อุดม แต้พานิช : ชีวิตหมู่นี้ของ stand-up comedy มือหนึ่ง

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชายคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาทำ stand-up comedy ในยุคสมัยที่คำคำนี้ยังเป็นคำแปลกประหลาดในประเทศ และที่ยากกว่าการขึ้นไปยืนอยู่บนเวที คือการยืนระยะ จากวันแรกจนถึงวันนี้ เขาจัดเดี่ยวไมโครโฟนมาแล้ว 11 ครั้ง-ยังไม่นับโชว์ครั้งยิบย่อยระหว่างนั้น
รวมเวลายาวนาน 21 ปี เราจึงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อรู้ว่าชายคนนี้กำลังจะทำโชว์ซึ่งแตกต่างจากทุกครั้ง โชว์ที่ทำให้อะดรีนาลีนของเขากลับมาไหลเวียนสูบฉีด เขาเรียกโชว์นี้ว่า ‘หมู่’

อธิบายอย่างกระชับ, ถ้า ‘เดี่ยวฯ’ คือการขึ้นไปบนเวทีเรียกเสียงหัวเราะเพียงลำพัง ‘หมู่’ ก็คือการขึ้นไปบนเวทีเรียกเสียงหัวเราะกันเป็นหมู่คณะ ร่วมกับเหล่าเพื่อนๆ ของเขาที่ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อที่เราคุ้นหู อาทิ ตูน บอดี้สแลม, โจอี้ บอย, ปาล์มมี่, ฟักกลิ้ง ฮีโร่, สิงโต นำโชค, โจ๊ก โซคูล, ติ๊ก ชิโร่, ตู่ ภพธร และอีกมากมายที่รอไปเซอร์ไพรส์ในงาน

แม้จะออกตัวว่าไม่ใช่คนตลกโดยธรรมชาติ แต่บทสนทนาระหว่างเรากับ อุดม แต้พานิช ก็แทบจะมีเสียงหัวเราะทุกสามนาที บางประโยคเอามาเขียนเล่าได้ในบทสัมภาษณ์บรรทัดถัดไป บางประโยคเราต้องเก็บกุมไว้ให้ทุกคนไปชมใน ‘หมู่’ แล้วเชื่อว่าจะหัวเราะจนเสียบุคลิกไม่ต่างจากเรา

ทำเดี่ยวไมโครโฟนมา 11 ครั้ง ทำไมครั้งนี้หันมาทำ ‘หมู่’

หมู่เป็นไอเดียที่อยู่ในหัวมาตั้งหลายปีแล้ว พูดให้คนรอบตัวฟังตลอดเลยว่ากูทำเดี่ยวฯ แล้ว กูอยากทำหมู่ ชวนคนที่เราสนใจมาอยู่รวมกันแล้วทำซีนอะไรใหม่ๆ ผมมีความทรงจำดีๆ กับรายการอย่าง วิก 07 ผมเกิดมาจากการเป็นตัวประกอบตรงนั้น มีอะไรบางอย่างในรายการ ยุทธการขยับเหงือก ที่ผมชอบ การแกล้งบางอย่างเหมือนการเอาชุดความรู้ประสบการณ์ในอดีตมาใช้ แล้วผมจะทำมันใหม่ ในภาษาใหม่ ในยุคสมัยนี้

ชอบอะไรในบรรยากาศแบบ วิก 07 หรือ ยุทธการขยับเหงือก

การซ้อม การคุยบท การเดินไปบล็อกกิ้ง การแต่งตัว น่าจะเป็นวิญญาณของละครเวทีที่หลายคนหลงใหล มันเหมือนออกค่ายด้วยกัน ได้ซ้อมด้วยกัน มีความสัมพันธ์กันหลังเวที แล้วพอออกไปหน้าเวทีมันเหมือนการเล่นวอลเลย์บอลที่ได้เซ็ตลูกสวยให้เพื่อนตบ อย่างเวลาเห็นปลื้มจิตกระโดดขึ้นไปก่อนลูกจะมา แล้วลูกก็ลอยมาใส่มือ สงสัยมั้ยว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเพื่อนจะเซ็ตมาพอดี ตรง วิก 07 มันก็มีการผ่านลูกให้คนอื่นตบมุขเหมือนกัน มันเป็นลักษณะเหมือนการซ้อมมาเพื่อทำสิ่งนั้น แล้วพอทำได้แล้วมันมีมวลอะไรบางอย่าง หลังเล่นเสร็จออกมากินข้าวเราจะคุยกันสนุกเลย มุขตรงนั้นเด็ดมาก ซึ่งตลอดการทำเดี่ยวฯ มายี่สิบกว่าปีผมไม่มีสิ่งนี้ ที่ผ่านมามีผมคนเดียว ขึ้นไปเล่นก็กดดันอยู่คนเดียว ใจเต้นจะเป็นจะตาย พอขึ้นไปบนเวทีก็ไปต่อสู้อยู่บนนั้นลำพัง พอลงมาจะภูมิใจหรือเสียใจก็กลับมานั่งอยู่ข้างหลังคนเดียว นั่งเขียนบันทึกในกระดาษคนเดียว มันโดดเดี่ยวมาก ครั้งนี้ก็เหมือนหาคนมาเล่นด้วย

ทุกวันนี้หลายคนยังสงสัย สรุปแล้ว ‘หมู่’ คืออะไร

ผมก็ยังหาคำจำกัดความชัดเจนไม่ได้ มันเหมือนละครเวที แต่มันก็มีดนตรี แล้วก็มีแกล้งกันด้วย เป็นเรื่องของศิลปะการจัดวาง มันเหมือนงานทดลองชนิดหนึ่ง ถ้าเป็นอาหารก็เป็น fusion food แต่สิ่งที่ทุกคนจะได้แน่นอนคือได้หัวเราะ อาจจะเป็นการหัวเราะอีกจังหวะนึง เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทดลอง ผมว่าถ้าเรามองตัวเองเป็นเหมือนศิลปินที่สร้างสรรค์งาน
หน้าที่ของศิลปินก็คือการทดลองนะ ลองทำอะไรใหม่ๆ การเสี่ยงมันเป็นงานหลักของศิลปินเลย ผมเขียนในไดอารี่เลยว่าถ้ามันจะล้มเหลวผมก็ยอมรับ ผมจะได้เรียนรู้จากสิ่งนี้ แต่ว่าถ้าครั้งนี้ทำเดี่ยวฯ 12 เลย ผมรู้สึกว่าอะดรีนาลีนในตัวผมมันไม่ฉีดพล่าน

ดูท่า หมู่ครั้งนี้น่าจะเสี่ยงกว่าเดี่ยวฯ ทุกครั้ง

สุดเลย เครียดมาก ปัญหาเยอะมาก ลำพังทำโชว์ให้ตัวเองก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ตอนทำเดี่ยวฯ เราคิดว่าเอาอยู่ เพราะเรารู้ว่าเราจะพูดอะไร ต้องทำอะไรแบบไหนเรารู้อยู่ เหมือนคนตาบอดที่อยู่ในบ้านหลังนึงแล้วคลำทาง จับราวบันได เปิดตู้เย็น เข้าห้องน้ำ คืออยู่ตรงนั้นเราอยู่ได้ แต่ว่าการนำเทพอีกประมาณ 17 คนมาอยู่ด้วยกันมันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ การจะได้คิวพี่ตูน บอดี้สแลม มา 10 วันติดต่อกันทั้งวันทุกวันไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาจะนอนเขายังไม่มีเลย เวลาที่เขามีคือเวลาที่ออกไปเล่นคอนเสิร์ตต่างจังหวัดกับเวลาที่ไปวิ่งมาราธอน หรืออย่าง สิงโต นำโชค นี่ไม่เคยว่าง บางวันสามงาน การที่เราไปเอาคิวเขามาต้องติดต่อล่วงหน้ายาวนานมาก ไหนจะเรื่องเอาเขาเหล่านั้นมาทำสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำ แล้วไม่ถนัดจะทำอีก พอมากระโดดมาทำจริงถึงรู้ว่ามันยากกว่าที่คิด ตอนนี้มองเป็นกระบวนการเรียนรู้

แล้วคุณเลือกคนที่จะมาขึ้นเวทียังไง

ผมเลือกคนโปรด ผมเป็นคนชื่นชมคนเก่ง รู้สึกว่าผมอยากเรียนรู้อะไรจากเขา รู้สึกคนนี้มีอะไรดีเนอะ ก็จะหาโอกาสไปร่วมงานกับเขา ไปดูดซึมอะไรจากเขา เลือกจากอย่างนี้แหละ อย่างสิงโตนี่ชอบมากเลย ถ้าในวงการดนตรีช่วง 5 – 6 ปีหลังเขาคือของจริง เก่งจริง ร้องเพลงอะไรก็เพราะ แล้วจังหวะจะโคนในการเลือกใช้น้ำเสียง การเอื้อนของเขามีเสน่ห์มาก แล้วเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วคุยสนุก เป็นคนน่าแกล้ง ผมก็เลยนึกว่าเดี๋ยวกูจะเอามึงมาแกล้งบนเวที ก็โทรไปชวนว่าเรากำลังจะทำโชว์หมู่ มึงว่างมั้ย เขาก็บอกเอาครับเฮีย คือมันยังไม่รู้เลยนะว่าจะทำอะไร (หัวเราะ) ผมบอกเขาว่ากูจะเอามึงมาแกล้งนะ เขาก็บอกไม่มีปัญหาครับ
เฮียทำอะไรเอาด้วยครับ ก็เริ่มชวนกันอย่างนี้ มีทั้งหมด 17 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมค่าบัตรถึงแพงกว่าโชว์อื่น ดูค่าตัวแต่ละคน

คุณเดินไปตบหลังตบไหล่แล้วบอกอะไรกับคนที่มาร่วมแสดงบ้างมั้ย

ตัวใครตัวมันนะมึง (หัวเราะ)

เห็นคุณเพิ่งโปรโมตงานด้วยการเล่น Facebook Live ครั้งแรกในชีวิต คนไม่อินเทคโนโลยีอย่างคุณรู้สึกยังไงบ้าง

ผมยังงงกับมันอยู่ เฮ้ย โลกใบนี้มันอะไรวะ ทำไมคนเราจะต้องไปอยากรู้ชีวิตคนอื่น แล้วทุกคนก็รายงานถ่ายทอดสดชีวิตตัวเอง มีลูกน้องเปิด Bigo ให้ดู มันก็เหมือนไลฟ์ ที่ให้เราเข้าไปดูชีวิตของเขาได้ตลอด ถ้าชอบเขาก็ไปกดไลก์ กดซื้อแหวนซื้อรถในนั้นให้ ก็นั่งถ่ายทอดตัวเองตลอดทั้งวัน ฝ่ายคนดูก็คอมเมนต์กันสดๆ อยากเอาจังเลย ขอดูนมหน่อย คือมันมีแต่พวกนี้เข้ามา คนที่ไลฟ์ก็ตอบกลับไป อยากดูนมเหรอ เอาแหวนมา เอารถมา คนที่ดูก็ต้องไปจ่ายเงินซื้อรถซื้อแหวนในแอพฯ ให้ คนที่ไลฟ์ก็จะได้เงินจากส่วนนั้น เสร็จแล้วผู้หญิงก็เปิดนมให้ดูทีนึง พูดตรงๆ เราเห็นแล้วเราจะอาเจียนนะ มันคืออะไรวะนี่ ถ่ายทอดชีวิตให้คนอื่นดูตลอดเวลาแล้วเอาเงินจากเขา งงนะงง

ในมุมมอง Comedian คุณมองสิ่งเหล่านี้ด้วยสายตาขำขันหรือรู้สึกหดหู่

มันรู้สึกไม่ดีไปก่อน แล้วเดี๋ยวเราจะไปทำการย่อยให้เป็นเรื่องขำขันทีหลัง การเอามาทำเป็นเรื่องตลกก็เหมือนการอยู่กับมันให้ได้ คอมเมเดียนก็เหมือนสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่ต้องปรับตัวอยู่กับโลกที่โหดร้ายให้ได้

ถ้าอย่างนั้นในสายตาคุณประเทศไทยเป็นแหล่งเพาะบ่มคอมเมเดียนชั้นดีเลยมั้ย

ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของมุขเลยก็ว่าได้ มันมีเรื่องราวหลากหลาย มองไปทางไหนก็ขำไปเสียหมด คนไทยเราอยู่กับมันมานานเลยรู้สึกเฉยๆ แต่สังเกตไหมเวลาฝรั่งมามอง เขาจะเห็นประเทศเราน่าสนใจมาก อย่างฝรั่งคนหนึ่งที่ทำหนังสือ Very Thai เขามองทุกอย่างน่าสนใจไปหมด เขียนได้เป็นเล่ม ขายดิบขายดี แต่ในขณะที่บ้านเราเป็นแหล่งมุขที่อุดมสมบูรณ์มาก อีกด้านนึงเราก็ถูกจำกัดในการเล่นกับมันด้วย เมืองนอกเขามีมุขไม่เยอะเท่าเรา แต่เขาเล่นได้หมดเลยทุกเรื่อง ของบ้านเราเล่นเรื่องอะไรล่ะ คลิปผมเพิ่งออกไปทหารโทรมาที่บ้านเลย ตกใจมาก โทรมาผมก็สุภาพเลยทีเดียว

แสดงว่าตอนเล่นคิดว่ายังไงก็ไม่โดนอะไร

สำหรับเรา เวลาเล่นอะไรพวกนี้มันไม่มีเรื่องส่วนตัว ผมล้อทุกรัฐบาลอยู่แล้ว คนที่เป็นคอมเมเดียนจะมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งคือ พูดในสิ่งที่สังคมรู้สึก ถ้า ส.ส. คือผู้แทนประชาชน คอมเมเดียนก็คือพูดแทนประชาชน ตอน 6 โมงเย็นวันศุกร์คนรู้สึกประมาณนี้ ตัวคอมเมเดียนก็เป็นกระบอกเสียงพูดออกมา ผมไม่ได้รู้สึกมีเรื่องส่วนตัวอะไรกับใครเลย ไม่ได้เลือกพรรคเลือกข้าง แค่พูดว่าตอนนี้สังคมรู้สึกอย่างนี้ๆ แต่ถ้าเขาคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่อง
ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ในชีวิตนี้ความตลกเคยทำคุณเดือดร้อนมั้ย

บ่อยมากเลย แต่ไม่เคยเล่า เพราะผมก็กลัวเหมือนกัน (หัวเราะ) คือกูไม่มีแบ็กอัพเลย บ้านกูอยู่ตรงนี้ ใครก็รู้จัก

สแตนด์อัพ คอมเมดี้ มันเป็นสิ่งที่ต้องล้อเลียนเสียดสี แน่นอนว่าการเสียดสี ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเกิดความร้อนบ้าง แต่ถ้าจะไม่ให้เสียดสีเลยมันทำอาชีพนี้ไม่ได้ เป็นตลกแล้วไม่เสียดสีเราจะพูดยังไง ไม่งั้นการพูดแต่ละครั้งจะกลายเป็นสัมมนาเชิงวิชาการสร้างแรงบันดาลใจ อาชีพนี้มันคือการล้อเลียน เสียดสี จิกกัด มันคือคำขยายของอาชีพนี้เลยแหละ
ฉะนั้นถามว่าเดือดร้อนมั้ย มันก็มี แต่อยู่ในระดับที่รับได้ แล้วผมก็เข้าใจด้วย เราอยู่ในประเทศโลกที่สาม ได้ประมาณนี้ก็โอเคนะ ผมเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายว่าจะหาวิธีเล่าเรื่องอย่างแยบยลได้ยังไง คือจะมองเป็นเรื่องท้อแท้ก็ได้นะ อย่าไปทำเลยอาชีพนี้ แต่แทนที่เราจะท้อแท้มันกลับท้าทาย ถ้าพูดตรงๆ ไม่ได้ เอาไปใส่ไว้ในเพลงได้มั้ย ไปไว้ในละครได้มั้ย ก็หาเรื่องเล่นไปกับมัน อย่างในหมู่นี้ก็ไปสอดแทรกไว้นะ อ้อ ทหารที่โทรมาบอกด้วยว่ารอบแรกจะไปดู (หัวเราะ)

ทำไมถึงคิดว่าเราจะทำให้มันแยบยล ไม่คิดว่ามันเป็นเส้นที่เราไม่ควรล้ำ

คงเป็นเพราะความเป็นคอมเมเดียนในตัวเรา เราอยากจะล้อเล่นกับมัน ล้อเล่นกับชีวิต แค่คิดจะทำอะดรีนาลีนก็เริ่มมาแล้ว จำได้ว่าคลิปที่สองคิดกันตอนประมาณตอน 2 ทุ่ม แล้วถ่ายกันอยู่ในบ้านมันมืด ไฟไม่พอ เลยออกไปข้างนอกกัน ตอนที่ไปเซเว่นฯ นี่ไม่ได้คิดอะไรเลย คือไฟมันสว่าง มันเป็นการคิดเร็วทำเร็ว แล้วก็รีบมานั่งตัดกัน แล้วก็โพสต์ไปก่อนเที่ยงคืน ทีมที่ทำก็สนุก หัวเราะกัน ไม่ได้คิดเลยว่าทำเสร็จเขาจะโทรมา (หัวเราะ)

การมองโลกด้วยมุมสนุกสนาน ขำขัน ทำให้มีคนมาปรึกษาปัญหาชีวิตกับคุณบ่อยมั้ย

เยอะมาก น่าจะเป็นงานรองจากคอมเมเดียนแล้วล่ะ ทั้งเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน แฟนคลับ
ไปจนถึงลูกค้าที่เคยมากินไอติมที่ร้าน สมมติผมไปนั่งร้านไอติมที่เชียงใหม่ เขาก็จะร้องห่มร้องไห้มา รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้ไม่มีใครแล้ว ทำไมคนเราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยพี่ ทำไมพี่ขำได้ มาเป็นชุดเลย ก็ปรึกษากันไป คือผมคิดว่าภาพในหัวของเขา อุดมน่าจะเป็นเหมือนมาสคอต ไม่มีพิษไม่มีภัย เหมือนมิกกี้เมาส์ยิ้มตลอดเวลา

แล้วคลี่คลายให้เขาได้แค่ไหน

ได้ ผมเก่งมากเลย จริงใจมาก ไปช่วยติดต่อนู่นนี่นั่น ป่วยก็ช่วยติดต่อโรงพยาบาล ถ้ามีปัญหาทางจิตแนะนำให้ไปที่นั่นที่นี่เลย เก่งมากเรื่องนี้ ชำนาญ ถ้ามีเวลาผมไปกับเขาอีกต่างหาก จนลูกน้องบอก เฮียครับ ช่วยหยุดให้คำปรึกษาสักปีได้มั้ย ช่วยทำงานของตัวเองหน่อย (หัวเราะ) ทำงานตัวเองก่อนนะ เอางานตัวเองก่อน ผมว่าถ้าผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ฮอตมาก ผมชอบฟังเรื่องเขาอะ สนุก ปัญหาคนอื่นผมนี่แม่นมาก (หัวเราะ) แต่พอพูดปัญหาตัวเองมันจะงงๆ

