คงเดช จาตุรันต์รัศมี : ชายผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยคำถาม และการกลับมาในรอบ 9 ปีของ ‘รักเปื่อย’

ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่มีความสามารถพิเศษที่หลากหลาย
ต้นเหตุมาจากนิสัยช่างตั้งคำถาม
และปล่อยให้ชีวิตพาไปเรียนรู้ลองเป็นคนในวงการต่างๆ ตั้งแต่คนเขียนบท ผู้กำกับหนัง
โฆษกโฆษณา นักดนตรีเท้าไฟ หรือแม้กระทั่งคนเขียนการ์ตูน รักเปื่อย
หนังสือภาพเล่าเรื่องความรักน้ำเน่าปนน้ำหนองของซอมบี้ ‘สมบัติ’ ที่ตัดสินใจขึ้นมาโลกมนุษย์เพื่อสารภาพรักสาวในดวงใจ
ด้วยสีสันสดใส พร้อมลายเส้นเฉพาะตัว ไว้เมื่อ 9 ปีก่อน

ในฐานะแฟนหนังสือของคงเดชที่หาซื้อ
รักเปื่อย
และ สองหัวใจในจักรวาล มาไว้ในครอบครองไม่ได้ตลอดหลายปี เราใจเต้นแรงทันทีเมื่อรู้ว่าเขากลับมาปลุกซอมบี้ชื่อ
‘สมบัติ’ ให้ตื่นขึ้นในรักเปื่อยอีกครั้งตามคำชวนของบรรณาธิการสำนักพิมพ์ Geek Book ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามว่าการ์ตูนเรื่องนี้สำคัญอย่างไร
ทำไมเขาต้องนำมาปรับปรุงอีกครั้ง

ตอนทำภาพยนตร์ แต่เพียงผู้เดียว เรื่องราวของช่างทำกุญแจกับหนุ่มร้านขายหนังสือ ที่ชอบไขกุญแจเข้าไปในห้องคนไม่รู้จัก เขาคิดขึ้นจากคำถามว่า ‘เราเป็นใครกันแน่ อะไรคือตัวเรา’

ส่วนตอนทำหนังสือเรื่อง รักเปื่อย
เขาคิดขึ้นจากคำถามว่า ‘ความรักของคนจะเน่าสลายไปพร้อมร่างกายที่เน่าเปื่อยหรือไม่’

วันนี้เขายังคงยืนยันเหมือนเคยว่า
“เราทำงานอยู่กับการตั้งคำถามในชีวิตเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าคำถามอาจจะเปลี่ยนไป”

เวลาทำหนังเริ่มจากการมีคำถาม แล้วค่อยๆ คลี่คลายระหว่างทำงาน
แล้วกับการเขียนการ์ตูนล่ะคะ คุณเริ่มต้นจากอะไร

เราใช้วิธีการนั้นในการทำงานทุกชนิดแค่เปลี่ยนเท่านั้นเอง แต่ว่าด้วยธรรมชาติของสื่อแต่ละแบบช่วยให้การคลี่คลายคำถามออกมาในลักษณะที่ต่างไป

การเขียนการ์ตูนเป็นการทำความเข้าใจตัวเองในอีกบรรยากาศหนึ่ง เรานั่งทำงานคนเดียวจริงๆ
ต่างจากเวลาทำหนังที่ต้องดีลกับคนเป็นสิบๆ ดีลกับสภาพอากาศ การจราจร สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เสมอ
เช่น ซีนนี้วาดภาพไว้ว่าอยากได้แดดอ่อนๆ แต่จู่ๆ ฟ้าครึ้มๆ ก็ต้องถ่ายแล้วสรุปว่า เฮ้ย ดีกว่าถ่ายตอนแดดอ่อนๆ อีก เลยได้บทเรียนว่า เราก็เป็นแค่มนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเท่านั้นที่ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง

นี่คือความประเสริฐของอาชีพนี้ที่ทำให้เราเลิกไม่ได้ ทั้งที่ทุกคนด่าทอว่าอาชีพนี้ไม่มีจะกิน
อุตสาหกรรมแย่ แต่เราก็เลิกไม่ได้
เพราะช่วงเวลาพวกนี้เหมือนเป็นรางวัลให้ชีวิตตัวเองเหมือนกัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นการเขียนการ์ตูนหรือทำหนัง
การตั้งต้นเรื่องราวจากคำถามต่างๆ
นานามันมักส่งคำถามกลับมาสู่คนทำในอีกแบบหนึ่งระหว่างทำงานเสมอ

