Next Chapter ของ คริส หอวัง ในวันที่เป็นผู้บริหารค่าย 2FLOW และแผนชีวิตฉบับสาวโสดที่ยังสนุกกับการทำงาน

“อาชีพคริสถึงอยากทำก็ไม่ได้ทำ มันต้องมีคนให้โอกาส”

หากต้องแนะนำสาวหน้าหมวย คริส หอวัง บทบาทไหนจะสามารถอธิบายเธอได้ดีที่สุด ครูสอนบัลเลต์ ดีเจ นางเอกหนังร้อยล้าน พิธีกร นางแบบ เมนเทอร์ กรรมการ หรือพี่สาวจากช่อง Horwang Sisters 

ไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะนิยามว่า คริส หอวัง เป็นใคร ไม่ใช่เพราะนึกภาพไม่ออก แต่หลายบทบาทที่เธอทำกลับทำได้ดีจนเหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น และแต่ละบทบาทที่เข้ามา เปลี่ยนชีวิตเธอเสมอ

หลังจากเริ่มต้นจากการเป็นครูและโลดแล่นในวงการบันเทิง คริสตัดสินใจเริ่มต้น Chapter ใหม่ของชีวิตในวัย 43 ด้วยการทำงานเบื้องหลัง อย่างผู้บริหารค่ายเพลง 2FLOW Entertainment ที่เพิ่งปล่อยศิลปินออกมา อย่างดูโอ้ ไทโอ-ติวเตอร์ และแบนด์ HAVE A NICE DAY 

บ่ายวันหนึ่งเราชวนคริสมานั่งพูดคุยถึงเส้นทางใหม่ อะไรทำให้เธอตัดสินใจรับตำแหน่งพ่วงท้ายชื่ออันใหม่แม้ทำให้เธอนอนไม่หลับถึง 3 วัน ไปจนถึงเรื่องราวชีวิตในวัยเลข 4 ที่คริสยังใช้ทุกโอกาสอย่างคุ้มค่า และใช้ชีวิตอิสระอย่างน่าตื่นเต้นในทุกๆ วัน

ดูเหมือนว่าคุณจะทำงานอยู่ตลอดไม่หายไปจากจอเลย

ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีนะที่ไม่เคยหายไปจากจอ ละครเรื่องหนึ่งถ่ายเกือบปี เวลามันออนมันฟึ่บเดียวแล้วมันก็หายไป เพราะงั้นคริสก็ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาส เพราะอาชีพคริสถึงอยากจะทำก็ไม่ได้ทำ มันต้องมีคนให้โอกาส

เริ่มบทบาทการเป็นไดเรกเตอร์ของค่ายเพลงในวัย 43 ได้ยังไง

ผู้ใหญ่เขาอุตส่าห์ชวนเรา เขาไว้ใจและคิดว่าเราทำได้ ช่วงหลังจาก The Face คริสจะได้ไปเป็นกรรมการรายการเซอร์ไววัลต่างๆ ซึ่งส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณ The Face ที่เขารู้สึกว่าเราฉายความเป็นครูออกมา

จริงๆ แล้วอาชีพแรกของคริสเลยคือเป็นครู มันก็มารีเลตกัน พอเขาเห็นเราอินมากๆ ในรายการ The Two จาก Workpoint ซึ่งคริสไปเป็นกรรมการเขาก็มาชวน เพราะเขาก็คงจำได้มั้งว่าคริสเคยเป็นดีเจ เคยอยู่ในวงการเพลงนิดหน่อย 

มีช่วงที่คริสเป็นดีเจที่แฟตเรดิโอ ซึ่งมันมาก มีศิลปินใหม่เกิดขึ้นเยอะ มันเป็นช่วงคาบเกี่ยวของ Streaming และ YouTube ที่กำลังมา คนเริ่มเบื่อศิลปินค่ายใหญ่ๆ ก็เลยกลายเป็นศิลปินเล็กๆ จนมีค่ายเล็กๆ เกิดขึ้น อย่าง Smallroom ก็จะมีศิลปินที่เริ่มทำเองเลย มันก็คล้ายๆ กับช่วงนี้เหมือนกันที่ศิลปินมันเยอะไปหมดเลย ทุกคนเป็นศิลปินเองได้ ไม่ต้องมีค่ายก็ได้ หรือถ้ามีค่ายก็เป็นค่ายเล็กค่ายน้อย 

อีกประมาณ 2 อาทิตย์ รายการ The Two จบ ผู้ใหญ่ชวนทำค่าย เฮ้ย น้อง พี่นอนไม่หลับไป 3 วัน กลับบ้านมาคือรู้สึกทำไมตื่นเต้นจังเลย โทรกลับไปคุยว่าต้องให้คริสทำอะไรบ้าง ถ้าให้เข้าออฟฟิศทุกวันคริสก็ทำไม่ได้ เพราะคริสรักงานของคริสอยู่ งั้นก็มาดูแลฝ่ายผลิตเป็นครีเอทีฟ

ทำไมต้องเป็นค่ายเพลง

อายุ 42-43 คริสยังงานเยอะมาก แต่โตแล้วคริสก็ต้องคิดไง นั่งนึกว่าเราจะหยุดถ่ายละครเมื่อไหร่ ถ้าเป็นแบบนี้เราจะรับจนเราเป็นแม่ไปเลยไหม ถึงตอนนี้จะยังไม่มีใครให้คริสเป็นแม่นะ 

เคยมีคนชวนไปเป็นผู้จัดละคร เพราะคริสเป็นคนชอบจัดแจง ก็นั่งนึกว่าเราเหนื่อยเวลาเราไปกองถ่าย คืออยากไปถึงแล้วเข้าเซตแล้วเล่นเลยได้ไหม สงสัยเราไม่อยากเป็นผู้จัด เพราะเป็นผู้จัดเราต้องไปกองทุกวัน แล้วละครเรื่องหนึ่งเกือบปี เราเลยเฉยๆ

อะไรคือความยากของการทำค่ายเพลง

พอเราอยู่ในนามของนักลงทุนอย่าง Workpoint มันกดดันเหมือนกันที่ต้องทำให้ดี คือมันไม่ใช่เงินคริสเองไง ถ้าเงินคริสเองทำไม่สำเร็จก็ถือว่าเผาเงิน คริสแกซื่อบื้อ แต่อันนี้มันเป็นของเขา ทุกการตัดสินใจมันก็ยากนิดหนึ่ง อันนี้เรื่องธุรกิจนะ 

แล้ว Product ของเราคือศิลปิน เขาเป็นคน มันไม่เหมือนเราขายวิตามิน เราจะเอาเขาไปทิศทางไหนเราต้องคุยกับเขา เขาชอบหรือเปล่า เขาจะอยู่ในทิศทางนี้ได้นานๆ ไหมนะ สำหรับพี่คริสเองอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แล้วยากที่จะเอาธุรกิจและสิ่งนี้มาเข้าใจกัน เพราะพี่คริสก็อยู่เบื้องหน้าแล้วก็เบื้องหลัง ถ้าเป็นเราที่อยู่เบื้องหน้า แล้วถ้ามีคนมาจับเราใส่นั่นนี่นู่น ขายเราไปในทิศทางนี้ ซึ่งเราไม่ได้แฮปปี้ มันทำได้ปีเดียว 

คุณใช้ความรู้สึกไหนในการรับตำแหน่งนี้

มันเป็นเหมือน another chapter ของชีวิต

ความรู้สึกนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วตอนที่จะเลิกเป็นครูสอนเต้น คือคริสเรียนจบ 21 เป็นครูมา 10 ปี คือช่วงอายุ 21-31 เป็นทั้งครูและเป็นดีเจ แล้วเริ่มถ่ายหนัง (รถไฟฟ้า มาหานะเธอ) อายุ 27 ฉาย 28 เพราะงั้นหลังจากเหมยลี่ จะได้ทำงานการแสดงเยอะมาก ความเป็นครูก็ด้อยลงเยอะไปด้วย แต่ก็ไปตลอดไม่เคยขาดเลย แล้วก็เหนื่อยมาก ตอนนั้นมันเด็ก เอ็นจอย ทำทุกอย่าง ครูก็จะเอา นักแสดงก็เอา ดีเจก็ยังทำอยู่ 

ช่วงนั้นคริสเป็นครูที่ไม่มี Material ไปสอน หมายความว่าน้องก็ต้องเก่งน้อยกว่าอยู่แล้ว คริสก็ขี้โกง ปีแรกๆ เด็กมันมีการพัฒนา คริสแพลนแล้วว่าจะสอนเสต็ปการเต้นของเขา 1-30 จะทำเป็นหมด แต่ปีสุดท้ายหวังว่าเขาจะรู้ 1-30 ปรากฏเขารู้ 1-15 เพราะบางอาทิตย์คริสก็มิกซ์ไปให้มั่ว สุดท้ายปีที่อายุ 31 คริสรู้อยู่คนเดียวว่าเด็กคริสไม่พัฒนา ก็เลยคิดว่าเราขี้โกงอาชีพเหมือนกันนะ ก็เลยลาออก 

ความรู้สึกเหมือนตอนที่จะเลิกอาชีพครูแล้วมาทำ Entertainment เต็มตัว มันเปลี่ยนชีวิต เราจะกลายเป็นคนอยู่เบื้องหลัง กลายเป็นคนที่สานฝันให้คนอื่นแล้วนะ แม้จะยังอยากทำหนังหรือละครอยู่ แต่วันนี้มันสนุก มันท้าทาย มันดึงประสบการณ์ทุกอย่างที่คนบังเอิญให้คริสมาทั้งชีวิตเลย ทั้งเรียนเต้น ดีเจ อยู่ในวงการเพลง เคยมีแฟนเป็นนักดนตรี กลายเป็นรู้ว่าเวลาทำเบื้องหลังต้องทำยังไง

คุณเคยบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนมั่นใจ แล้วอะไรที่ทำให้คุณกล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนได้

พี่หวานเจี๊ยบ (ธนรัตน์ วัฒนเดชานันท์ – ผู้จัดการ) จะรู้ดี คริสเป็นคนไม่ได้มั่นใจมาก ทุกวันนี้จะขึ้นเวทีก็ยืนสวดมนต์หลังเวทีทุกครั้ง พี่หวานก็จะหัวเราะ บอกว่าคริสเป็นคนบ้า ผ่านมาล้านเวทีแล้ว แต่คริสตื่นเต้นทุกครั้งจริง แค่ขึ้นไปพูดคุยบนเวทีก็ไหว้เวที

แต่ว่าคริสเป็นคนรับผิดชอบมาก คือรู้สึกขอบคุณมากทุกๆ ครั้ง ที่มีคนให้โอกาสมา เพราะอย่างที่บอกอาชีพนี้นั่งอยู่เฉยๆ อยากทำมันก็ทำไม่ได้ ต้องมีคนมาจ้าง แล้วมันมีคนขายาวกว่าตั้งเยอะ ทำไมเขาต้องมาจ้างให้คริสเดินแฟชั่นโชว์ มีคนแสดงเก่งกว่าคริสตั้งเยอะ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าคริสไม่ได้ร้องไห้ได้เก่งขนาดนั้น คริสต้องรู้สึกจริงๆ 

ดังนั้นความไม่มั่นใจของคริสจะไม่ได้เห็นบนเวทีหรือผลงานที่ออกไป มันจะรู้สึกว่าคริสมั่นใจ ทำเก่ง ทำดี เพราะคริสตั้งใจไม่อยากให้คนที่จ้างเราเสียหน้า มึงทำไม่ได้ มึงก็ทำให้เขาให้ได้ค่ะ อินเนอร์หนู เสียงหนู ร้องเพลงไม่ได้ แต่พอเขาถีบขึ้นไปปุ๊บต้องเหมือนได้ เหมือนมั่นใจสุดๆ ลงมาร้องไห้คือช่วยไม่ได้

คุณวางทิศทางของค่ายไปทางไหน

ปีนี้พี่คริสไม่ต้องออดิชัน คนอื่นเวลาเขาเริ่มค่าย เขาต้องหาเด็ก ต้องจัดออดิชัน แต่ของพี่คริส คนที่คัดคนมาอยู่ในเทรนนี่ก่อนจะเป็นศิลปิน คือ เอก้า เป็นโปรดิวเซอร์อีกคนหนึ่งที่เป็นตัวตั้งตัวตีของ 2FLOW เหมือนกัน พอเทรนคนเสร็จ เอก้าโทรมาให้คริสไปดู สมมติเป็นกรุ๊ปเต้น ก็คิดว่าจะเอาเขาไปในทิศทางไหน เพลงเขาจะเป็นยังไง ลุคเขาจะเป็นยังไง เข้ากับน้องๆ ไหม ความสามารถของน้องๆ มีทาร์เก็ตที่จะดึงไปได้มั้ย จากศิลปินสู่โลกจะเป็นคริสดูแล

แต่ส่วนของเทรนนี่เอก้าเอาเข้ามา เลยกลายเป็นว่าทิศทางหรือธีมของปีนี้คือ ‘สานฝัน’ เด็กเราเป็นเด็กที่มาจาก The Two เขาพูดกันหมด ว่าเขาอยากเป็นศิลปิน อยากเดบิวต์ อยากมีซิงเกิล แปลว่าพวกพี่สานฝันให้เขา แต่ปีหน้าคริสก็ต้องทำออดิชันแล้วเหมือนกัน เพื่อที่ค่ายจะได้ grow up ขึ้นไป

พอมาเป็น Label Director แล้วมีเรื่องอะไรที่คุณต้องคิดมากกว่าเดิม

เยอะมาก มันก็เป็นเรื่องของการทำงานวงการเพลง แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในตัวคริสคือเรื่องการ appriciate คนทำเบื้องหลัง 

เมื่อก่อนแค่ถ่ายแบบ เรารู้สึกว่ามันเป็นงานไม่มีอะไรซับซ้อน แค่เราเอาตัวเราไป แล้วทำให้มันดีในคอนเซ็ปต์ที่เขาตั้งไว้ อันนั้นก็โอเคแล้ว แต่พอมาทำเบื้องหลัง กว่าเขาจะคุยกันว่าใช้สตูดิโอนี้ กว่าเขาจะคุยกันว่าใช้ตากล้องคนนี้ ไฟมันต้องเป็นยังไง Finish Product ถ่ายออกมากี่รูปๆ แล้วมันจะเป็นรูปแบบไหน ใครจะเป็นคนทำกราฟิก แล้วส่งไปวันที่เท่าไหร่ ไทม์ไลน์เป็นยังไง 

อีเวร เยอะมาก 

มันทำให้คริส appriciate ทุกคนที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือเป็นทีมงานในการทำ 1 งาน มันเยอะมาก คริสชื่นชมคนเหล่านี้ในอีกขั้น แต่ก่อนก็ชื่นชมแล้วนะเพราะแต็งกิ้วตลอด ขอบคุณที่เขาเลือกเรา แต่พอมาทำขอบคุณเพิ่มไปอีก

คุณเรียนรู้ที่จะทำค่ายนี้ยังไง

เรียนรู้ระหว่างทาง 

จริงๆ ก็มีคนที่คริสปรึกษา เป็นพี่ๆ ที่เขาทำค่ายกันอยู่แล้ว ต้องรู้ว่าใครทำอะไรยังไง สเต็ปมันเป็นยังไง พอทำผ่านไป 2 ซิงเกิล เราก็เริ่มจะรู้สเต็ปแล้ว เราไม่สู้กับค่ายอื่น เพราะเรายังขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่เลย มันก็ไม่ได้มีข้อห้าม เราทำยังไงก็ได้ที่สานฝันน้องไปให้ไกลที่สุด

ศิลปินที่เพิ่งเดบิวต์อย่าง ไทโอ-ติวเตอร์ หรือ HAVE A NICE DAY คุณได้วางคาแรกเตอร์ไว้ไหม

ไทโอ-ติวเตอร์ คาแรกเตอร์เขามันชัดมากอยู่แล้ว เขาจะเป็น Trap R&B POP มากกว่า ผ่านการคุยกันมาแล้วว่าเราเอาเพลงแบบไหนดี มันก็เป็นเพลงที่คริสชอบด้วย เช่น The Weeknd แล้วไทโอ-ติวเตอร์ชอบอยู่แล้วด้วย พอทำออกมา เราดีใจนะ เพราะสุดท้ายเขาต้องอยู่กับสิ่งนี้ไปอีกนาน เขาต้องภูมิใจด้วย เพราะเป็นเพลงของเขา ยูนิตเขาก็ทำได้ดีในการทำ MV หรือการโปรดิวซ์ ส่วน HAVE A NICE DAY พอเขาเป็นวง ถามว่าวงดนตรีมันมีเยอะมากนะในประเทศไทย อย่างไทโอ-ติวเตอร์ยังเป็นดูโอ้นะ มันมีไม่กี่คน มันจะมี หญิง-หญิง 3-4 คน แต่วงดนตรีมันเยอะมาก เราทำยังไงให้มันไม่ใช่แค่ปล่อยเพลงออกไป คริสคิดว่าเพลงของเขาดี น่าสนใจ catchy ด้วย เราขายหน้าตาได้ด้วยเปล่าวะ อันนี้คิดเองเนอะ น้องๆ มันก็บอกว่า โอ้โห.. พวกผมเป็นนักดนตรี แต่ไม่เป็นไร พวกน้องก็เล่นดนตรีของน้องไป ส่วนถ้าใครจะเรียกว่าไอดอลแบนด์ก็ถือว่าเป็นกำไรสำหรับคริส ซึ่งมันก็ไม่มีหลักการ หลักสูตรอะไรหรอก คริสก็แค่ทำ MV ที่อยากให้คนจำหน้าน้องได้ด้วยแค่นั้นเอง

ตอนที่คุณทำงานในค่ายคุณจะสอนเรื่องอะไรให้กับเด็กๆ เป็นอย่างแรก

HAVE A NICE DAY บอกพี่คริสดุมาก ซึ่งดุจริง คือดุเพราะว่าถ้าคริสไม่ดุเขาก็ไม่รู้ว่าใครจะดุ เช่น น้องแต่งตัวให้มันดีสิ ดุจนแบบยัยแสนดีร้องไห้เลย แล้วพี่คริสไม่รู้ จนเพื่อนอีก 3 คนบอกว่า แม่พอแล้วค้าบ แสนดีมันร้องไห้แล้วค้าบ เวลาเจอทีมงานที่ถ่ายทำ พี่คริสก็จะบอกเขาว่าน้องนั่งดีๆ นั่นนี่นู่น คือขี้บ่น แล้วก็เป็นแม่ แค่นั้นแหละ สอนทุกอย่าง

ต่างจากในจอเหมือนกัน ที่มักจะเห็นว่าคุณใจดี

ไม่มีใจดีอยู่แล้วค่ะ คือตอนเป็นกรรมการเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกเขาว่าเขาจะพรีเซนต์ตัวเองยังไง น้องต้องทำมาเสร็จแล้ว น้องพรีเซนต์ตัวเองมาไม่ดี คริสเป็นกรรมการ คริสก็ให้คะแนนตามที่เขาส่งตัวเองมา แต่วันนี้คริสไม่ใช่กรรมการ คริสเป็นเหมือนพระพี่เลี้ยงเขา แปลว่าคนอื่น ชาวโลกคือกรรมการ แล้วปล่อยให้เด็กออกไปแบบนั้นได้ยังไง

คุณเชื่อว่าเด็กต้องเก่งที่สุดไหม

คริสเคยบอกนักเรียนคริสว่า ไอไม่ได้อยากให้ยูเป็นคนที่เก่งที่สุดนะ ยูเป็นใครก็ได้ เพียงแค่ยูชอบสิ่งที่ยูทำ พอแล้ว ยูไม่ต้องยืนกลางก็ได้นะ 

ตอนนั้นพี่คริสสอนเต้นนักเรียนอินเตอร์ คริสก็บอกว่าตอนโชว์คุณไม่ต้องแย่งกันอยู่ตรงกลางนะ เพราะถ้าคุณโดดเด่น ยืนตรงไหนมันก็มีคนเห็น ไม่ต้องตรงกลางก็ได้ ผายมือให้เพื่อนก็ได้ ถ้าเป็นตัวเอง ยังไงก็มีคนเห็นอยู่ดี 

สุดท้ายมันเหมือนกัน ถ้าเขารักในสิ่งที่เขาอยากทำ เขาไม่เก่งวันนี้ เขารักในสิ่งที่ทำ เขาจะไปซ้อมเอง เขาจะอยากทำเอง เขาจะซ้อมเต้นหน้ากระจก แล้วอยู่ดีๆ เขาจะเก่งขึ้นมาได้เองเลย เพราะว่าเขาชอบ แล้วซ้อมอยู่ได้ทุกวัน 

ตัดภาพมาถึงตรงนี้ทำไมค่ายถึงมีธีมในปีนี้ว่า ‘สานฝัน’ เขาอาจจะไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุด แต่เขาอาจจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ เขามีแพสชันในสิ่งที่เขาทำ พี่อยากสานฝันคนพวกนั้น โลกมันเต็มไปด้วยคนเก่งอยู่แล้ว มันมีคนที่ไม่เก่งที่สุดบ้างก็ได้ ยกตัวอย่าง เหมือน BNK ไม่ใช่ทุกคนชอบเซ็นเตอร์มันมีคนชอบพระรองก็มี พี่ก็แค่คิดว่าแพสชันมันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับคริส สำหรับการที่คริสจะหยิบศิลปินคนไหนขึ้นมาเดบิวต์

จากหลายบทบาททั้งครู พี่สาว อะไรที่ทำให้คุณเข้ากับเด็กได้ดี

มันอาจจะเป็นเรื่องของการที่คริสเป็นครูมาตั้งแต่เด็กๆ

อย่าง The Face ตอนที่เขาเลือกเข้ากรุ๊ปกันแล้วหลังจากนั้นพี่จะไปเจอเขาอีกที ตอนที่เขานั่งกองอยู่ในห้อง เชื่อปะ เปิดประตูเข้าไปคือรักพวกเขาแล้วเลย ฉันจะทำทุกอย่างให้พวกเธอดีที่สุดในความสามารถของตัวเอง เปิดประตูเข้าไปรักเลย 

เหมือนกับเด็ก 2FLOW ที่เขาจะทำเป็นศิลปิน คริสรักเลย แล้วก็ทำให้ดีที่สุด อาจจะดุไปนิดหนึ่ง แต่คริสหวังดีทั้งหมด เป็นการหวดเพื่อให้ไปให้ถึงหวังว่าวันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จ อย่าง ไทโอ-ติวเตอร์เริ่มมีแฟนคลับเยอะขึ้น เห็นแฟนคลับเขาแล้วคริสดีใจ แฟนคลับคริสก็จะเป็นแฟนคลับไทโอ-ติวเตอร์ไปด้วยเลย ช่วยติดตามผลงาน ช่วยกันรีโพสต์ มันเหมือนเป็นโรงเรียนคริสหอวัง (หัวเราะ)

ตอนนี้คุณมาอยู่ในจุดที่สร้างไอดอลแล้ว ย้อนกลับไปคุณมีไอดอลของตัวเองไหม

มันมีหลายคนผสมๆ กัน เลยจะเรียกว่าเป็นคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ทั้งผู้ชายผู้หญิงจะเป็นไอดอลคริสได้หมดเลย อย่างการจัดการชีวิตของตัวเอง การวางแผนชีวิต 

มันก็จะมีไอดอลต่างๆ ที่ชีวิตเขาอยู่อย่างสุขสบาย คือไม่ต้องรวยมาก รวยล้นฟ้าไปทำไม ไม่ได้จะนั่งไพรเวตเจ็ต เคยนั่งแล้ว ถ่ายรูปรัวมันก็เท่านั้น เรานั่งเครื่องบินพาณิชย์ได้ เราไม่อยากนั่ง Economy ไม่เป็นไร เราอยากนั่ง Business Class ตลอดไป ได้ ไม่เป็นไร ทุกคนมีความอยาก อยากนั่งอะไรก็ได้ แต่ยูต้องทำอะไร หาเงินยังไงให้ตัวเองมีบาลานซ์ มีชีวิตที่มีความสุข ทำงานไม่ต้องมากเกินไป ไม่ต้องน้อยเกินไป แล้วยังได้ชีวิตแบบนี้ ใครอยากทำอะไรก็ได้

แผนของคุณในวัย 43 หน้าตาเป็นยังไง

คริสฟังหลายๆ คน แล้วมันก็มาผสมรวมกัน ก็เลยสนุก มัน กับการจัดการชีวิตใน Next Chapter นี้ นอกจากงานที่มันมีความสุขกับการทำแล้ว อาจจะเป็นแต้มต่อที่คริสไม่ได้แต่งงาน ถ้ามีแฟนไปก็เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราที่ให้คำปรึกษาแล้วมันไม่ปวดหัว เหมือนเพื่อนๆ คริส มีลูกเล็ก บางคนก็ต้องมีปัญหากับผัว คือคริสไม่มีเรื่องพวกนั้น เลี้ยงหมาก็เหนื่อยแล้วเอาจริงๆ

คริสยิ่งโตยิ่งวางแผน เพราะว่าคริสไม่ได้แต่งงาน มีลูก วางแผนว่าถ้าเราชอบชีวิตแบบนี้ แล้วเราชอบใช้เงินเท่านี้ต่อเดือน ก็เริ่มเขียนว่าเราชอบชีวิตแบบนี้ ชอบกินข้าวแบบนี้ ใช้เงินประมาณเท่านี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาเงินให้ได้เท่านี้หรือเก็บเงินให้เราอยู่ได้นานเท่าไหร่ สมมติไม่มีเงินเข้าเลยแล้วอยากอยู่เขาใหญ่ อยากชิว ไม่ทำงานเลย ใช้เงินเท่าไหร่ต่อเดือน อันนี้ต้องคิด

ในแต่ละ Chapter ที่เปลี่ยนไป มีเรื่องอะไรที่มีมุมมองเปลี่ยนไปจากเดิมไหม

แต่ก่อนตอนที่ 30 คริสก็เป็นเหมือนผู้หญิงทุกคน ที่มีความฝันหรือเส้นชัยของเรา ถ้าเรามีแฟน ก็ต้องมีแฟนที่มี Potential จะเป็นสามีเรา แต่พอ Shit มัน happen บนฟ้าเขากำหนดมาแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ตอนแรกก็วูบนะเว้ย เหมือนผู้หญิงปกติ ฉันจะไม่ได้แต่งงานเหมือนคนอื่น 

แต่พอตอนมันมาถึง คริสรู้สึกว่าโชคดีที่เป็นอิสระมากสุดๆ เลย แม่คริสบอกว่ายูไม่ต้องมีลูกหรอก มีลูกไปก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นเด็กดีหรือเปล่า แล้วสังคมตอนนี้มันน่าอยู่เหรอ ขนาดเราอยู่ยังเหนื่อยเลย แล้วอีก 10 ปีกว่ามันจะโต แล้วถ้าเรามีลูก สิ่งที่เราบอกว่าเราอยากนั่ง Business Class เราอาจจะต้องนั่ง Economy เพื่อที่จะเอาเงินอีกส่วนส่งเขาไปโรงเรียนทีดีที่สุด แล้วเราจะมีทำไมวะ 

อันนี้อาจจะเป็นข้ออ้างสำหรับคริสก็ได้นะ แต่สำหรับคนที่เป็นโสดหรือไม่ได้แต่งงาน คริสอยากบอกเขาว่าไม่ต้องเศร้านะ ให้มีความสุข มองโลกแบบบางอย่างเขากำหนดมาแล้ว แล้วชีวิตเรามันอิสระมากเลย จะทำอะไร ไปไหนก็ไปได้เลย เราเป็นห่วงแม่คนเดียวก็หนักแล้ว คริสมีน้องอีก แต่น้องคริสไม่ต้องเป็นห่วงมัน มันเก่งๆ

คุณเชื่อในเรื่อง 30 ต้องแต่งงานด้วยเหรอ

ก็เห็นที่เขาแชร์เหมยลี่กันมั้ยละ 30 แล้วไรวะ ยังไม่มีแฟน คริสแบบทนไม่ไหวแล้ว รีทวีตกันเยอะมาก เข้าไปเลยจ้ะ หยุด ชะนีทุกคน หยุด 40 แล้ว ทุกคนยังมีชีวิตที่แฮปปี้อยู่ ทุกคนยังแฮปปี้ต่อไปนะคะ

ตอนนั้นคุณลดความคาดหวังมาได้ยังไง

มันชิลนะ คือถ้าเกิดเราสามารถทำได้ ผู้หญิงหลายคนจะคิดว่าเราต้องหาแฟนที่ดี ที่เลี้ยงดูเรา แต่ถ้าเกิดเราพูดเรื่องเพศเท่าเทียม เคยฟังผู้ชายบ้างเปล่าวะ ผู้ชายอาจจะคิดว่ากูแค่เกิดมาแล้วมีจู๋อะ ทำไมกูต้องมีภาระ ถูกปะ แต่ใช่ of course! เราเป็นผู้หญิงก็ต้องอยากรู้สึก อ่อนแอ อยากให้ผู้ชายมาดูแล การที่มีแฟนแล้วเขามาดูแลถือว่าเป็นโบนัส เป็นความ Gentleman ของเขานะ 

แต่ถ้าเรามีแฟนปุ๊บ ทิ้งตัวให้เขามาจ่ายค่าบ้านค่ารถ แล้วผู้ชายที่ไหนเขาจะอยากอยู่กับเรานานๆ เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน แล้วเราก็ถึงจะมีเขา เขาก็ดูแลในส่วนของเขา เราก็ดูแลในส่วนของเรา แล้วมาหาจุดที่เป็นโลกของเราสองคน

สัญญาณไหนที่ทำให้คุณเลือกชีวิตอิสระ

คริสว่ามันจะวัดด้วยความสบายใจของเรา เมื่อไหร่ที่เรากลัวว่าแฟนคนนี้ทำให้เราไม่ค่อยสบายใจ ท็อกซิกวะ เราก็ไปได้เลยเหมือนกัน ถ้าเราไปไม่ได้เลยแปลว่า ถ้าไปจากเขาแล้วค่าบ้านใครจะจ่าย แล้วชั้นจะอยู่ยังไง ชั้นจะไม่มีชีวิตแบบนี้แล้ว 

แต่ถ้าเรายืนได้ด้วยตัวเองก่อน เราจะได้เลือกชีวิตของเรา ผู้ชายแบบไหนที่เราชอบ ผู้ชายแบบไหนที่เราไม่ชอบ ผู้ชายแบบไหนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มันจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตแล้ว มันจะเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตของเราสองคน เราจะใช้ชีวิตยังไง ชิวมั้ย มันแฮปปี้กว่า


ขอบคุณสถานที่ Cafe Kitsune Velaa

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

กุลชนาฎ เสือม่วง

ปูนพร้อมก่อสุดหล่อพร้อมยัง IG: cozy_cream