แล้วกับปัญหาของคุณเองคุณจัดการมันยังไง

ไม่รอด ไม่รอดอยู่แล้ว

หลายคนมองไม่ออกว่าคนอย่างโน้ต อุดม ก็มีความทุกข์

คนที่มาปรึกษาผมเขาก็คิดอย่างนี้ แต่ผมนี่ตัวหนักเลย พวกคอมเมเดียนมีอารมณ์ตีกันอยู่ในตัวทั้งนั้น ผมอ่านข่าวโรบิน วิลเลียมส์ ฆ่าตัวตาย ผมไม่แปลกใจเลยนะ คนที่เป็นคอมเมเดียนด้วยกันจะเข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงฆ่าตัวตาย ลองคิดว่าถ้าเราเป็นตลกระดับโลกคนนึงมีเมียมีลูก แล้วเมียเลิก ตัวเองอยู่บ้านคนเดียว จะออกไปซื้อเบอร์เกอร์สักชิ้นนึง พอออกไปปุ๊บ ต้องถูกแซวตั้งแต่หน้าประตู ทุกคนขอถ่ายรูป คือคุณเป็นตัวตลกแต่ข้างในคุณยังเป็นคนเดิมที่ถูกเมียทิ้งอยู่ ปวดร้าวนะ มันย้อนแยงทิ่มแทงกันอยู่ มันต้องยิ้มแต่ข้างในร้องไห้ สมมติมาที่ลานจอดรถ ไปเจอคนคนนึงมาขอถ่ายรูปอีก แล้วเราบอกว่าผมรีบไป ก็โดนตะโกนไล่หลังมาอีกว่า ‘อ๋อใช่สิ ดังแล้วนี่ ผมแฟนคุณนะ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เสียดายตังค์ที่อุดหนุน’ โดนทิ่มเข้าไปอีก เจ็บนะ พอเข้ามาในรถเขาก็เป็นตลกคนนึงที่ทะเลาะกับเมีย แล้วก็โดนคนเมื่อสักครู่ด่าด้วยว่าลืมตัวเพิ่มไปอีกดอก พอกลับมาในบ้านก็เจอความเหงา ทุกอย่างมันเจ็บปวดไปหมดเลย แล้วสุดท้ายคือ ชีวิตกูไม่เห็นมันจะตลกเลย ปวดร้าว งั้นอย่าอยู่เลยดีกว่า มันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็เกิดขึ้นกับคอมเมเดียนทั่วโลกแหละ อยู่ที่ว่าใครจะจัดการมันได้มั้ย เจ็บปวดทุกคน

ทุกวันนี้เวลาดูเดี่ยวฯ ครั้งที่ผ่านๆ มา คุณเห็นอะไรในนั้นบ้าง

เราจะเห็นว่าก่อนหน้าจะมาทำเดี่ยวฯ มึงทำอะไร ผมเห็นไปถึงสูทตัวที่ผมใส่ตอนเดี่ยวฯ ครั้งแรก ตอนนั้นผมไม่เคยมีสูทเป็นของตัวเอง ผมไปซื้อจากสะพานพุทธฯ ถ้าจำไม่ผิดราคาไม่เกิน 300 บาท มันเป็นสูทมือสอง ผมก็ให้แม่ซัก เพราะวันรุ่งขึ้นต้องใช้ แม่ผมเห็นว่าลูกจะใส่ไปแสดงก็ใส่กะละมังซักเป็นเสื้อยืดเลย ตะเข็บมันก็ร่นขึ้นมา รีดก็ไม่เรียบ เราก็เพิ่งรู้ว่าสูทซักอย่างนี้ไม่ได้ แต่จังหวะนั้นไม่มีเวลาไปหาตัวใหม่ แล้วอีกอย่างแม่เราอุตส่าห์ซักให้ เวลาผมดูเดี่ยวฯ ครั้งนั้นผมก็จะเห็นสูทตัวนั้น ไม่ได้เห็นว่ามันตลกนะ แต่เห็นเด็กคนนึงที่ขนาดสูทตัวนึงยังไม่มีจะใส่เลย แล้วแม่เราก็ดีนะ กลัวลูกจะใส่แล้วเหม็น ซักแบบเต็มเหนี่ยวเลย มันจะเห็นอะไรพวกนี้

ฉากที่เป็นถังน้ำมันข้างหลัง ผมมีงบประมาณทำฉากอยู่ 35,000 บาท ด้วยความรู้น้อยมาก ติสท์ด้วย ผมไปซื้อถังน้ำมันมาถังละ 5 บาท เรียกทีมมาช่วยกันผ่า แม่ผมก็ผ่าเป็นสองซีก ปัญหาคือในถังมีน้ำมันเหลือเยอะมากเราต้องเอาผงซักฟอกจำนวนมากมาล้างเต็มลานจอดรถแล้วเอามาผึ่งตากแดด เจาะรู ตอนนั้นผมนั่งทำอยู่ด้วย เวลาผมดูเดี่ยวฯ ผมเห็นความอ่อนโลกของตัวเอง

พยายามฉิบหายเลย คอมเมเดียนเป็นงานที่หนักไหม สำหรับเราเป็นงานที่หนักมาก เป็นงานที่จริงจัง และเป็นงานที่ปวดหัวไม่แพ้งานตามสำนักงานบัญชี บัญชีมันยังเป็นงานเกี่ยวกับตัวเลขที่มีผลลัพธ์แน่นอน แต่การทำมาหากินกับเสียงหัวเราะมันไม่มีตาชั่งไว้ตวงว่าพูดคำนี้บวกคำนี้แล้วมันจะตลก หรือว่าพูดในห้องนี้ตลก แต่พอไปพูดอีกที่มันไม่ตลก มันขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ บริบทรอบๆ มันเป็นศาสตร์อีกแบบหนึ่งนะ แล้วผมก็ยังไม่กระจ่างกับมันเลยทุกวันนี้ ผมไม่เคยกล้าจะไปสอนใคร เดี่ยวฯ แต่ละครั้งยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย

ขนาดเล่นมาตั้งแต่ปี 2538 จนตอนนี้ 2559 แล้วก็ยังรู้สึกไม่แตกฉานในศาสตร์นี้เหรอ

ใช่ ก่อนขึ้นเวทีคุณไปแอบถ่ายผมได้เลย ผมเครียดมาก แล้วผมไม่สูบบุหรี่ไง ถ้าสูบบุหรี่อาจจะต้องสูบแบบเป็นกำ พอไม่สูบก็ไม่รู้จะทำอะไร ยาก็ไม่เล่น เหล้าก็ไม่กิน ก็เดินอยู่ข้างหลังเครียดๆ เดี๋ยวก็วิ่งไปเยี่ยว เยี่ยวมาสามแสนกว่าครั้งจนไม่มีน้ำจะออกแล้ว แต่ก็ยังจะไปเยี่ยวทำไมไม่รู้ มันคือความกลัว ทุกวันนี้ยังกำจัดไม่ได้

เวลาคนมาบอกคุณว่าไม่ตลกเหมือนก่อนแล้ว รู้สึกแย่มั้ย

แย่สิ แต่ว่าเรารับสภาพได้ เราก็เหมือนกับสตีเวน เจอราร์ด นั่นแหละ เดี๋ยววันนึงเราก็ต้องลื่นล้มในสนาม มันคือสิ่งที่ผมรับได้ ชีวิตก็ประมาณนี้แหละ โห ใครจะมาวิ่งเป็นโรนัลโด้ตลอดชีวิต สภาพเราก็เหมือนเจอราร์ด, รอย คีน หรือดูเวนย์ รูนีย์ ก็ได้ ผมเป็นอย่างนั้นแหละ ต้องยอมรับสภาพ

ไม่ได้ดิ้นรนหนี

ของพวกนี้หนีไม่ได้ ตลกเป็นศาสตร์ที่ประหลาดมาก คุณเป็นนักเขียน เขียนเยอะๆ ก็ยิ่งชำนาญ ถ้าคุณเป็นนักร้อง ร้องบ่อยๆ ก็ยิ่งชำนาญ คือยิ่งพยายามมันยิ่งดีขึ้น แต่พอเป็นตลกคุณพยายามไม่ได้ พอพยายามมันจะเป็น ‘พยายามตลก’ ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ ‘ไม่ตลก’ แปลกมากนะ ไปสังเกตดูได้ สมมติว่าเพื่อนเราคนนึงขึ้นไปเวทีในงานแต่งงานแล้วพยายามทำตลก
อาจจะเริ่มด้วยเครื่องแต่งกาย พูดเสียงดังขึ้น พอไม่ตลกก็เลยเริ่มลามกมากขึ้น แล้วก็เริ่มหยาบ แล้วยิ่งมันมากขึ้นเท่าไหร่ แปลกมากเลย ความตลกมันยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ

แล้วคอมเมเดียนจะทำให้ตัวเองตลกขึ้นได้ยังไง

สิ่งที่พัฒนาได้คือ ทัศนคติและมุมมองของเรา มันเป็นอาวุธสำคัญของเรา เรื่องมันเกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วเรามองมันยังไง คอมเมเดียนแต่ละคนก็จะมีสไตล์การมองต่างกัน อยู่ที่ว่าใครจะคมคายกว่ากันในเรื่องไหน

ก่อนทำสแตนด์อัพ คอมเมดี้ ผมจะซ้อมบ่อยมาก ไม่เคยประมาทมันเลย พออยู่บนเวทีคนจะบอกว่าทำไมพี่โน้ตไหลไปได้เรื่อยๆ ความจำพี่ดีนะ ไม่หรอก กูความจำเท่ากับมึงเลย ไอคิวก็เท่ากัน ไม่มีอะไรพิเศษกว่า แต่เราขยันซ้อม เหมือนเวลาคุณดูเดวิด เบคแฮม ที่ยิงฟรีคิกเข้าบ่อยๆ เพื่อนซ้อมเสร็จกันหมดแล้วแต่เบคแฮมต้องยิงต่อวันนึงประมาณ 2,000 ลูก ทำจนเป็นเรื่องปกติ คือเขาซ้อมอย่างหนักหน่วง ของผมเหมือนกัน ผมซ้อมบ่อย ซ้อมเยอะ ซ้อมกับผู้คน ซ้อมกับตัวเอง อยู่บ้านก็อยู่กับมัน ค่อยๆ เรียงลำดับเรื่อง หาทิศทางแก้ปัญหาว่าถ้าประโยคนี้ไม่ขำ เราจะมีร่มสำรองอะไรไว้ไม่ให้เราตกเครื่องบินตัวเปล่า พออยู่บนเวทีจริงมันเป็นการทำงานที่เราฝึกซ้อมมาแล้ว ถ้าเห็นว่าการทำเดี่ยวฯ พัฒนาขึ้น มันก็เกิดจากการที่เราทำผิดพลาดแล้วผมก็ทำวิจัยส่วนตัวของผม คือผมรักในอาชีพนี้และเอาใจใส่กับมัน

“บ้านเราเป็นแหล่งมุขที่อุดมสมบูรณ์มาก แต่อีกด้านนึงเราก็ถูกจำกัดในการเล่นกับมันด้วย”

ภาพ นวลตา วงศ์เจริญ

ถ้าอ่านบทสัมภาษณ์จบแล้วอยากดูโชว์หมู่ เล่นเกมลุ้นรับบัตร 2 ใบฟรีๆ ได้ที่ เพจ a day magazine เลย

AUTHOR