในรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเขาตระหนักดีว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้นิยามใดๆ โดยเฉพาะนิยามที่คนรุ่นก่อนๆ ได้กำหนดขึ้น

 

ผสมผสานตัวตนจากหลากหลายกรอบความคิด

เมื่อภาพลักษณ์ของคนเจนฯ Z คือความแตกต่างที่ไร้นิยาม ต่างคนต่างมีชีวิตเพื่อเสาะหาความสนใจใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะพิเศษของคนเจเนอเรชั่นนี้คือพวกเขาชอบอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนเพื่อเชื่อมต่อองค์ความรู้และแบ่งปันเรื่องราวระหว่างกัน

คำว่าชุมชนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ชุมชนหรือกลุ่มในโลกจริงๆ เท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มก้อนในพื้นที่ออนไลน์ด้วย ซึ่งคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเพื่อนในโลกออนไลน์ไม่ต่างจากเพื่อนในโลกออฟไลน์ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้คนเจนฯ Z ได้พบเจอความหลากหลายมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ เพราะโลกออนไลน์เป็นพื้นที่เสรีที่ไม่กีดกันความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา พื้นที่ อายุ เพศ หรือฐานะทางการเงิน ด้วยเหตุนี้เหล่าคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในชุมชนออนไลน์ต่างๆ จึงมีโอกาสรับรู้ความเห็นความหลากหลายรูปแบบ

สิ่งที่คนเจนฯ Z เชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มและเชื่อมต่อถึงกันนั้นคือ ‘ความสนใจร่วม’ ซึ่งหากลองมองไปในโซเชียลมีเดียทุกวันนี้แล้วคงจะเห็นได้จากกลุ่มชุมชนตามกรุ๊ปต่างๆ ในโซเชียลมีเดียที่แบ่งออกตามความสนใจของกลุ่มนั้นๆ ซึ่งหลายครั้งกลุ่มเหล่านี้ก็มีความเฉพาะ (niche) เป็นอย่างมากด้วย

แต่ใช่ว่าเจนฯ Z จะยึดตัวเองอยู่กับกลุ่มเดียวไปตลอด ด้วยพื้นฐานที่มีความสนใจอันหลากหลายทำให้พวกเขาชอบที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหลากหลายแบบ ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีคิดจากหลากวัฒนธรรม หลายกรอบความคิด จนค่อยๆ สร้างสรรค์ตัวตนของตัวเองขึ้นมาจากความชอบเหล่านั้น

 

เชื่อมความต่างอย่างประนีประนอม

แม้ว่าตัวตนและรสนิยมของคนเจนฯ Z จะมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับมองว่าความแตกต่างไม่ได้เป็นปัจจัยที่จะทำให้คนต้องหันมาทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งนับว่าเป็นทัศนคติที่ยิ่งส่งเสริมให้คนรุ่นเดียวกัน ‘กล้าที่จะแตกต่าง’ และกล้าที่เป็นตัวเองให้โลกได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกงานอดิเรก การแต่งกาย หรือรสนิยมการเลือกของใช้คู่ใจอย่างสีของโน้ตบุ๊กที่สะท้อนความเป็นตัวเอง

คนเจเนอเรชั่นนี้พร้อมที่จะเอาตัวเองเข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชนใหม่ๆ ความชอบใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจ หรือบางครั้งก็อยู่ในขั้วตรงข้ามกับความคิดพวกเขาด้วยซ้ำ

คนเจนฯ Z เชื่อในการพูดคุยและขุดคุ้ยเพื่อตามหาสาเหตุของความเชื่อ รสนิยม และความชอบ ของอีกฝ่าย เพื่อทำความเข้าใจตรรกะและเหตุผลเบื้องหลังวิธีคิดที่แตกต่างจากตัวเอง คนกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะชอบการประนีประนอมมากกว่าการแตกหัก ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ McKinsey ที่ได้ทำแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า ‘เห็นด้วยหรือไม่ว่าโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงได้ ต่อเมื่อระบบเดิมๆ ถูกทำลายลง’ พวกเขาพบว่ากลุ่มคนเจนฯ Z ไม่ถึงครึ่งที่ตอบว่าเห็นด้วย ขณะที่คนเจนฯ ก่อนหน้าต่างเห็นด้วยกันเกินครึ่งทั้งหมด

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าเมื่อคนเจนฯ Z ได้เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ในวันหนึ่ง พวกเขาน่าจะสร้างโลกที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นได้ จากหัวใจที่เปิดกว้างและเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากกว่าคนในเจเนอเรชั่นก่อนๆ

 

มองโลกตามความเป็นจริง

เมื่อโลกเต็มไปด้วยความหลากหลายในแบบที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เราสามารถพบเจอความหลากหลายได้จริงๆ คนเจนฯ ใหม่จึงมีต้นทุนจำนวนมากในการคิดวิเคราะห์ พวกเขาได้รับรู้ทั้งเรื่องราวที่ดีและเลวร้ายในสังคม เห็นทั้งมุมที่ดีงามและเลวร้ายของบุคคลสาธารณะ เห็นการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้นทุนทางข้อมูลเหล่านี้คืออำนาจในการตามหา ‘ความจริง’ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ที่คนยุคสมัยนี้ได้เปรียบจากเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ

เมื่อมีอำนาจนี้อยู่ในมือทำให้คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้สามารถเห็นความจริงหลายๆ ชุดได้เพียงแค่ตวัดมือค้นหา พฤติกรรมเหล่านี้จึงติดสอยไปในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การหาของกิน การซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน การเมือง การศึกษา การที่มีพื้นฐานเป็นการสืบค้นเพื่อตามหา ‘ความจริง’ จึงน่าจะทำให้คนเจนฯ นี้มีนิสัย ‘ฝันกลางวัน’ น้อยกว่าคนรุ่นก่อนๆ เพราะเขาจะยึดอยู่กับหลักฐานและสิ่งที่มองเห็นได้มากกว่าจินตนาการ

ในปัจจุบันคนเจนฯ Z คือกลุ่มที่มีจำนวนประชากรเยอะที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับคนเจเนอเรชั่นอื่น โดยมีถึง 32 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2.47 พันล้านคนทั่วโลก ทำให้เราน่าจะอนุมานได้ว่าเมื่อคนกลุ่มนี้เติบโตขึ้น (เจนฯ Z ที่โตที่สุดตอนนี้คือกลุ่มคนอายุ 25 ปี หรือเกิดในปี 1995) และได้กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของสังคม วันนั้นเราคงได้เห็นโลกที่มีรูปแบบการใช้ชีวิต ทัศนคติ และการให้คุณค่า แตกต่างจากปัจจุบัน ซึ่งหากอนุมานเอาจากลักษณะทั้ง 4 ข้อของคนเจนฯ Z ในข้างต้น เราน่าจะได้เห็นโลกที่สนุกสนานมากขึ้น เพราะมีผู้คนที่พร้อมเข้าใจในความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ เปิดทางให้ทุกคนกล้าที่จะสร้างสรรค์ และนำเสนอตัวตนโดยไม่ต้องกลัวการโดนตัดสิน

 

เครื่องมือที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตตามนิยามของตัวเอง

การจะก้าวไปสู่อนาคตอันน่าถวิลหาไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วคืน คนเจนฯ Z ยังต้องสั่งสมประสบการณ์ ความรู้ และความสร้างสรรค์อีกมากมาย เพื่อช่วยกันสร้างความน่าอยู่นั้นให้เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องการอุปกรณ์คู่ใจที่สามารถตอบสนองความต้องการหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ การทำงาน และไลฟ์สไตล์ อย่างเช่น New Asus VivoBook series (D433/D533/D413) โน้ตบุ๊กซีรีส์ใหม่ล่าสุดจาก Asus ทั้ง 3 รุ่นนี้ ในราคาเริ่มต้น 19,990 บาท

New Asus VivoBook ซีรีส์ใหม่ มาพร้อมกับแท็กไลน์ที่ว่า ‘Dare to be different’ ซึ่งสอดคล้องกับทัศนคติของคนรุ่นใหม่อย่างลงตัว พร้อมให้ทุกคนได้เลือกที่จะแตกต่างในแบบของตัวเองด้วยสีสันถึง 6 สี คือ Gaia Green, Resolute Red, Dreamy White, Indie Black, Transparent Silver และ Hearty Gold นอกจากนี้ยังมีการใส่ลูกเล่นบนแป้นEnterด้วยการตัดขอบสีเหลืองสร้างความโดดเด่นและแตกต่างให้กับคีย์บอร์ดของคุณ อีกความพิเศษของโน้ตบุ๊กซีรีส์นี้คือ Asus จะแถมสติกเกอร์รูปแบบต่างๆ มาให้พร้อมกับตัวเครื่อง เพื่อให้คุณสามารถดีไซน์ความสวยงามของอุปกรณ์ได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่

นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความสามารถภายในอย่างฮาร์ดแวร์ต่างๆ ทาง Asus ก็ได้ใส่เข้ามาอย่างเต็มที่ โดยมีสเปกเบื้องต้นดังนี้ 1.CPU – ที่มีให้เลือกถึง 2 รุ่น คือ AMD Ryzen 5 และ Ryzen 7 ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย AMD ที่เปิดตัวคู่กับ VivoBook series เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตามมาด้วย 2.RAM – 8GB DDR4 และ 3.Hard DisK – 512 GB PCle SSD ซึ่งฮาร์ดแวร์ทั้งสามตัวนี้คือหัวใจหลักที่จะช่วยให้การใช้งานลื่นไหลและลงตัวมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีฮาร์ดแวร์เสริมที่ช่วยตอบสนองประสบการณ์ด้านอื่นๆ เช่น ลำโพงจาก Harman/Kardon ที่ให้เสียงคุณภาพ ยกระดับความสุขด้านการฟังเพลงให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีหน้าจอ 2 รูปแบบให้ได้เลือก คือขนาด 14 นิ้ว (M433/M413) และ 15.6 นิ้ว (M533) โดยทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมขอบหน้าจอที่บางเฉียบ ทำให้ใช้งานอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรมารบกวนสายตา เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของ New Asus VivoBook series ก็คือสะดวกต่อการพกพาไปทุกที่ เพราะมีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 1.4 กิโลกรัม ในรุ่น M433/M413 และ 1.8 กิโลกรัม สำหรับรุ่น M533

อีกหนึ่งความพิเศษสุดท้ายของโน้ตบุ๊กซีรีส์นี้คือ เป็นครั้งแรกที่ทาง Asus ได้ติดตั้งโปรแกรม Microsoft Office Home & Student มาให้พร้อมใช้งานทันที ทำให้โน้ตบุ๊กซีรีส์นี้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนเจนฯ Z ทั้งที่อยู่ในวัยนักเรียน นักศึกษา หรือกำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน


อ้างอิง

campaignlive.co.uk

illumestories.com

mckinsey.com

nypost.com

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

วริทธิ์ โพธิ์มา

รักหมูกรอบ และข้าวมันไก่

ILLUSTRATOR

พิราวรรณ น้ำดอกไม้ เบคเกอร์

เชื่อเรื่องตรรกะในงานศิลปะ พลังงานในงานกราฟฟิก เรื่องวิญญาณ และอภินิหารของคาเฟอีน