แทนที่จะได้คำตอบ ดันกลายเป็นว่าเรามีคำถามต่อเรื่อยๆ

ใช่ หนังทุกเรื่องของเราส่วนใหญ่ไม่มีคำตอบจริงๆ
แล้วเราก็รู้สึกสมานใจกว่าที่มันเป็นแบบนี้ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ล่ะ

หนังทุกเรื่องของเราเป็นอย่างนั้นด้วย
มันส่งเสียงแล้วก็จะโยงเราไปสู่คำถามใหม่
ช่วงเวลาที่เริ่มเขียนบทจะไม่ได้มาเป็นบท แต่เป็นก้อนไอเดียเล็กๆ
ต่อยอดแตกออกมาเป็นไดอะแกรมที่มั่วมากในกระดาษหนึ่งแผ่น เลยไม่แปลกนะที่มันจะเต็มไปด้วยคำถามต่อไปเรื่อยๆ

การที่มีคำถามทำให้เราเจ็บปวดตลอดเวลา
เพราะคำตอบที่เราเจอไม่ใช่คำตอบประโลมใจ หรือ Life Coach บางทีก็อิจฉาพี่ชายคนโตเราผู้ซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่แวดวงนี้
ขายของรับช่วงต่อจากคุณพ่อ เปิดร้าน แล้วก็ไม่มีคำถามมากมาย นี่ก็เป็นชีวิตที่ดีที่สุดอยู่เหมือนกัน

ช่วงทำหนังติดกันหนักๆ คิดถึงชีวิตพาร์ตอื่นบ้างไหม

ช่วงอยู่กับหนังมากๆ เราก็คิดถึงเงินเหลือเกิน ลูกก็โต รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มันคือความไม่มั่นคงของชีวิต เราดีลกับสิ่งนี้มาตลอดยี่สิบกว่าปีตั้งแต่เรียนจบ
ที่ผ่านมาเราก็บาลานซ์ตัวเองตลอด ทำงานบางอย่างเพื่อเงิน
แล้วก็ทำงานบางอย่างเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองด้วย
แต่เราคิดว่าไอ้งานที่บางครั้งไม่ได้อยากทำ หรือในที่สุดมันบัดซบ
ก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่ดี แบบ
เดี๋ยวเจอกูแน่! (ยิ้ม)

ครั้งหนึ่งเราทำเสียงโฆษก ไปร้องเพลงโฆษณาให้ลูกค้า ลูกค้าบอกว่าลองทำเสียงเป็นติ๊ก
ชิโร่ ได้ไหม เราก็เสือกร้องได้เว้ย สนุกกันใหญ่เลย วันนั้นเรากลับบ้านแบบโกรธโลกมาก
เจอหน้าเมียบอกว่า เธอรู้ปะเมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนโสเภณีมาก เหมือนจู่ๆ
มีผู้ชายมาบอกว่าไหนลองยกก้นหน่อยซิ แต่นั่นล่ะ มันผลักดันชีวิตเรา เรื่อง suck
suck มันเป็นเรื่องจำเป็นในการมีชีวิตว่ะ

แล้วไม่คิดถึงพาร์ทที่ไม่ suck อย่างการเขียนการ์ตูนที่เป็นความฝันแรกในวัยเด็กบ้างหรอ

คิดถึงสิ แต่เราคิดว่าช่วยไม่ได้ว่ะ จะมา Nostalgia
อยากย้อนทำสิ่งที่ไม่มีทางกลับมาได้แล้วไปทำไม ตัวเราเองก็เปลี่ยนไป

แล้วทำไมคงเดชถึงตัดสินใจนำ รักเปื่อย กลับมาปรับปรุงอีกครั้ง มันสำคัญกับเรายังไง

รักเปื่อย เป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่เริ่มจากตอนเราเพิ่งทำภาพยนตร์เรื่อง เฉิ่ม เสร็จ แล้วเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ก็บอกว่า
มึงทำหนังผีสิ กูว่ามึงทำหนังผีได้น่ากลัวแน่ๆ เราก็อยากทำหนังผี แต่แล้วจู่ๆ ก็คิดไอเดียเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เนี่ยล่ะผีสุดของกูละ แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่
เลยไม่เอาไปเสนอเสี่ยดีกว่า แต่ยังคงชอบไอเดียนั้นมากๆ

