คุยกับ Flukkaron ยูทูบเบอร์สุดเฟียร์ซที่จึ้งตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมยันการ call out

เราเป็นคนหนึ่งที่รู้จัก Flukkaron หรือ ฟลุ๊ค–ธรรณพ แสงโอสถ จากคลิปที่ ‘เขา’ สวมชุดบิกินี่สีเหลืองลายปิกาจูโชว์ลีลาการเต้นอันลือลั่น

อย่างที่รู้กัน คลิปนั้นได้รับก้อนหินมากกว่าดอกไม้ ชาวเน็ตกลุ่มใหญ่เขวี้ยงปาคำผรุสวาทใส่เด็กหนุ่มโดยไม่ยั้งมือ

“ถ้าย้อนกลับไปได้จะยังทำคลิปแบบนั้นไหม” เราถือโอกาสถามฟลุ๊ค ในบ่ายวันหนึ่งที่ ‘เธอ’ เชื้อเชิญให้เราเข้าไปพบถึงในห้องแต่งหน้าสีขาวคลีนที่แฟนคลับช่องยูทูบ ‘โลกของคนมีหนวด’ คงคุ้นตากันดี 

“อยากทำให้เยอะกว่านี้ค่ะ”​ หญิงสาวตอบอย่างรวดเร็ว ขณะที่มือข้างหนึ่งวุ่นกับการวาดคิ้วให้โก่งสวยไปด้วย “ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะไม่แก้ไข ถือว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นบันไดที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้”

Flukkaron

 ‘ตรงนี้’ ที่เธอพูดถึงคือบทบาทยูทูบเบอร์ที่มียอดผู้ติดตามเกินหนึ่งล้านคน นอกจาก vlog ชีวิตประจำวัน, การท่องเที่ยว และคลิปวิดีโอแนะนำวิธีแต่งหน้าแต่งตัว (และวิธีแต๊บให้เนียนนี!) ไม่นานมานี้ ฟลุ๊คเพิ่งลงคลิปว่าด้วย Pride Month ต้อนรับเดือนแห่งความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นไวรัลทันทีในหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

อย่างที่เห็น คลิปนั้นได้รับดอกไม้มากกว่าก้อนหิน ชาวเน็ตจำนวนมากพากันชื่นชมที่ฟลุ๊คออกมาแสดงจุดยืนและเป็นกระบอกเสียงให้ประเด็นที่สำคัญกับชีวิต LGBTQ+ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อคร่ำครึที่ควรหมดไปได้แล้ว หรือเรื่อง #สมรสเท่าเทียม ที่หลายภาคส่วนกำลังช่วยกันขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไปให้ถึงสภา ไปให้ถึงฝั่งฝัน

ยังไม่นับในอินสตาแกรมที่เธอขยันกระจายข่าวการเคลื่อนไหวทางการเมือง อัพเดตเหตุการณ์บ้านเมือง และร่วมด่าร้าบานอย่างเผ็ดร้อนไปกับเหล่าคนตาสว่างฝั่งประชาธิปไตยอย่างสม่ำเสมอ เคียงคู่ไปกับการขยันโพสต์ลุคแฟชั่นสุดร้อนฉ่า ที่นับวันจะยิ่งจึ้ง ยิ่งเยี่ยว จนกะเทยเอยชะนีเอยต้องซู้ดปากเสียวในความเฟียร์ซกี

ในฐานะคนหนึ่งที่ติดตามการเติบโตของฟลุ๊คอย่างห่างๆ มาสักพัก เราคิดว่าไม่มีเวลาไหนจะเหมาะไปพูดคุยอัพเดตเรื่องราวชีวิตของเธอมากเท่าตอนนี้อีกแล้ว 

จะรออะไรอีก คว้าลิปสติกแท่งโปรดมาทา สวมรองเท้าส้นสูงที่สุดที่มี แล้วมาเดินสับให้ทุกวันเป็นรันเวย์ไปพร้อมกับฟลุ๊คกะล่อนกัน

Flukkaron

ก่อนเข้าประเด็นหลัก ขอเช็กหน่อยว่าคุณอยากให้เราเรียกคุณด้วยสรรพนามอะไร

เรื่องสรรพนามหนูได้หมด ได้ทุกอย่างเลย ไม่ติด อยากเรียกอะไรก็เรียก

แล้วจริงๆ คุณนิยามตัวเองว่าอะไร

ในทางการเวลาต้องเขียนหนังสือหรืออะไร หนูจะบอกว่าหนูเป็น gender-neutral หรือ queer หรือบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ต้องการระบุอย่างเจาะจงว่าเป็นเกย์นะ หรือเป็นนั่นเป็นนี่ เพราะเราเป็นเพศที่ลื่นไหล 

แต่จริงๆ หนูก็คือกะเทยนั่นแหละ เพราะเป็นผู้ชายมา แล้วมาไว้ผมยาว ทำหน้าอก แต่ที่ไม่ใช้คำว่ากะเทย เพราะมันเคยมีเหตุการณ์ที่ว่า กลุ่มของกะเทยที่เป็นสายสวยเขารู้สึกว่าการไว้หนวดที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายทำให้กลุ่มเขาดูไม่ดี หนูก็เลยรู้สึกว่า โอเค งั้นฉันไม่จำเป็นต้องระบุตัวเอง ใช้คำว่า gender-neutral ก็สบายใจดี 

แต่ทีนี้ในอีกนิยามหนูก็อยู่ในกลุ่มของ transgender เหมือนกัน หลายคนอาจยังเข้าใจคำว่าทรานส์เจนเดอร์ผิดว่าต้องเป็นแบบโยชิ (รินรดา ธุระพันธ์) คือแปลงเพศแล้ว หรือเป็นทอมที่แปลงเพศเป็นผู้ชายแล้ว แต่จริงๆ แค่เราเกิดมาเป็นตุ๊ดหัวโปก ตุ๊ดเด็กนักเรียนที่รู้สึกว่าเกิดมามีจิตใจเป็นผู้หญิง แต่ว่าอยู่ในร่างกายของผู้ชาย นั่นก็คือทรานส์เจนเดอร์หรือบุคคลข้ามเพศแล้ว

จริงๆ หนูเจอคำถามพวกนี้เยอะมากนะ “เป็นเพศอะไร” “เป็นรุกหรือรับ” ถ้าถามต่อหน้าคนเยอะๆ หรือฟังน้ำเสียงเขาเหมือนพยายามจะถามเพื่ออะไรซักอย่าง ดูมีเจตนาบางอย่าง หนูจะไม่ตอบเลย แต่แบบที่เราคุยกันอยู่นี้ก็คือการสอบถามปกติ ทั้งที่เป็นคำถามเดียวกัน

Flukkaron
Flukkaron

แล้วเวลาเจอคนแบบนั้นเรารับมือยังไง

ก็ไม่สนใจ ไม่ตอบ

หนูค่อนข้างไม่สนใจใครตั้งแต่ตอนที่โดนด่าเยอะๆ เพราะหนูรู้สึกว่า ตอนนั้นเราอยากทำ และเราก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่รู้หรอกมันจะผิดหรือถูก แต่มันทำไปแล้ว หนูเลยไม่อ่านคอมเมนต์ รู้ว่าคนด่า แต่ไม่ไปอ่านว่าเขาด่าว่าอะไร ด่าแย่มากแค่ไหน ก็แค่ปล่อยไป หลายคนถามว่า “ผ่านมาได้ยังไง เก่งจัง” จริงๆ ไม่ได้เก่งเลยค่ะ เราแค่ไม่อ่านเลยไม่รู้ว่าหนักแค่ไหน อีกอย่างคือคนรอบข้างดีด้วย เพื่อนๆ แฟน หรือพ่อแม่ ทุกคนดีมากๆ เลยไม่ค่อยคิดมากเรื่องชาวเน็ต

เมื่อก่อนชาวเน็ตเรียกคุณว่าเน็ตไอดอล ทำไมถึงตัดสินใจเทิร์นตัวเองมาเป็นยูทูบเบอร์

ไม่ได้ตั้งใจจะเทิร์นตัวเอง แต่ตอนนั้นหนูทำคลิปในเฟซบุ๊กมาประมาณ 7 ปี ก่อนที่จะย้ายมาทำยูทูบ พูดตรงๆ ว่าตอนนั้นใครจ่ายเงินเราเราก็ถือสินค้าให้ จนเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มีการจับสินค้าที่ผิดกฎหมาย สินค้าแอบขาย หรือสินค้าที่ไม่ได้มี อย.จริง แล้วสินค้าที่เราถือโดนจับเยอะมาก (เน้นเสียง) หลายตัวเลย งานอะไรที่เซ็นสัญญาไว้ก็ยกเลิกหมด เงินที่รับมาแล้วก็ต้องคืนไปประมาณ 3-4 ล้าน เราเหลือเงินก้อนสุดท้ายประมาณ 5 แสน เลยตัดสินใจว่าเอาเงินไปลงทุนซื้อกล้องทำยูทูบดีกว่า

แล้วทำไมต้องเป็นยูทูบ

ต้องบอกว่าสังคมของเฟซบุ๊ก ยูทูบ อินสตาแกรม เป็นคนละสังคมกันหมด ถ้าพูดตรงๆ เรารู้สึกว่าเฟซบุ๊กเป็นสังคมที่แมสๆ หน่อย ส่วนใหญ่คนจะคอมเมนต์ตามๆ กัน ตามกระแส ด่าก็ด่า ไม่ใช่ติแบบมีเนื้อหาว่าอยากให้ปรับปรุงตรงไหน แต่ยูทูบเป็นโลกที่มีความสุข ในคอมเมนต์มีพลังบวกเยอะจากคนที่ดูจริงๆ มีน้าๆ พี่ๆ ที่มาติให้เราปรับปรุง ต่างจากเฟซบุ๊กที่เราอยู่มาตลอด เราเลยรู้สึกว่าอยากทำยูทูบที่ให้ความรู้ ให้คนดูได้รับประโยชน์ที่สุด ทุกอย่างที่รีวิวคือต้องใช้จริงให้เห็น เช่นเป็นแชมพูก็สระให้ดู แล้วไดร์ผมให้ดูว่าเป็นแบบนี้นะ หรือถ้าเราไม่ได้ใช้เราก็จะบอกว่าไม่ได้ใช้นะ แต่มาแนะนำเพราะอะไร ทุกอย่างที่คนได้จากช่องหนูเป็นความจริง 99% เพราะหนูไม่มีสคริปต์ เราทำเลย พูดเลย เรียลๆ เหมือนตอนทำเฟซบุ๊กเราโกหกเขามาเยอะมากแล้ว หลอกเขามาเยอะมากแล้ว พอทำยูทูบเราอยากทำอะไรที่มันเป็นความจริงจริงๆ แล้วคนดูจะได้ซื้อตามสิ่งที่มันดีจริงๆ 

คุณเชื่อในเรื่องความจริงใจกับคนดู

ที่ทำยูทูบก็เพราะความจริงใจเลยค่ะ อย่างตอนทำเฟซบุ๊กสิ่งที่เราหยิบมาถ่ายก็มาจากคนที่จ้าง ซึ่งอาจทำให้คนที่ซื้อตามแพ้แต่คนจ้างไม่ได้บอกเรา เลยรู้สึกว่า เออ ทำอะไรที่มันพูดความจริง มันน่าจะอยู่ได้นานกว่า แล้วหนูอยู่ในวงการโซเชียลเป็นปีที่ 9 แล้ว ชื่อฟลุ๊คกะล่อนก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ยังดีใจมากๆ ที่เวลาพูดถึงฟลุ๊คกะล่อนคนก็ยังรู้ว่าเป็นคนไหน เพราะเวลาคนดังในโซเชียลเขามักจะคิดว่าดังได้ดับได้ ต้องรีบกอบโกย เราก็กลัวมาตลอดตั้งแต่แรกเหมือนกัน แต่พอหนูมาทำยูทูบเป็นงานหลัก หนูรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าการรีบกอบโกยหรือรีบทำก่อนจะหายไป มันสามารถทำอะไรให้คนจำได้ รู้จักได้ตลอด

Flukkaron

คุณทำยูทูบโดยมีเป้าหมายอะไรไว้ในใจ

คนมีเป้าหมายก็ไม่ได้ผิดนะคะ แต่หนูแค่รู้สึกว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ แต่ทำไม่ได้ มันจะทำให้เราไม่มีกำลังใจที่จะทำต่อ หนูเลยไม่ตั้งเป้าหมายเลย ใช้วิธีคิดว่าถ้ามีโอกาสมาก็รับไว้ ทำงานทุกวัน แล้วก็ไม่เคยหยุดพัฒนา เพราะหนูจะดูคลิปฝรั่ง คลิปแต่งหน้า คลิปสอนทำอะไรใหม่ๆ ตลอด 

ถ้าไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ คุณมีอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนให้ขยันทำงานทุกวัน และสัญญากับผู้ติดตามว่าจะลงคลิปเดือนละ 15 คลิป

แค่ความชอบเลย หลายคนจะชอบคิดว่า อุ๊ย ต้องมีสปอนเซอร์ก่อนถึงจะทำคลิป แต่หนูทำคลิปใหม่ๆ ตลอดต่อให้ไม่มีสปอนเซอร์ ช่องหนูไม่ได้รับสปอนเซอร์เยอะอยู่แล้ว เดือนหนึ่งจะรับไม่เกิน 3-5 ตัว แต่หนูลงคลิปสิบกว่าคลิป สมมติลง 15 คลิป 5 ตัวอาจเป็นสปอนเซอร์ แต่อีก 10 ตัวคือทำเอง ไม่ได้มีลูกค้า ทำไปด้วยความชอบ เช่นหนูเป็นคนชอบแต่งหน้าอยู่แล้ว แล้วหนูก็รู้ว่าถ้าเราถ่ายลุคนี้ลงสตอรีไปคนจะต้องถามว่าแต่งยังไงแน่นอน งั้นเวลาเราแต่งหน้าเราก็อัดคลิปไปเลยสิ แล้วตอนลงสตอรีก็บอกเขาว่าเดี๋ยวรอดูคลิปนะคะ ถ่ายไว้แล้ว 

Flukkaron

ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปีที่ทำยูทูบจริงจัง คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง

อาจไม่เชิงเป็นการเรียนรู้ แต่ทำยูทูบแล้วหนูรู้สึกว่ามีเพื่อนเพิ่ม เพราะหลายๆ คอมเมนต์เป็นคนที่เขาดูจริงๆ เวลาที่ติเขาก็ติเพื่อให้เราปรับปรุง ซึ่งหนูไม่เคยเจออะไรอย่างนี้เลย ยูทูบเลยเป็นอีกหนึ่งที่ที่เรามีความทรงจำดีๆ

คุณจำคนที่มาคอมเมนต์คนไหนได้เป็นพิเศษไหม

คนที่คอมเมนต์จะมีน้องๆ เยอะนะ ตุ๊ดหัวโปก ลูกสาว มีคนหนึ่งที่หนูดูน้องเขาแต่งหน้าตั้งแต่ยังแต่งหน้าไม่เก่ง จนตอนนี้น้องเขาเก่งขึ้น และดังมากใน TikTok น้องเขาก็ทักมาขอบคุณ ทุกวันนี้เขาก็ยังติดตามอยู่

Flukkaron

ในฐานะคนที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับความสวยความงาม นิยามความงามในแบบของคุณคืออะไร

ไม่ได้มีนิยามเจาะจง แต่สำหรับหนูคือทุกคนสวยหมด หนูเชียร์อัพเรื่องนี้มาก เพราะว่าหนูไม่เชื่อเรื่อง beauty standard อยู่แล้ว หนูมีเพื่อนหลากหลายมาก ผิวดำ ผิวขาว แล้วหนูเองก็ไม่ได้สวยแบบ beauty standard แต่หนูยังบอกตัวเองเลยว่าหนูสวย แต่งหน้าเสร็จ ส่องกระจก อุ๊ย สวยมากเลยอะ หนูเลยบอกทุกคนเสมอว่าทุกคนสวย ตรงไหนที่เราไม่มั่นใจเราก็แก้ไข แต่ตรงไหนที่เรามั่นใจแล้ว แต่มีคนมาทักให้เราแก้ไข ไม่ต้องแก้ เพราะเรามั่นใจแล้ว หนูว่ามันต้องเริ่มที่เคารพตัวเองก่อน รักตัวเองมากๆ แล้วทุกอย่างคือจบ เพราะพอรักตัวเองปุ๊บ ไม่ว่าใครมาพูดยังไงไม่ต้องสนใจเลย

อย่างตัวหนูเอง คนอื่นเขาอาจมองว่าหนวดเป็นสิ่งที่ขัดลุคหรือเป็นจุดด้อย แต่พอหนูมั่นใจมากๆ แล้วโชว์ความมั่นใจนั้น โชว์ศักยภาพของเรา มันจะกลบสิ่งที่เขาบอกว่าเป็นจุดด้อยไป แต่จริงๆ หนูไม่คิดว่าคนเรามีจุดด้อยนะ อย่างช่วงนี้หนูชอบเอาอายไลเนอร์มาจิ้มทำขี้แมลงวัน ก็มีคนทักมาเป็นร้อยคนว่า “ขอบคุณค่ะที่ทำให้หนูมั่นใจ เพราะว่าหนูมีขี้แมลงวันเยอะมาก” หนูก็เพิ่งรู้ว่า เฮ้ย แค่ขี้แมลงวันจุดเล็กๆ ก็ทำให้คนไม่มั่นใจได้แล้ว หรือเมื่อเดือนที่แล้วที่หนูถ่ายแบบลุคผมหยิก ก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำให้คนที่ผมหยิกรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นได้ มันเหมือนว่าคนที่ถูกกดมาตลอด หรือถูกกลุ่มเพื่อนถูกสังคมบอกมาตลอดว่าแบบนี้ไม่สวย พอเขามาเห็นเราทำ เขาเลยรู้สึกว่าขี้แมลงวันก็สวยได้ ผมหยิกก็สวยได้ 

คุณมีความมั่นใจและพลังบวกเต็มเปี่ยมแบบนี้อยู่แล้วแต่แรก หรือมันเป็นสิ่งที่คุณต้องพยายามให้ได้มาเหมือนกัน

มาจากคนรอบข้างเลยค่ะ โดยเฉพาะแฟน เพราะแฟนหนูเสพแฟชั่นฝรั่งเยอะมาก โดยเฉพาะพวกคนดัง หรือผู้หญิงผิวดำ เวลาหนูใส่ชุดแล้วแฟนหนูบอกสวยปุ๊บ จบ เพราะหนูเชื่อสายตาแฟนหนู เขาอยู่กับหนูตั้งแต่หนูยังไม่มีหนวด ตั้งแต่หนูเป็นผู้ชาย จนตอนนี้หนูแต่งหญิงแล้ว เขาจะให้ความมั่นใจกับหนูตลอดว่าหนูสวยนะ แล้วเขาจะรู้จักหนูดี ต่อให้เขาเป็นคนเลือกชุดมาให้เราใส่ แต่ถ้าเขาเห็นหน้าแล้วว่าเราไม่มั่นใจ เขาจะถามเลยว่าเปลี่ยนไหม ถ้าไม่ชอบ ไม่มั่นใจ ทำตัวไม่ถูก เปลี่ยนเลย แค่นั้น

คุณทำยูทูบสม่ำเสมอจนตอนนี้มียอดซับฯ เกินล้านแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

ดีใจมาก ดีใจตั้งแต่แสนแรก เพราะทำยูทูบเป็นปีกว่าจะได้แสนแรก กับยูทูบหนูเองก็เริ่มใหม่เหมือนทุกคน หลายคนเห็นคลิปหนูแล้วก็ไม่กล้ากดดูด้วย เพราะจำภาพเก่าของฟลุ๊คกะล่อนในเฟซบุ๊กได้ คิดว่าเรายังไม่ได้มีอะไรพัฒนาไปจากเดิม เคยมีบางคนฟีดแบ็กมาว่าตอนแรกไม่กล้ากดดูเลย แต่พอลองเปิดใจดู อุ๊ย รู้งี้ดูตั้งแต่แรกแล้ว เพราะยูทูบเราแทบไม่ได้ตัดต่อเลย เราเริ่มจากการทำ vlog ยาว 40-50 นาที ให้คนดูได้เห็นมุมจริงๆ ของเรา ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งเลยเมื่อเทียบกับในเฟซบุ๊กที่ดูเป็นคนแรงๆ 

Flukkaron

สมมติถ้าย้อนกลับไปได้ จะยังทำคลิปแบบนั้นไหม

อยากทำให้เยอะกว่านี้ (ตอบเร็ว) หนูรู้สึกว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะไม่แก้ไข เพราะถ้าเราไม่ทำแบบนั้นในตอนนั้น เราก็คงไม่ได้เรียนรู้ หรือได้เปลี่ยนตัวเองมามากมายขนาดนี้ ตอนนั้นแค่กลัวว่าจะไม่มีตังค์เลยต้องทำทุกอย่างให้เป็นกระแส ให้คนแชร์ ให้มีงานเข้ามาให้ได้ เลยคิดว่ามันเป็นบทเรียนดีๆ และไม่คิดว่าจะแก้ไขหรือลบมัน ทุกวันนี้ในเฟซบุ๊กก็ยังขึ้นแจ้งเตือนอยู่ค่ะ ห้าปีที่แล้ว หกปีที่แล้ว เจ็ดปีที่แล้ว หนูยังขำ ยังส่งแชร์กันในกลุ่มเพื่อนเลยว่าตลกดี ทำไปได้ไงวะ แต่ก็ถือว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเป็นบันไดที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้

Flukkaron

แล้วทุกวันนี้ที่มีสถานะเป็นยูทูบเบอร์ล้านซับฯ แล้ว มีอะไรที่อยากทำในช่องแต่ยังไม่ได้ทำอีกไหม

สิ่งที่หนูทำมาตลอดคือไลฟ์สไตล์และการแต่งหน้า แต่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหนูเริ่มทำอีกสิ่งที่ชอบและคนชอบถามมาตลอดไม่ต่างจากการแต่งหน้า นั่นคือการแต่งตัว ก็เริ่มทำวิดีโอ lookbook หรือสอนแต่งตัวมากขึ้น 

และอีกเรื่องที่หนูอยากทำก็คือเรื่องของการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง LGBTQ+ เรื่องความเท่าเทียม หรือเรื่องอะไรที่เราศึกษามา เราก็จะพยายามเอามาพูด มาให้ความรู้ในคลิป อย่างเช่นคลิปเดินขบวน Pride ที่เพิ่งลงไปไม่นาน มันเป็นไวรัลอยู่ในหลายๆ ที่เลย ซึ่งหนูก็แอบตกใจนะ เพราะมันคือสิ่งที่คนเรียกร้องมาตั้งนานแล้ว แต่มันยังไม่ดังพอที่จะทำให้ทุกคนรับรู้ แต่พอเรามาพูดมันสามารถไปถึงคนได้ในวงกว้าง หนูเลยโอเค เข้าใจแล้วที่เขาบอกว่าคนมีชื่อเสียงมีเสียงดังกว่ามันเป็นยังไง

ในอนาคตคุณอยากเรียกร้องเรื่อง LGBTQ+ ในแง่มุมไหนมากขึ้น

มีอีกหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสมรสเท่าเทียม คำนำหน้าชื่อ การเลือกปฏิบัติ หรือพูดรวมๆ ก็คือเรื่องของการหมดยุคชายเป็นใหญ่ หนูพยายามศึกษา แล้วทีมคอนเทนต์ก็ช่วยส่งข้อมูลให้อ่านเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ซึ่งหนูก็จะอ่านแล้วจำ มาทบทวน แล้วก็เรียงเป็นคำพูดเราให้คนดูเข้าใจได้ง่ายขึ้น เป็นฟีลชาวบ้านคุยกันเลยค่ะ ไม่ได้สาระหรือทฤษฎีมาก 

กับประเด็นสมรสเท่าเทียม ในฐานะที่คุณเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันอยากแต่งงาน มีความคิดเห็นยังไงบ้าง

หนูคิดว่ามันเป็นความเท่าเทียมที่ควรเกิดขึ้นได้แล้ว มันควรหมดเรื่องของการกำหนดไว้ให้แค่ชาย-หญิง ซึ่งในรายละเอียดกฎหมายที่เขารณรงค์ให้แก้ไขกัน ไม่ว่าจะเรื่องของหมั้นหรืออะไรต่างๆ มันไม่ได้ตอบโจทย์แค่กับ LGBTQ+ นะคะ ชาย-หญิงก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ผ่านสักที ต่อให้คนไปลงชื่อเป็นแสนเท่าไหร่ก็ยังไม่ผ่าน

เมื่อไม่กี่วันมานี้หนูฟังพี่คนหนึ่งเขาพูดไว้ว่า ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมสมรสเท่าเทียมถึงไม่ได้ผ่านง่ายๆ ลองคิดดูสิว่าผู้นำเราเป็นทหาร ถ้าการแก้กฎหมายนี้ผ่านแล้วมีพวกเขากันเอง เช่นมีผู้พันกับนายร้อยรักกัน อยากแต่งงานกัน เขาจะรับได้เหรอ ก็เลยรู้สึกว่ามันคงยากกว่าจะผ่าน หรือถ้ามันจะผ่านเขาก็คงเอานั่นเอานี่ออก 

ต่อให้ไม่มีกฎหมายที่จะทำให้เราจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิที่พึงได้ คุณก็ยังยืนยันว่าอยากแต่งงาน

ยืนยันค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่าการแต่งงานมันคือการชวนทุกคนมาเป็นสักขีพยานและเป็นวันที่เราจะมีความทรงจำดีๆ มันเป็นความฝันหนูด้วยที่อยากใส่ชุดเจ้าสาว ทุกวันนี้ไม่รู้หรอกใครสวยสุด แต่วันนั้นหนูสวยสุดแน่นอน หนูคุยกับแฟนเล่นๆ มาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วแล้วว่าอยากแต่งงานริมทะเลจัง มีปีนี้ที่พูดคุยกันจริงจังขึ้น เพราะอยากแต่งปีหน้า เป็นปีที่ครบ 7 ปีที่คบกัน เป็นเลข 7 ปีอาถรรพ์พอดี แล้วก็ครบ 9 ปีที่คุยกันมาด้วย รู้สึกว่าเป็นเลขที่สวย ก็เลยอยากแต่งในวันครบรอบปีหน้า คือวันที่ 27 พฤศจิกายน  

แต่แน่นอนว่าหนูก็อยากให้มีสมรสเท่าเทียม เคยอ่านข่าวคนที่เขาคบกันมาเป็นสิบปี แล้วต้องเซ็น ต้องผ่าตัด แต่เซ็นไม่ได้ ทำให้คู่เขาเสียชีวิตไปเลย 

หลายๆ อย่างมันน่าจะคิดกันง่ายๆ แบบประเทศที่เจริญแล้วได้

ทำไมคุณถึงตัดสินใจออกมา call out ในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหลากหลายทางเพศหรือการเมือง

เอาจริงๆ ไม่ได้เรียกว่าเป็นการตัดสินใจ หนูรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราควรจะทำอยู่แล้ว ต่อให้เราไม่ได้มีชื่อเสียง เราก็ต้องออกมาพูด เพราะถ้ามองตามความเป็นจริง เราไม่เคยได้รับประชาธิปไตยเลย เราถูกกด ถูกบีบบังคับ ถูกเขากระทำโดยที่เราไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีคือโดนเขาเอาไปหมด ดังนั้นการเรียกร้องจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนคนหนึ่งควรจะทำและพึงจะทำ เพราะเมื่อมันสำเร็จขึ้นมา มันไม่ใช่ว่าจะมีแค่คนที่เรียกร้องที่จะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ให้ประโยชน์กับทุกคนทั้งหมด

แต่หลายคนมักกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วจะไม่มีลูกค้าเข้า หรือว่ายอดผู้ติดตามจะลดลง เอาจริงสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นกับคุณไหม

เคยค่ะ ตอนแรกไม่คิดเหมือนกันว่ามีจริง แต่พอถูกแคนเซิลงานไป 2-3 งาน โดนปลดจากงานพรีเซนเตอร์ที่เป็นแบรนด์ดังมาก หนูอยากทำมากๆ เพราะไม่เคยเป็นพรีเซนเตอร์มาก่อน หนูเลย อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง แต่หนูก็ไม่ได้หยุดพูดนะ ตกใจมากตอนที่โดนถอดแต่หนูก็ยังออกมา call out เหมือนเดิม หนูเชื่อว่ายังมีหลายๆ แบรนด์ที่ผู้บริหารเขามองเห็นความเป็นจริง และทุกวันนี้ก็ยังมีแบรนด์ที่ยังจ้างหนูเหมือนเดิม ไม่ได้หายไป ถึงมีที่ยกเลิกบ้าง แต่หนูก็ยังอยู่ได้ 

ความจริงหนูไม่จำเป็นต้องออกมาพูดก็ได้นะ อย่างตอนนี้ที่มีโควิดหนูไม่ได้เดือดร้อนเลย หนูอยู่ในสายงานนี้หนูสบายมากๆ แต่หนูออกมาพูดเพราะมันควรจะทำในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยากเรียกร้องในสิ่งที่ควรจะได้

นั่นคือสิ่งที่คุณเสียไป ในมุมกลับมีอะไรที่คุณได้รับจากการ call out ไหม

อาจไม่มีอะไรที่ได้กลับมาแบบเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน แต่ที่แน่ๆ คือหนูเห็นตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ และหนึ่งเสียงของเราที่พูดออกไป แฟนคลับเรา คนที่ติดตามเราหลายๆ คนที่ไม่ได้รู้เรื่อง ก็ได้รู้เรื่องจากที่เราโพสต์เราแชร์ และหนูเชื่อว่าในอนาคตมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย 

เราคุยกันเรื่องการเป็นกระบอกเสียงที่พูดกับประชาชนคนทั่วไป สมมติถ้าคุณสามารถเป็นกระบอกเสียงที่พูดกับผู้มีอำนาจในประเทศได้ล่ะ จะบอกพวกเขาว่ายังไง

ถ้าบอกได้ก็จะบอกว่า อยากให้เขาทำงานให้ถูกต้อง ไม่ได้ติดเลยค่ะว่าเป็นใครที่ทำหน้าที่ตรงนั้น แต่อยากให้ทำงานให้ถูกต้อง อยากให้เคารพภาษีที่คุณใช้กันเป็นเงินเดือน แล้วก็เคารพประชาชน เคารพเสียงของประชาชน ประชาชนสามารถวิจารณ์คุณได้ แล้วคุณต้องเอาเสียงวิจารณ์ของประชาชนไปปรับปรุงแก้ไขด้วย

ถ้าให้สรุป ในอนาคตคุณอยากเห็นสังคมเป็นแบบไหน

คำถามยากจัง เปล่า หนูโง่ไง 

ตอบในมุมมองตัวเองได้เลย

จริงๆ หนูโฟกัสที่เรื่องสวัสดิการของรัฐ อยากให้รัฐมีสวัสดิการที่ดีกว่านี้ คือมันเริ่มมาจากแม่หนูซึ่งหัวโบราณมาก เขามีความเชื่อเรื่องกตัญญู-อกตัญญูอยู่ และที่บ้านคาดหวังให้หนูเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แต่หนูรู้ตัวว่าไม่อยากเป็น แม่ส่งเรียนกวดวิชาหมดไปเป็นแสน แต่ตอนเข้าห้องสอบนายร้อย จปร. หนูเข้าไปนอนเลย พอผลออกมาก็ผิดหวังกันหมด แล้วแม่ก็มาพูดกดดันหนู “เนี่ย ดูลูกคนอื่นสิ เขาเลี้ยงพ่อแม่ตั้งแต่กี่ขวบ” ซึ่งที่เขาเป็นแบบนี้ มันเป็นเพราะว่าในบั้นปลายชีวิตเขามันไม่มีอะไรมารองรับไงคะ อย่างต่างประเทศ พอเรามีอายุ เราแก่ เขาจะมีสวัสดิการที่รองรับ เราไม่ต้องมาหวังว่าลูกจะกลับมาเลี้ยงหรือไม่กลับมาเลี้ยง ลูกจะกลับมาไหม นั่นเป็นเรื่องของคนคนนั้น ถ้าเขาไม่ได้กลับมาเลี้ยงก็ไม่ได้แปลว่าเขาผิดหรือเขาอกตัญญู เพราะทุกคนต่างมีชีวิตของตัวเอง

หนูเคยพูดกับเขาตรงๆ แบบนี้แหละว่า แม่อย่ามาคาดหวังว่าหนูโตไปจะต้องเลี้ยงแม่นะ เพราะทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ที่แม่เลี้ยงหนูมาก็เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของแม่ เพราะแม่ต้องการมีลูก แม่มีความสุขที่ได้ท้องหนู แต่หนูไม่ได้ขอแม่มาเกิดนะ ที่แม่เลี้ยงหนูมาดีมาก หนูก็ต้องขอบคุณ ถ้าวันหนึ่งหนูประสบความสำเร็จ หนูไม่มีทางที่จะลืมแม่อยู่แล้ว เพราะแม่ก็คือแม่ แต่ถ้าวันหนึ่งหนูไม่ได้ประสบความสำเร็จ หรือหนูไม่ได้มีอะไรให้แม่ล่ะ แม่จะมาคาดหวังไม่ได้

หนูเข้าใจแม่ว่าในเมื่อมันไม่มีอะไรมารองรับซัพพอร์ตแม่ เขาก็ต้องหาที่พึ่งก็คือลูก แล้วไม่ใช่แค่แม่หนู​ หลายๆ คนก็เชื่อแบบนี้เหมือนกัน เขาจะชอบพูดกันว่า “รีบมีลูกสิ เดี๋ยวไม่ทันใช้” แต่หนูว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น ก็เลยอยากให้ในอนาคตประเทศเรามีสวัสดิการที่รองรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือคนตกงานก็ตาม

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน