แม้จะไม่เคยฝันอยากไปนอกโลก ไม่ได้ชอบวิทยาศาสตร์ แต่ความรักในการแสดงทำให้ ‘ฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ’ ได้สวมบทบาทเป็น ‘ลิน’ นักบินหญิงไทยคนแรกที่ได้ไปท่องอวกาศ
เส้นทางนักแสดงของฟรีน ถึงจะเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ นับตั้งแต่การประกวดมิสทีนไทยแลนด์ 2016 เข้ารอบเป็น 1 ใน 15 คน แต่จุดเปลี่ยนนั้นก็ทำให้เธอค้นพบว่ายังมีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหมออยู่ด้วย
เด็กกิจกรรมอย่างฟรีนเริ่มจริงจังกับความฝันมากขึ้น ทั้งแคสต์โฆษณาและถ่ายแบบ จนถึงการรับบท ‘คุณสาม’ จากเรื่อง Gap: The Series (ทฤษฎีสีชมพู) ซีรีส์เกิร์ลเลิฟ ประกบคู่กับ ‘เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง’ กลายแสงสปอร์ตไลต์ในที่สุด และทำให้หลายคนรู้จักเธอมากขึ้นในฐานะนักแสดง
ในวันที่ ‘ยูเรนัส 2324’ ภาพยนตร์อวกาศเรื่องแรกของไทยกำลังจะเริ่มฉาย โปรเจกต์ใหญ่ที่ไม่ได้ท้าทายแค่ฟิล์มเมกเกอร์ แต่รวมไปถึงนักแสดง ทั้งบทนักบินอวกาศจนถึงนักดำน้ำที่ต้องอาศัยพลังและความเชื่อมั่นในการแสดงอย่างมาก
เราชวนฟรีนปลีกตัวจากตารางงานแน่นเอี้ยดมานั่งคุยสบายๆ ความรู้สึกของการถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรก การร่วมงานกับเบ็คกี้อีกครั้ง จนถึงช่วงเวลาเปราะบางที่เธอต้องใช้เวลาฮีลใจกับตัวเอง
ฟรีนแทรกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในทุกคำถาม แม้จะยืนยันว่าเป็นคนสวยมากกว่าคนตลกก็ตาม แต่สิ่งที่เราสัมผัสมากไปกว่านั้นคือไฟของนักแสดง ที่ไม่ว่าบทแบบไหนเธอก็พร้อมจะท้าทายตัวเองเสมอ
เด็กสายวิทย์คณิตที่อยากเปลี่ยนสาย
การแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับดวงดาวและวิทยาศาสตร์แบบนี้ จริงๆ เป็นคนชอบวิทยาศาสตร์มาก่อนไหม
เราเคยเรียนสายวิทย์-คณิต ตอน ม.4 ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกชอบ แค่รู้สึกว่าถ้าเรียนสายจะต่อยอดได้เยอะกว่า แต่พอมาเรียนจริงๆ ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น เพราะสอบตกบ่อยมาก
เรื่องนี้เราได้รับบทเป็นนักบิน ซึ่งมันต้องเชี่ยวชาญด้านนี้ แล้วเป็นคาแรกเตอร์ที่มีความรู้เยอะมาก มันเหมือนต้องเริ่มใหม่หมดเลย เริ่มทำการบ้านว่าบทมันจะต้องเจออะไรบ้างกับการอยู่บนอวกาศ สมมติมีซีนที่ต้องออกไปนอกโลก มันจะต้องผ่านชั้นอวกาศไหนบ้าง แล้วตัวละครก็จะเริ่มชอบดวงดาวตั้งแต่เด็ก เราเลยรู้สึกว่ายาก
ได้ยินว่า เคยอยากเป็นหมอด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เปลี่ยนความฝันมาเป็นนักแสดง
ประมาณม.5 หลังจากที่เรารู้สึกว่าการเรียนวิทย์-คณิตมันยากขึ้น
ประจวบกับการได้ประกวดมิสทีนไทยแลนด์พอดี ที่เริ่มมาจากที่คุณอาให้ลอง แล้วเราก็อยากไปเพราะอยากไปเชียงใหม่เฉยๆ
พอได้โอกาสตรงนี้แล้วมีงานในวงการเข้ามาเยอะขึ้น เราก็รู้สึกว่าเราก็ทำได้ เลยรู้สึกงั้นเราเบนสายเลยดีกว่า เราก็พยายามเรียนม.6 ให้จบด้วยดี แล้วค่อยมาทำในวงการแบบเต็มตัวตั้งแต่ปี 1 พวกแคสต์โฆษณา ถ่ายแบบ รู้สึกว่าทางนี้น่าจะดีกว่าหมอ หมายถึงดีกับตัวเรานะ (หัวเราะ)
แล้วการได้ออกไปนอกโลกเคยเป็นความฝันของเราบ้างไหม
ไม่เคยคิดว่าจะออกไปนอกโลกเลย เพราะตอนนั้นหนูไม่รู้ว่ามันมีโลกอื่นด้วยเหรอ (หัวเราะ)
ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยฝันอะไรเท่าไหร่ รู้แค่ว่าอยากเป็นหมอ แต่พอเริ่มไม่ใช่แล้วก็เลยไม่เอาดีกว่า เรารู้สึกว่าการได้อยู่บนโลกนี้ก็พอใจแล้ว (หัวเราะ)
พาร์ตไหนในการแสดงที่คุณชอบมากที่สุด
ชอบในการไปเป็นอีกคนนึงแล้วแต่ละเรื่องมันจะมีชาเลนจ์ให้เราไปทำตลอด บางทีไปไกลถึงขนาดเป็นนักบินเลย แต่ตอนนี้หนูถ่ายซีรีส์พีเรียดอยู่ก็ยากเหมือนกัน
แต่การแสดงหนูก็ชอบหมดเลย รู้สึกว่าเราได้เป็นตัวละครอีกตัวนึงที่เรายังไม่เคยได้ไปถึง และเราสามารถทำให้มันเป็นลายเส้นของเราเองได้ในฐานะนักแสดงคนนึง
สำหรับคุณที่เคยแสดงซีรีส์มาแล้ว พอมาเป็นภาพยนตร์ต้องปรับตัวยังไงบ้าง
เรารู้สึกว่าซีรีส์มันคือการจัดองค์ประกอบให้สวยงาม ในทุกองค์ประกอบ เช่น เราต้องร้องไห้ให้สวย เราต้องทำท่าสวยๆ
แต่พอมันกลายเป็นหนังมันเรียลขึ้น เป็นชีวิตจริงมากกว่า มีการเซ็ตให้มันเรียลขึ้น เรื่องแอ็กติงก็ต่าง รู้สึกว่าหนังไม่ได้ใช้แอ็กติงที่โอเวอร์ เล่นเบาๆ แต่อินเนอร์หนักๆ แต่ซีรีส์คือการเอาทั้งร่างกายมาเล่นด้วย เอาอินเนอร์มาเล่นให้มันใหญ่ขึ้นหรือรู้สึกเยอะขึ้น ส่วนถ้าถามว่ามันต่างกันมากไหม มันก็ไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น
ในโลกคู่ขนานคิดว่าตัวเองจะได้เล่นบทไหน
หนูอยากเล่นแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก พูดไปเรื่อย ตลกๆ แต่ไม่ค่อยได้เล่นซีรีส์หรือหนังแนวนี้เลย ได้เล่นแต่แบบ บทนิ่งๆ คนเรียบร้อย อยากบทที่ไม่ต้องคิดอะไรมากอย่างนางร้ายบ้าง
แล้วจริงๆ ฟรีนเป็นคนตลกไหม
คิดว่านะ แฟนคลับชอบบอกว่าหนูตลก แต่จริงๆ หนูเป็นคนสวย (หัวเราะ)
การถ่ายทำที่ยากตั้งแต่ต้นจนจบ
การถ่ายทำเรื่องยูเรนัส 2324 มีเรื่องอะไรที่รู้สึกหนักใจบ้างไหม
มีเซอร์ไพรส์ตรงช่วงใกล้จบถ้าทุกคนได้ไปดูในโรง ทุกคนจะรู้เลยว่าแต่ละฉาก แต่ละซีนที่เราถ่ายมันยากมาก แม้แต่การขับรถก็ยาก เพราะต้องขับเกียร์กระปุก หรือจะดำนำ ขึ้นสลิง ทุกองค์ประกอบตั้งแต่ต้นยันจบมันคือการเรียนรู้ใหม่ของหนูทั้งหมดเลย
บทที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยๆ อย่างการไปไกลถึงอวกาศหรือลึกลงไปถึงใต้น้ำ ทำการบ้านกับเรื่องนี้ยังไง
พอเราอ่านบท อ่านทรีตเมนต์แรกๆ รู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วอ่านไปเรื่อยๆ บทมันเริ่มใหญ่ขึ้น เริ่มพีกขึ้น เราก็รู้สึกจะเอาอย่างนี้เลยเหรอ แต่ก็ลองดูกันสักตั้ง เพราะว่าทุกคนสู้ด้วยกันหมดเลย
มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนไม่รู้อะไรเลยจนต้องหาตัวช่วย หาทุกคนที่มีความรู้เกี่ยวกับอวกาศ ถ้าไม่ได้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบตัวก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน
ตอนแรกก็กดดัน เพราะว่ามันก็เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ครั้งแรกของเรา ครั้งแรกของการที่จะมียานเทียบเท่าของจริงวางตั้งอยู่แล้วให้เราเข้าไปเล่น แต่พยายามทำการบ้านกับเขาเยอะมาก และช่วงเวลาที่ถ่ายทำก็ทำให้ดีที่สุด
นอกจากความรู้ที่หนูต้องมีแล้ว เขาจะคุยภาษาอังกฤษกันหมดเลยทั้งยาน แล้วฟรีนไม่ได้ใช่ภาษาอังกฤษเลย เป็นคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ มันยากที่ต้องต้องจำศัพท์ที่มันเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์ ศัพท์จรวด ศัพท์ในยานอีก ก็กดดันทุกอย่างที่ต้องแบกไว้ แต่ก็คิดว่าหนังออกมาก็น่าจะถูกใจคนดู เพราะว่าซีจีก็เก่งมากๆ ในยานก็ทัชสกรีนได้จริง
การได้กลับมาเจอกับเบ็คกี้อีกครั้งในเรื่องนี้รู้สึกยังไงบ้าง
ทำงานกับน้องจนใช้คำว่าชิน มันรู้จังหวะ รู้มือกันหมดแล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรกันใหม่
รู้สึกว่าสิ่งที่ต้องรักษาให้ได้คือสภาพจิตใจกับสุขภาพ เพราะว่าแต่ละคนพอทำงานเยอะมันจะเหนื่อย หรือพวกคอมเมนต์ต่างๆ ที่เข้ามามันก็ทำร้ายสุขภาพหัวใจเรา เราก็จะมีรักษากันเรื่องนี้มากกว่าการทำงาน เพราะในส่วนของการทำงานเพราะหนูกับเบ็คจะมีความรับผิดชอบในปริมาณที่เท่ากัน เราเคารพกันและกัน และเชื่อใจกันในการทำงานอยู่แล้ว
ได้ยินว่าในฉากดำน้ำเบ็คกี้รู้สึกกดดันจนถึงต้องร้องไห้ออกมา
น่าจะเป็นตอนที่ไปถ่ายที่พังงา มันจะเป็นซีนที่น้องเล่นกับนักฟรีไดฟ์แบบ International ซึ่งแปลว่าการใช้แว่นตาจริง แบบที่นักดำน้ำลึกเขาใช้กัน มันเป็นแว่นตาที่ไม่ได้ใสเหมือนปกติค่ะ มันจะเป็นแว่นซูมที่เป็นวงกลมเล็กๆ ในตา แล้วเราจะลงไปลึกเท่านักดำน้ำมืออาชีพไม่ได้ เพราะเราอยู่ในการถ่ายทำ น่าจะสักประมาณ 5 เมตรหูก็จะวิ้งและเจ็บแล้ว
การลงไปอย่างนั้นมันจะมืดมากแล้วบวกกับแว่นที่น้องใส่ แล้วนี่คือทะเลจริงๆ มันกว้างแล้วมันก็มืดมาก บวกกับน้องมองไม่เห็นอะไร รวมถึงโดนลมพัดด้วย เลยเกิดอาการแพนิก
ยังดีที่อยู่กับสายที่ฟรีไดฟ์ลงไป แล้วพอน้องขึ้นมาได้ก็เหมือนขาดอากาศหายใจ เพราะการฟรีไดฟ์คือเราต้องกลั้นหายใจให้ได้ ถ้าหายใจแล้วมีลมในปอดอาจจะเกิดอันตรายได้ พอน้องขึ้นมาแล้วเกิดอาการแพนิกจนร้องไห้ออกมาจากความกดดันตรงนั้น
การได้เจอเบ็คกี้บ่อยๆ เห็นการเติบโตอะไรบ้างไหม
รู้สึกว่าเขาโตขึ้นและสู้มากขึ้น อย่างที่บอกว่าเราจะทำงานกันเยอะมาก แล้วเราก็จะผลัดกันป่วย แล้วในวันที่ต้องดำน้ำเขาก็สู้ในระดับหนึ่งเลย
ตอนแรกหนูคิดว่า เขาจะชอบสิ่งนี้ แต่กลายเป็นว่าการทำงานมันจะทำให้เขากดดันมากขึ้น ก็เข้าใจได้ ถ้าร่างกายมันไม่ไหวมันจะชัตดาวน์ตัวเองโดยอัตโนมัติ เราก็เอาใจช่วยตลอด ถ้าวันไหนมันไม่ไหว ก็จะเป็นกำลังใจให้กันตลอด
แต่ละซีนที่เราต้องเจอกัน มันหนักสุดๆ เลย น้องไม่งอแงเลย ตอนถ่าย GAP ด้วยกันคือจะร้องไห้จะกดดัน ตอนนี้ที่เขาโตขึ้น ก็มีร้องไห้บ้างแต่น้อยลง
มีอะไรที่อยากลองทำเพิ่มนอกจากเล่นซีรีส์ และละครอีกไหม
อยากลองเล่นนางร้ายดูบ้าง แล้วก็อยากพูดภาษาท้องถิ่น ภาษาเหนือ ภาษาอีสาน เป็นคนกรุงเทพค่ะเลยรู้สึกมีชาเลนจ์อยากทำ แต่ว่าปีนี้อาจจะพักก่อนเพราะว่า 3 เรื่องแล้ว (หัวเราะ)
ชอบอันนี้มาก ‘กาสะลอง-ซ้องปีบ’ หนูชอบมาก ก็เลยอยากลองเล่นอะไรร้ายๆ แล้วพูดภาษาเหนืออย่างนี้ดูบ้าง รู้สึกว่ามันเป็นท้าทายตัวเอง อยากลองดู อยากรู้ว่าพอได้เล่นจริงๆ แล้ว จะชอบแบบที่ตัวเองชอบดูคนอื่นหรือเปล่า
ชอบการเปลี่ยนคาแรกเตอร์ไปเรื่อยๆ หรือเล่นบทที่ตัวเองถนัด
หนูเป็นคนที่เป็นสิ่งๆ นั้นตามเสื้อผ้า ตามคาแรกเตอร์ที่เราสวม แล้วผู้กำกับเลยว่าอยากได้อันไหน ลูกค้าอยากได้อะไรมากกว่า ก็ทำให้ได้ตลอด (ยิ้ม)
คาดหวังอะไรกับการแสดงครั้งนี้บ้าง
จากวันนั้นที่เราถ่ายทำให้มันออกมาเป็นซีนที่ดีที่สุด ในฐานะนักแสดงเราก็ทำการบ้านเยอะเหมือนกัน แล้วก็หวังว่าหนังอวกาศไทยเรื่องแรกมันจะผลักดัน และจะ Push ให้มันไปถึงทั่วโลกได้ค่ะ ให้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนทั่วโลกรู้ว่าหนังไทยก็ทำได้
ให้มันเกิดปรากฏการณ์นี้ได้โปรดักชันส์ใหญ่มากจริงๆ ทั้ง ลำดับภาพ แสง สี เสียง ซีจี ถ้าได้ดูมันก็ตระการตา รู้สึกว่ามันไปได้ไกลมากค่ะ แล้วก็การทุ่มทุนของทุกอย่าง ทั้งนักแสดง ทีมงาน กล้องที่เราใช้ สถานที่ที่เราไป มันกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้หมดเลย แล้วคนน่าจะมาเที่ยวที่ไทยมากขึ้นด้วย จากสิ่งที่เราจะเอาออนในนั้น จะได้เห็นพัฒนาการที่ดี ที่ฟิล์มเมกเกอร์เกิดขึ้นในไทย เพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะเห็นแต่ต่างชาติที่ทำหนังแนวนี้
ฟรีนที่เชื่อมั่นในความรัก
ฟรีนเชื่อไหมว่าความรักต้องเศร้า
ไม่ค่ะ ฟรีนคิดว่าความรักจริงๆ มันต้องไม่ยากขนาดนี้
สำหรับตัวฟรีนแบบที่ไม่ได้เอาลิน (ตัวละครเอกในเรื่องยูเรนัส 2324) มาเกี่ยวข้อง หนูรู้สึกว่าความรักมันควรเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ทุกวันนี้ใช้ชีวิตก็เหนื่อยแล้ว ความรักมันควรเป็นสิ่งที่ผลักดันให้รู้สึกว่าเรามีชีวิตที่ขึ้น สบายใจ เป็นแรงผลักดันในชีวิตมากกว่า
หนูรู้สึกว่าความรักเป็นพลังที่มหาศาลมาก ไม่ต้องยากขนาดนั้นก็ได้ เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เพราะตัวลินเขาแบบเขามีหลักการ มีหลักวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลของเขา แต่เขาเลือกเชื่อความรักมากกว่าวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป
ฟรีนมีอะไรอยากบอกกับ ‘ลิน’ ไหม
ฟรีนเคารพในตัวลินนะ เก่งสุดๆ ไปเลย เขามีพื้นฐานของการเป็นคนที่เชื่อในทุกๆ สิ่งที่เขาจะทำ แล้วสิ่งที่เขาทำมันอิมแพ็กกับคนอื่น ลินไม่รู้หรอกว่าเป้าหมายเขาจะไปถึงตรงนั้นไหมหรือไม่ถึง แต่เขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำเสมอแล้วผลลัพธ์มันจะออกมาตามความตั้งใจของเขา
หนูกับลินเหมือนในเรื่องความเชื่อ หนูก็เป็นคนไม่มีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ถ้าทำโดยใช้ความเชื่อไปในทุกๆ เรื่อง แล้วอาจมันไปถึงในสิ่งที่เราไม่เคยคาดหวังจะไปก็ได้
จริงๆ แล้วฟรีนเชื่อเรื่องอะไร
หนูเชื่อในพลังของความรักนะ เมื่อก่อนเคยคิดว่าเราไม่มีคุณค่าขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พลังจากแฟนๆ คนที่เราไม่รู้จักกันเลย เรารักเขาได้ยังไงก็ไม่รู้ เลยรู้สึกว่าพลังตรงนี้มันมหาศาลมาก เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขาให้ได้ ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวเราอาจจะไม่ได้รักตัวเองมากขนาดนี้ก็ได้ หนูใช้คำนี้บ่อยมากคือ ‘เราลืมกอดตัวเอง แล้วคนอื่นกอดเรา’ พลังตรงนี้มันใหญ่มาก มันมีแรงที่จะส่งพลังนี้ออกไปอีก
ฟรีนกลับมารักตัวเองเพราะแฟนๆ เหรอ
ส่วนหนึ่งค่ะ หนูก็รักตัวเองตลอด แต่คนเรามันต้องมีบางครั้งที่เราลืม
คนเราชอบอยู่กับความท็อกซิก มันเป็นความรู้สึกเสพติดแบบโรลเลอร์โคสเตอร์ มีความสุขและความท็อกซิกขึ้นลงไปเรื่อยๆ มันไม่บาลานซ์อยู่แล้ว คนเราจะมีความสุขตลอดไม่ได้ มันจะต้องมีเรื่องมีปัญหาที่ถาโถมเข้ามา พอมันหนักมันก็ลืมช่วงเวลานั้นไปจริงๆ แต่มันดีมากที่ยังคงมีพลังความรักนี้ที่เกิดขึ้นจากคนรอบข้างเรา เราก็ต้องรักตัวเองให้มากกว่าให้ได้จริงๆ
เรื่องท็อกซิกเรื่องไหนที่ฟรีนรู้สึกว่าไม่อยากทน
การเป็นตัวเอง แล้วมีคนไม่ชอบ
หนูก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ก็มีจริงนะคนแบบนี้ แต่เราทำอะไรไม่ได้ ก็จัดการตัวเองอย่างเดียว แต่สิ่งที่ท็อกซิกทุกอย่างหนูรู้สึกว่า มันควบคุมไม่ได้ไปหน่อย จนตอนนี้รู้สึกว่าเราเริ่มจัดการตัวเองได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง รู้สึกว่าเราไม่ต้องไปสนใจดีกว่า ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทำในสิ่งที่เรามีความสุข แคร์เฉพาะคนที่แคร์เราก็พอ พอยิ่งสูงยิ่งหนาวจริงๆ
ฟรีนเคยมีความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือเคว้งคว้างเหมือนอยู่ในอวกาศบ้างไหม
มีบ้าง แต่ก็รีบพยายามเอาตัวเองออกมาให้ไวที่สุด แต่ก็ไม่ได้เร่งตัวเอง คนเรามันก็ต้องมีต้องรู็สึกสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง แต่ก็ยอมรับ ให้มันรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวเลยแฮะ เหงาจัง สุดท้ายแล้วร่างกายเราความรู้สึกเรามันก็จะเจอสิ่งนี้แหละ ที่ทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้มันหายไป
แต่ละคนมันก็จะมีวิธีเป็นของตัวเอง แล้วหนูก็ไม่ชอบเวลาทุกคนบอกว่าให้เราทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ไม่อยากเอาตัวเองไปพูดด้วยว่าเธอลองทำอย่างนั้นสิทำอย่างนี้สิ เพราะทุกคนมันมีเวย์เป็นของตัวเองหมด บางคนอาจจะชอบทำอย่างนึง บางคนอาจจะชอบทำอย่างนึง
หนูว่าเราเคารพกันดีกว่า สมมติว่าหนูชอบอ่านหนังสือที่เป็นศิลปะ มันเหมือนมีสมาธิเป็นของตัวเอง แล้วมันจะกำจัดความว่างเปล่าความเหงาตรงนี้ได้ บางคนชอบฟังเพลงชอบดูหนัง ก็ทำมันจะมีบางอย่างที่พาเราออกไปจากตรงนี้ได้ ไม่ตรงรีบหาก็ได้ ค่อยๆ รู้สึก ค่อยๆ ยอมรับ ค่อยๆ พาตัวเองไปเจอกับอะไรที่เราคิดว่ามันทำให้ความเหงารอบกายของเราหายไป มันมีอยู่แล้วแหละ
เวลาที่รู้สึกเหนื่อยจะทำอะไร
ชอบใช้เวลากับตัวเองค่ะ
รู้สึกว่าบางทีทำงานเยอะๆ เจอคนเยอะๆ แล้วมันเหนื่อย แล้วพอกลับบ้านไป กลายเป็น Introvert แล้วตอนนี้ รู้สึกไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากพูดกับใคร ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเงียบๆ รู้สึกอยากนอน รู้สึกไม่อยากเปลืองพลัง แค่นั่งเล่นกับหมาอะไรอย่างนี้ดีกว่า