Faces of Anne (แอน) คือภาพยนตร์ไทยที่สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่โปสเตอร์โปรโมตหนังถูกปล่อย ด้วยการรวบรวมศิลปินและนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ที่หลายคนรู้จักอย่างคับคั่ง ทั้งยังเป็นผลงานกำกับร่วมกันของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้กำกับที่แฟนหนังอินดี้รู้จักกันดี และ ราสิเกติ์ สุขกาล ผู้ออกแบบงานสร้างมากฝีมือ
ก่อนหน้านี้คงเดช เคยฝากผลงานไว้ทั้ง เฉิ่ม (2548) Snap แค่ได้คิดถึง (2558) และ Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า (2562) เขามักเล่าเรื่องราวสังคมที่ซ้อนทับอยู่เบื้องหลังไปกับตัวละครอย่างแนบเนียน ไม่ว่าอย่างไรสังคมก็ส่งผลต่อตัวละครในทางใดทางหนึ่ง
ครั้งนี้เขายังคงใส่เรื่องราวของสังคมไทยในเบื้องหลังเช่นเคย แต่ไม่ได้เล่าเรียบง่ายอย่างที่ผ่านมา ในเรื่อง Faces of Anne เรียกได้ว่าเป็นหนังแมสที่เพิ่มระดับความความตื่นเต้น และเร้าอารมณ์ของผู้ชมมากกว่าเรื่องก่อนๆ ด้วยแนว Psychological Thriller หรือหนังจิตวิทยาแนวระทึกขวัญ เล่นกับความสั่นประสาทในจิตใจคน
นอกเหนือไปจากพล็อตเรื่องแล้ว การออกแบบโปรดักชั่นยังช่วยขับเน้นความลึกลับ ความกลัว และความหลอนได้เป็นอย่างดี ทำให้หนังเรื่องนี้มีหลายฉากที่น่าจดจำ ด้วยองค์ประกอบภาพที่ถูกจัดวางอย่างลงตัว
หนังเล่าถึงกลุ่มหญิงสาวที่ตื่นมาด้วยความทรงจำเลือนราง ในสถานที่ปริศนา พวกเธอไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มีแต่หมอและพยาบาลที่บอกกับเธอได้ว่าพวกเธอทุกคนต่างชื่อ ‘แอน’ และมาที่นี่เพื่อนึกให้ออกว่าเธอคือใครกันแน่ ขณะเดียวกันทุกๆ คืน พวกเธอต้องคอยหนีจากการตามล่าของ ‘เวติโก’ ปีศาจหัวกวางที่พยายามจะฆ่าทุกคน และคนที่เป็นแอนตัวจริงเท่านั้นจึงจะเป็นผู้อยู่รอด
ในช่วงแรกพาทุกคนไปสำรวจโลกที่อยู่รอบๆ ของหญิงสาวที่ชื่อแอน ในมุมมองของคนดูและตัวละครที่มีข้อมูลเท่ากัน นั่นคือเราในฐานะคนดูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นี้พอๆ กับแอน ไม่ว่าจะเป็นคำถามว่า ทำไมใบหน้าของหญิงสาวจึงต้องเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นทุกๆ 2 นาที พวกหมอกับพยาบาลกำลังปิดบังความจริงอะไรอยู่ และเวติโก ปีศาจหัวกวางนี้มาจากไหน และทำไมต้องตามล่าเด็กสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย นำมาซึ่งความอึดอัดและพยายามหาเหตุผลและแรงจูงใจของตัวละครทั้งหมด
ก่อนที่ช่วงครึ่งที่สองหนังค่อยๆ เผยข้อมูลของแอนทีละน้อย จนคนดูเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวและที่มาที่ไปของเด็กสาวทั้งหมด ซึ่งนำไปสู่บทสรุปสุดท้ายที่ทำให้ทุกคนอึ้งและสะเทือนใจในเวลากัน
Faces of Anne เป็นหนังไทยอีกหนึ่งเรื่องที่เล่าเรื่อง high concept ได้อย่างน่าสนุกและชวนติดตาม แม้จะทิ้งปมต่างๆ ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง รวมถึงความไม่เมกเซนส์บางอย่างของตัวละครแอนในช่วงเริ่มแรก แต่ท้ายที่สุดก็ถูกคลี่คลายได้ค่อนข้างสมเหตุสมผลในเวลาต่อมา โดยไม่ปล่อยให้คนดูต้องรู้สึกค้างคาใจ ขณะเดียวกันก็ยังคงทิ้งความหมายของฉาก คำพูด และการกระทำให้คนดูได้ถกเถียงและตีความกันต่อ เรียกได้ว่าสามารถสร้างความรู้สึก ‘หนังจบ แต่คนไม่จบ’ ได้อย่างดี
ภายใต้ความหลอนและลุ้นระทึกไปกับการไล่เชือด ประเด็นการเมือง เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ผู้ชมหนังของคงเดชคุ้นเคย สิ่งที่เขาทำได้ดีมาตลอด คือการนำเหตุการณ์ในสังคมเข้ามาเป็นหนึ่งในแรงผลักดันของตัวละครในเรื่องด้วย จึงทำให้การเมืองในเรื่องนี้ถูกเล่าอย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไม่รู้สึกขัดใจนัก ในสังคมที่ป่วยไข้ย่อมสร้างบาดแผลในจิตใจให้กับคนที่อยู่ในเมืองนั้น เพราะเหตุนี้จึงมีอีกหลายคนต้องพยายามกลายเป็นใครคนอื่น แม้จะต้องอดทนต่อความอึดอัดกับการไม่สามารถเป็นตัวเองได้ก็ตาม
ขณะเดียวกันหนังก็พาเราไปสำรวจด้านอื่นๆ ที่เด็กสาวต้องเผชิญ ทั้งบาดแผลในจิตใจ การค้นหาตัวตน และการแสวงหาพื้นที่ของตัวเอง ไม่ต่างจากเราหลายคนที่ครั้งหนึ่งย่อมมีช่วงเวลาเหล่านั้นเช่นกัน ต่างกันที่บริบทของสังคมแต่ละยุคสมัยเท่านั้นเอง
เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงเป็นแอนของนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ถึง 24 คน เช่น ก้อย-อรัชพร โภคินภากร, ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง, นาน่า-ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์, ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์, วี-วิโอเลต วอเทียร์, มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์, เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ, อุ้ม-อิษยา ฮอสุวรรณ และ มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร ซึ่งเชื่อได้ว่าทุกคนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของแอนได้อย่างที่ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง ขณะเดียวกันก็สามารถเป็นแอนที่ทุกคนจดจำได้ในซีนของตัวเอง โดยที่ไม่มีบทของใครคนใดคนหนึ่งกลบไป
หนังเรื่องนี้หากเข้ามาดูเพื่อรับความรู้สึกลุ้นระทึกจากการไล่ล่า และฉากฆาตกรรมเลือดสาดก็คงไม่ผิดหวังนัก เพราะถูกแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง มาพร้อมกับซาวนด์หลอนๆ และเปลี่ยนเพลงรักหวานซึ้งในปลายยุค 60 อย่างเพลง ‘เป็นไปไม่ได้’ ของวงดิอิมพอสซิเบิ้ล ให้กลายเป็นเพลงสยองขวัญได้เมื่อเพลงถูกเล่นขึ้นทุกครั้งที่ปีศาจกวางเวติโกออกล่า
ขณะเดียวกันหากจะบอกว่าถ้าใครชอบดูหนังที่ต้องขบคิดและตีความ หนังไทยเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน เพราะหนังชวนผู้ชมคิดอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่เปิดเรื่องเพื่อตามหาชิ้นส่วนที่หายไป
ถือเป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเล่าเรื่องด้วยรสชาติแปลกใหม่ที่คนไทยหลายคนโหยหา ไปพร้อมๆ การถ่ายทอดเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของแอน เด็กสาวที่มีภารกิจตามหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองให้เจอ เพื่อเผชิญหน้ากับโลกอันโหดร้ายที่รอคอยเธออยู่เบื้องหน้า