ตอนนั้นคิดว่าถ้าทำเป็นหนังอยากทำเป็นหนังขาวดำแบบ Tim
Burton เป็น Stop motion แบบ Ed Wood เพราะรู้สึกว่ามันเหมาะกับตัวเรื่องตัวคาแรกเตอร์ด้วย แต่ก็น่าจะแพง เพราะมีไอ้นู่นหลุดไอ้นั่นหลุดตลอดเวลา
ไอเดียนี้เลยถูกเก็บเอาไว้

แต่ว่าเราชอบวาดการ์ตูนมาตลอด
หมายความว่าเราเป็นคนที่เวลาคิดงานคิดเรื่องอะไร ก็จะสเกตซ์ขึ้นมา
เราก็วาดไอ้สมบัติ (ตัวละครหลักของ รักเปื่อย) ขึ้นมาเป็นการ์ตูนๆ โดยไม่ได้คิดอะไร
พอทำกอดเสร็จ ก็มีสำนักพิมพ์เขารู้ว่าเราชอบวาดการ์ตูน เลยชวนมาออกการ์ตูนอะไรด้วยกันสักเล่ม เราเลยนึกถึงเรื่องนี้
เอาไปคุย และก็เริ่มพัฒนา ซึ่งก็ให้ผลที่ต่างจากการทำหนังเหมือนกัน เพราะนั่งทำคนเดียว
อย่างที่บอกเราไม่ต้องนั่งดีลกับพวก CG กับสภาพอากาศอีกต่อไปแล้ว แกจะวาดจะเขียนให้มีหนอนสักกี่ตัวก็ใส่เข้าไปได้

ตอนที่จี-จีระวุฒิ เขียวมณี (บ.ก. Geek Book) ถามเราว่าพี่เอา รักเปื่อย มาพิมพ์อีกครั้งได้ไหม
เราก็เอาเล่มเก่ามานั่งอ่าน แล้วค้นพบว่า 9 ปีที่แล้วเหรอวะเนี่ย มันเขิน
เหมือนตื่นขึ้นมาเปิด Facebook มาเตือน On this day ว่าหลายปีก่อนโพสต์ว่าอะไรอะ บางทีแม่งก็ช็อก กาลเวลาเผยสิ่งนั้นออกมากระจ่างแจ้ง
มันซ่อนไม่ได้หรอก เป็นเรื่องปกติ
เราเคยคุยกับพี่ต้อม (เป็นเอก รัตนเรือง) แกก็บอกว่าเราไม่กล้าดูหนังเก่าๆ
ของตัวเอง แต่เป็นผมก็ดูได้นะพี่ จะเขินหน่อยๆ
เห็นอะไรเสี่ยวๆ ก็โอเค ยอมรับมันไป ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

พอตอนนี้เราเปลี่ยนไป
เลยบอกจีว่าพี่ขอเขียนตอนพิเศษเพิ่มอีกหน่อยเถอะ
ส่วนพิเศษนั่นก็คือมุมมองต่อชีวิต 9 ปีถัดมาของกูว่ะ
แล้วอย่างที่รู้คือมีตัวละครหนึ่งที่ไม่ตายว่ะ กูอยากรู้ว่า 9
ปีต่อมามันจะเป็นยังไง

รอบที่เขียนเติมเข้าไปเราก็พบว่าตัวละครตัวนั้นมันเศร้ามากแค่นั้นเอง
เป็นคนที่เศร้าแต่ก็ไม่ค่อยรู้ตัวเองว่าเศร้าอยู่
เช่นเดียวกันกับนางเอก Snap แค่…ได้คิดถึง ตอนจบชีวิตมันเศร้านะ แต่มันไม่ค่อยรู้หรอก
เพราะเป็นคุณนายทหารไปแล้ว คนเราบางทีก็มีโมเมนต์ที่เราก็ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะอะไร
บางทีมันก็จุกๆ แต่บางทีชีวิตก็แบบนี้ล่ะ

การเขียนการ์ตูนมันเหมือนการบันทึกตัวเอง รักเปื่อย บอกว่าตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่
แล้วมันไม่เคยหลอก มันซื่อสัตย์มาก ตรงไหนมันเสี่ยวก็จะเสี่ยว

พอตอนนี้เราเปลี่ยนไป เลยบอกจีว่าพี่ขอเขียนตอนพิเศษเพิ่มอีกหน่อยเถอะ ส่วนพิเศษนั่นก็คือมุมมองต่อชีวิต 9 ปีถัดมาของกูว่ะ

แต่เราชอบความเสี่ยวของ รักเปื่อย เมื่อ 9 ปีที่แล้วมากเลยนะ

อีก 9 ปีข้างหน้าอาจคิดอีกอย่างหนึ่งก็ได้นะ
เราเชื่อว่าเวลามันจะค่อยๆ โบยตีเราแน่ๆ ยิ่งแก่ตัวไปแผลก็ยิ่งมากขึ้น
ทำให้เราไม่สามารถมองอะไรได้ด้วยมุมมองเดิมในอดีตได้ ต่างกันแค่ว่าจะโดนโบยแบบแรงๆ
หรือว่าแค่หยิกหู ใครไม่เปลี่ยนเลยเราว่าชีวิตบัดซบมาก
แสดงว่ามึงไม่ได้เรียนรู้หรือถูกชีวิตกระทำอะไรเลยหรอ

แต่ถ้าวันหนึ่งเราเปลี่ยนไปเป็นคนที่เราไม่อยากเป็นล่ะ

นั่นแหละ! ประเด็นอยู่ตรงนั้นเลย เราน้อมรับมัน
เพราะแก้ไขอะไรไม่ได้ เพียงแค่พยายามรักษาตัวเองไม่ให้กลายเป็นคนที่เราเกลียด
แค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ

มันมีโมเมนต์ที่เราเสียดายตัวตนที่เคยสดใสกว่านี้บ้างหรือเปล่า

จริงๆ แล้วเราไม่เคยสดใส เราว่าไอ้ความแรดของเพลงในวงสี่เต่าเธอคือ escape
ของวงเรา เรานี่เป็นวงที่ถ่มถุยชีวิตตัวเองทั้งวงเลย มันถึงอยู่กันได้
ดังนั้นการทำเพลงถึงได้ออกมาสดใส เราเลยต้องเขียนเพลงที่มีตัวละครเป็นคนขี้แพ้คนนึง
กลางวันก็คงทำงานออฟฟิศและคงไม่มีใครจำมันได้ พอตกกลางคืนมันเข้าไปที่คลับ และทำให้
4 นาทีนั้นทุกคนจำมันได้ และมันก็จะกลับบ้านไปมีชีวิตอันบัดซบเหมือนเดิม
มันเป็นทัศนคติแบบสี่เต่าเธอ

รสชาติชีวิตตอนนี้ลดลงบ้างไหม

เราไม่แน่ใจว่ามันลดลงหรือเปล่า เรามองหารสชาติอีกแบบมากกว่า
อาจจะชอบหนังที่เงียบลง ตัวละครที่ธรรมดาขึ้น
ไม่ต้องถูกปรุแต่งให้จี๊ดให้ฮิปเท่าไหร่

9 ปีผ่านไป มีด้านไหนในตัวคุณที่ไม่เคยเปลี่ยน

เรายังคงทำงานอยู่กับการตั้งคำถาม
ยังคงไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวงการไหนตลอดทั้งชีวิต บางทีก็เคว้งๆ เหมือนกัน
แต่ทุกวันนี้ก็ลอยตัวไปเรื่อยไม่ได้รู้สึกอะไร คือคิดดูนะ จู่ๆ
อยากมีแล้วมันจะมีได้จริงๆ เหรอ จู่ๆ อยากไปอยู่ตรงนั้นมันจะไปอยู่ได้เลยจริงๆ หรอ
เราไม่สามารถแบบ เฮ้ยๆ แกเราขอร่วมด้วยดิ

อย่างตอนทำวงดนตรี วงเราก็ไม่ได้เป็นนักดนตรีจ๋า เวลามีคนมาบอกว่า เฮ้ย! กูชอบเพลงมึงมาก วันหลังมาแจมดิ เราก็คิดว่า แจมเหี้ยไร
เพลงตัวเองยังเล่นไม่ค่อยรอดเลย (ยิ้มขำ) ตอนเขียนการ์ตูนก็เขียนด้วยความอยากเขียน
ไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นอาชีพ ผ่านมา 9 ปีเราเขียนเล่มนี้ กับ สองหัวใจในจักรวาล
แล้วก็ไม่ได้เขียนอะไรอีกเลย จะให้ไปทำตัว เฮ้ย! เราแจมด้วยนะเราเป็นนักเขียนการ์ตูน
มันก็ไม่ใช่

พอทำหนัง เราดันเริ่มต้นในสตูดิโอที่อะไรๆ
ในวงการภาพยนตร์กำลังเปลี่ยน ผู้กำลังที่เราต้องไปเจอก็รู้สึกว่าคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
เขามีคอมมูนิตี้กัน เราก็มองห่างๆ
พอมาทำหนังอิสระก็มีกลุ่มของเขามาแต่ไหนแต่ไร
เราก็ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของฝั่งนั้น บางทีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนังเรามัน
independent
หรือ mainstream กันแน่ เพราะตอนทำตั้งต้นจากคำถาม

มีสิ่งเดียวในชีวิตที่รู้สึก belong to ก็คือ ลูกกับเมีย พวกเขาเป็นยูนิตเล็กๆ ที่เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
วันไหนที่งอนกับเมียเราจะรู้สึกฉิบหายวายป่วงมาก

พอเป็นคนทำงานจากคำถาม ตอนนี้มีไอเดียหรือคำถามอะไรที่ผุดขึ้นมาในใจบ้าง

ตอนนี้มีไอเดียที่เรายังไม่รู้จะเอาไปทำกับสื่อไหน อาจจะเป็นการ์ตูนก็ได้
เราอยากเขียนเรื่องในหัวข้อว่า ‘มนุษย์ไม่เคยดีขึ้น’ ไอเดียนี้เริ่มมาช่วงปีสองปีนี้นะ คือเราหมดหวังในตัวมนุษย์มากขึ้น บทเรียนต่างๆ ในประวัติศาสตร์ไม่ได้ช่วยให้เราตัดสินใจอะไรดีขึ้นเลย
เราเก่งในแง่การสร้างเครื่องมือที่จะมาหลอกว่าตัวเราดีขึ้น หลอกตัวเองเก่งขึ้น แต่ว่าไม่เคยดีขึ้นเลย
ยังคงทำลายตัวเอง ทำลายกันและกันอยู่เรื่อย

อย่าง Facebook ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือบางอย่างที่ว่านั่นด้วยรึเปล่า

ใช่ อะไรพวกนั้น คือเรามีแต่ของพรรค์นี้มากขึ้น
แล้วเราเสือกเชื่อด้วยว่าเราดีขึ้น

เราหลอกตัวเองเก่งขึ้น แต่ว่าเราไม่เคยดีขึ้นเลย ยังคงทำลายตัวเอง
ทำลายกันและกันอยู่เรื่อย

จะเป็นไปได้ไหมว่าคงเดชกำลังจะมีเล่มต่อไป

อยากมีนะ แต่ตอนนี้งานท่วม

งั้นถ้าให้เลือกเป็นตัวละครตัวหนึ่งใน รักเปื่อย คงเดชจะเลือกเป็นใคร

เออว่ะ เป็นอะไรดีวะ เป็นจ่าแม้นดีมั้ย (หัวเราะ) เอาจริงๆ
เวลาเขียนการ์ตูนเรื่องไหนก็ตามในที่สุดตัวเอกหลักก็จะมีความเป็นร่างทรงเราอยู่ดี เพราะทำงานกับคำถาม
ดังนั้นเราคือตัวละครหลักที่ต้องมาเจอแบบฝึกหัดต่างๆ เวลาเจอบทท้าทายนี้แม่งจะเลือกตัดสินใจยังไง
นั่นก็คือการถามตัวเองแบบหนึ่ง เราก็คงไม่ต่างอะไรจากสมบัติ
และก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดไปกว่าสมบัติเท่าไหร่

เราก็คงไม่ต่างอะไรจากสมบัติ และก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดไปกว่าสมบัติเท่าไหร่

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR