เซ็กซ์เมื่อคราวโควิดลง : ว่าด้วยความหวัง วิธีป้องกันและรักษา HIV ในวันที่เกิดวิกฤตโควิด-19

สงสัยกันไหม ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์จะมีชีวิตความเป็นอยู่แบบไหน

ยิ่งมีเคอร์ฟิว ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตประจำวันยากลำบากกว่าประชากรคนอื่นๆ หรือเปล่า นั่นคือคำถามที่เราคิดว่าสำคัญมากในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่อยากเห็นทุกคนปลอดภัยในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ถ้าหากคุณเป็นหนึ่งในประชากรที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและป่วยไข้เพราะภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง จนรู้สึกท้อแท้และวิตกกังวลว่าจะออกไปรับเชื้อโควิด-19 ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบย่ำแย่กว่าเดิม อย่าเพิ่งหมดหวังไปเพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างมีทางออก

เราจึงตั้งใจใช้คำถามและข้อกังวลเหล่านี้เป็นพลังขับเคลื่อนให้มุ่งหน้าไปสู่ ‘สีลม’ ถนนแห่งความหลากหลายด้านวัฒนธรรมทางเพศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ PULSE CLINIC เพื่อค้นหาคำตอบจาก หมอเต้–นายแพทย์ ณัฐเขต แย้มอิ่ม ผู้ก่อตั้งคลินิกเพื่อสุขภาพทางเพศ 3 สาขาในย่านสีลม สุขุมวิท และจังหวัดภูเก็ต และอีก 2 สาขาในฮ่องกงและมาเลเซีย ซึ่งจะมาไขข้อสงสัยว่าควรจัดการตัวเองยังไงเมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการติดเชื้อเอชไอวี

เพราะในช่วงเวลาที่เรากำลังวิตกกังวลกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ เราจำเป็นต้องป้องกันตัว เตรียมตัว ดูแลรักษา และทำความเข้าใจโรคนี้เพื่อผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

ไม่ใช่แค่คนป่วยที่จำเป็นต้องรู้ แต่ทุกคนสามารถทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้เพื่อป้องกันและดูแลตัวเองได้อย่างเท่าทัน 

เพราะการมี ‘ความหวัง’ และไม่เจ็บกายป่วยใจไปเสียก่อนจะช่วยขับเคลื่อนให้สังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างแบบนี้ไม่วูบดับไปเสียก่อน

วิกฤตโควิด-19 ส่งผลต่อเรื่องเพศและการมีเซ็กซ์ของคนเรายังไง 

โควิด-19 ส่งผลต่อสุขภาพทางเพศแน่นอน เพราะสุขภาพจิตหมายรวมถึงสุขภาพจิตทางเพศด้วย ตั้งแต่มีโรคระบาดการใช้คำว่า ‘การรักษาระยะห่างทางสังคม’ (social distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมรู้สึกห่างเหินกัน จนอาจเกิดอารมณ์หดหู่และเหงาหงอย แต่ความเป็นจริงเราสามารถรักษาได้โดย ‘การรักษาระยะห่างทางกาย’ (physical distancing) เราแค่อยู่ห่างกัน แต่ยังมีสุขภาวะทางสังคมและสุขภาพจิตที่ดี ด้วยการโทรศัพท์ การแชต หรือการใช้โซเชียลมีเดียติดต่อกัน ดังนั้นการใช้คำมีผลต่อสุขภาพจิตของคนมาก

เมื่อคนเราจำเป็นต้องอยู่ห่างกันก็จะขัดต่อความต้องการพื้นฐานทางสังคม โดยปกติสัตว์สังคมอยากอยู่ด้วยกันเพราะการสัมผัสแสดงให้เห็นถึงการยอมรับ แต่ที่มากกว่านั้นคือความใกล้ชิด (intimacy) ซึ่งเกิดจากการสัมผัสอีกระดับ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การจูบ หรือการสอดใส่โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย นี่คือการสัมผัสใกล้ชิดอย่างสูง (high level of intimacy) ดังนั้นเมื่อคนต้องห่างก็มีความอยากเจอกัน เหงา เงี่ยน และปรารถนาในเนื้อหนังมังสา ซึ่งเมื่อมีการห้ามก็จะมีคนที่ต้องการฝืนทำตามสัญชาตญาณตัวเอง อาจมีการนัดเจอกันผ่านโซเชียล แอพพลิเคชั่น และออนไลน์ 

การฝืนทำตามสัญชาตญาณตัวเองที่ว่าคือยังไงบ้าง

บางคนอาจไปเที่ยวอาบอบนวดและซาวน่า แต่เมื่อสถานบันเทิงเหล่านี้ปิดเขาก็ยังหาโอกาสไปเจอคนอื่นอยู่ ซึ่งยิ่งเสี่ยงต่อการสัมผัสและการติดเชื้อ เพราะเขาอาจออกไปมีเซ็กซ์ แต่กลับกลายเป็นว่าติดเชื้อโควิด-19 มา 

การที่เราไปมีเซ็กซ์ช่วงปิดเมือง คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ บางคนไม่อยากไปเพราะไม่อยากเสี่ยงติดโรค เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่ามีบุคลากรกลุ่มหนึ่งที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม หรือไวรัสตับอักเสบซี เมื่อไปมีเซ็กซ์กับเขาช่วงนี้เราอาจสัมผัสเชื้อจากเขาได้ หรือบางคนอาจมีเชื้อโควิด-19 แล้วเราติดมา

อีกกรณีที่เราติดเชื้อโควิด-19 แล้วเราไปเจอคนอื่น เขาอาจรับเชื้อจากเราไป ยิ่งในกรณีที่มีโรคอื่นอยู่แล้วกลายเป็นว่าเราอาจทำให้เขาป่วยหรือเสียชีวิตโดยไม่ตั้งใจ

หรืออีกกรณี มีกลุ่มคนชอบชวนกันมีเซ็กซ์แบบไฮที่ชวนกันปาร์ตี้ เรียกว่ากลุ่ม ‘chemsex’ หมายถึงการใช้สารเสพติดในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้สารเสพติดเป็นตัวช่วยหรือทางลัดให้แนบชิดกันมากขึ้น อยู่ในภาวะขาดการควบคุม ขาดการยับยั้งชั่งใจ ป้องกันตัวเองได้น้อยลง โดยปกติก่อนหน้าที่จะมีโรคระบาด chemsex มักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพราะไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ปิดบ้านอยู่ด้วยกันมืดๆ แล้วไฮกันหลายๆ คน

chemsex ในช่วงโควิด-19 น่ากลัวเพราะอะไร

ช่วงที่มีโควิด-19 หลายคนได้ work from home อาจเป็นโอกาสให้การมี chemsex ขยายจากช่วงสุดสัปดาห์จนเกิดขึ้นวันไหนก็ได้เพราะไม่ต้องออกไปทำงาน มักมีการชักชวนคนหน้าใหม่มาเพิ่มเพื่อเป็นการแก้เบื่อและสร้างความตื่นเต้น ทีนี้เนื่องจากในวง chemsex จะมีการสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดมาก นั่นเป็นการเพิ่มโอกาสติดเชื้อ เพราะเมื่อเราเมาและเอากันทั้งวันทั้งคืนเท่ากับว่าเราเพิ่มระยะเวลาสัมผัสเชื้อ 

หากชวนกันมา 5 คน 4 คนไม่มีเชื้อ แต่ 1 คนมีเชื้อ เท่ากับว่าเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ และเมื่อคนใหม่เข้ามาเพิ่ม อาจมีการเจอคนได้มากถึง 10-15 คน หรือมากกว่านั้น เมื่อต้องอยู่ด้วยกันทั้งคืนเพราะมีการล็อกดาวน์เวลา 4 ทุ่ม – ตี 4 อาจเป็นการเพิ่มความถี่ในการสัมผัสเชื้อเข้าไปอีก

ช่วงนี้ถ้าลองเปิดแอพฯ หาคู่จะเห็นว่ามีคนออนไลน์อยู่แล้วชวนกันมาไฮ-ฟัน BBCF (bareback chemfun–มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงตอนกำลังไฮ) การใช้ยาเสพติดทำให้คนกลุ่มนี้พักผ่อนน้อย ไม่กินข้าว และไม่ออกกำลังกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่ากลุ่มนี้จะมีคนจำนวนหนึ่งติดเชื้อเอชไอวีอยู่ บางคนมีซิฟิลิสและไวรัสตับอักเสบซี บางคนรักษา บางคนไม่รักษา ปรากฏว่าเมื่อสั่งปิดเมืองแล้วคนกลุ่มนี้ไฮกัน ทำให้อาจไม่ได้รับยาต้านไวรัสตามที่โรงพยาบาลหรือคลินิกนัด เพราะว่าเพลีย ไปไม่ไหว หรือกำลังสนุกอยู่ พอรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ คนคนหนึ่งอาจไปติดอยู่ในเมืองอื่นที่ไหนสักแห่งทำให้เดินทางกลับมารักษาตามสิทธิอย่างที่เคยทำไม่ได้ 

ไม่ใช่แค่นี้ แต่เรายังมีประชากรที่เป็น sex worker ไม่ว่าจะอยู่ที่กรุงเทพฯ พัทยา หาดใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือเมืองอื่นๆ แต่เดิมเขาอาจเคยรับยาอยู่ที่เมืองเหล่านั้นเพราะอยู่ที่นั่น เมื่อมีการปิดเมืองปุ๊บเขาก็ไม่มีรายได้และจำเป็นต้องกลับต่างจังหวัด พอคนแยกย้ายเดินทางกลับต่างจังหวัดกันหมด ถ้าเกิดว่าไม่ได้ไปรับยาที่บ้านในต่างจังหวัดหรือโรงพยาบาลบางแห่งยาไม่พอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาจสั่งหมอว่าให้สั่งยาได้แค่ 14 เม็ดต่อคน โดยให้คนไข้มารับยาทุก 2 สัปดาห์ กลายเป็นไม่ได้รับยาต่อเนื่อง ต้องขาดยา การรักษาก็ขาดช่วงไป

เมื่อเกิดกรณีนี้แล้วคนที่ติดเชื้อเอชไอวีและรักษามาอย่างดีจนตรวจไม่พบเชื้อไวรัส (undetectable) แค่ขาดการรักษา 2-3 สัปดาห์ไวรัสจะกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา ทำให้การรักษาที่ผ่านมาทั้งหมดล้มเหลว สมมติว่าคนกลุ่มนี้กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ในช่วงที่ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว ถ้าเขามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันหรือเกิดอุบัติเหตุอย่างถุงแตก โลกนี้อาจต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเอชไอวีระลอกใหม่ ในรอบต่อไปจะเป็นการแพร่ของเชื้อเอชไอวีดื้อยา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่จะเจอปัญหานี้ แต่อาจเกิดขึ้นทั่วโลก

เรื่องการใช้ยาเสพติดระหว่างมีเซ็กซ์ คุณหมอมองว่าเป็นเรื่องผิดบาปไหม

ผมขอตอบในฐานะมนุษย์ ไม่ตอบในฐานะหมอ ถ้าในฐานะหมอจะตอบว่าการเล่นยาเป็นสิ่งที่ไม่ควร ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเพิ่มความเสี่ยงทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และผิดกฎหมาย แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรารู้ว่าความต้องการ พื้นฐานทางจิตใจ และภูมิหลังคนเราไม่เหมือนกัน

ถามว่าใช้ยาเสพติดแล้วเป็นคนเลวไหม ผมว่าไม่ใช่ แต่ว่าเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เสียสุขภาพ เสียหน้าที่การงาน เสียชีวิต เพราะฉะนั้นต้องรู้ตัวว่าจะจัดการความเสี่ยงยังไง เช่น ผลข้างเคียงจากการเล่นยามากไปอาจเกิดอาการ overdose หรือการใช้ยาเกินขนาด เสี่ยงติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ทั้งหลาย เสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายและซึมเศร้า และที่เพิ่มตอนนี้คือเสี่ยงติดโควิด-19 หมอพยายามเข้าใจคนไข้และพยายามทำให้มีสุขภาพร่างกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางสังคม ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้บริบทของแต่ละคน การทำให้เขาตระหนักได้เองจะได้ผลดีกว่า

หมอคิดว่าเราดูแลเขาเหมือนเป็นพี่น้องและเพื่อนสนิท ถ้าเพื่อนมีความเสี่ยงจะช่วยลดความเสี่ยงนั้นยังไง ถ้าน้องเราป่วยจะทำยังไงให้เขาสบายดี ปลอดภัย ให้ผ่านปัญหานี้ไปได้

 

จริงๆ แล้วช่วงนี้เรายังมีเพศสัมพันธ์กันได้ไหม หากมีต้องป้องกันเป็นพิเศษกว่าปกติไหม

ในอุดมคติต้องประกาศกร้าวว่าทุกคนไม่ควรมีเซ็กซ์ช่วงนี้ แต่ความเป็นจริงเรารู้ว่าหลายคนก็ยังมีเซ็กซ์กันอยู่ เราจะแบ่งเป็นกลุ่มอย่างนี้ หนึ่ง เป็นกลุ่มที่มีคู่ เป็นคู่ผัวเดียวเมียเดียวและอยู่ด้วยกันที่บ้านอยู่แล้ว มีอะไรกันได้เหมือนเดิมเพราะสัมผัสใกล้ชิดกันตลอดเวลา อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายต้องป๊ะกันนิดหนึ่ง ยิ่งในเวลาแบบนี้อีกอาจเพิ่มโอกาสการมีอะไรกัน

อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นแฟนกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาอาจอยากเจอกัน บางทีอาจโฟนคอล วิดีโอคอล หรือแม้แต่เซ็กซ์โฟน ซึ่งอาจจะไม่พอเพราะความสัมพันธ์ของมนุษย์ต้องการการถึงเนื้อถึงตัว บางคนแอบไปนัดเจอคนนั้นคนนี้แต่ไม่บอกแฟน พอออกไปข้างนอกคุณจะมีความเสี่ยง ถ้าไม่เสี่ยงแพร่เชื้อก็เสี่ยงรับเชื้อ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องป้องกันและระวังให้ดี 

ต่อมาคือคนโสด คนเปลี่ยว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มันต้องการความใกล้ชิด บางคนอาจพยายามหลีกเลี่ยงไม่เจอคน อยู่บ้านช่วยตัวเอง ซึ่งอันนี้ก็ป้องกันความเสี่ยงได้ แต่ยังมีบางคนที่นัดเจอกันอยู่

ในกรณีโควิด-19 การที่เรามีเซ็กซ์จะมีความเสี่ยง องค์การอนามัยโลกบอกว่าโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าถามหมอก็จะตอบว่า ถูก มันไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพราะไม่แพร่เชื้อตอนสอดใส่ แต่มันแพร่จากการสัมผัสใกล้ชิด การหายใจเอาละอองฝอยและเชื้อโรคเข้าไป ไม่ว่าจะเอามือไปจับโดนตา หน้า จมูก หรือหายใจเข้าไป เมื่อมีเซ็กซ์จะมีการเอาหน้ามาใกล้กัน จูบกัน แล้วหายใจเข้า-ออก ก็สามารถแพร่เชื้อและรับเชื้อได้ง่าย เพราะฉะนั้นจำไว้ว่าแม้ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ก็แพร่ได้ขณะมีเซ็กซ์

การห้ามให้คนหยุดมีเซ็กซ์เป็นเรื่องยากมากเหมือนกัน

ยากมาก เพราะมันคือความต้องการโดยสัญชาตญาณมนุษย์ ที่คลินิกยังมีคนไข้ที่ต้องการมารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วันนี้มารักษาหนองใน วันนี้ถุงหลุดหรือถุงแตก รวมทั้งถุงยางขาดตลาด ซึ่งเป็นหลักฐานว่าคนยังคงมีเซ็กซ์กันจริงๆ 

เรื่องถุงยาง ช่วงเดือนมีนาคมพอมาเลเซียปิดประเทศก็ไปกระทบกับบริษัท Karex Bhd ผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่ผลิตได้มากที่สุดในโลก เขามีฐานการผลิตอยู่ในมาเลเซียและที่หาดใหญ่ พอไทยกับมาเลเซียปิดเมืองปุ๊บทำให้ไม่สามารถผลิตและส่งออกถุงยางไปทั่วโลกได้ คนเดือดร้อนมากๆ เพราะมีอัตราเสี่ยงตั้งท้องและเสี่ยงรับเชื้อเอชไอวีและโรคอื่นๆ มากขึ้น บริษัท Karex Bhd จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐบาลว่าในสถานการณ์แบบนี้ถุงยางอนามัยสำคัญมากเพราะความต้องการใช้ยังมีอยู่ ดังนั้นรัฐบาลเลยอนุญาตให้บริษัทดำเนินการผลิตถุงยางต่อได้ ด้วยกำลังคนที่มีแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ผลิตได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เคยผลิต ซึ่งเขาบอกว่ายังไม่พออยู่ดี

มีวิธีอื่นทดแทนไหมถ้าเรายังอยากมีเพศสัมพันธ์กันจริงๆ 

ช่วยตัวเองเลย เพราะมันง่ายมากและเร็วด้วย อย่าง Pornhub มี Pornhub Premium ให้คนเข้าไปใช้ฟรีในช่วงนี้ แต่ผมไม่ได้บอกให้เข้าไปใช้บริการนะ แค่ยกตัวอย่าง อย่างแอพฯ หาคู่บางแอพฯ ก็เปิดให้คนใช้ premium access ได้ แต่ก็ต้องใช้อย่างระวัง หรือบางคนอาจวิดีโอคอลหรือโฟนคอลแล้วเซ็กซ์โฟนก็เป็นไปได้

ควรจัดการความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีและเชื้อโควิด-19 แบบไหน

ต้องจำไว้ว่าชีวิตคือความเสี่ยง การมีชีวิตอยู่คือการจัดการความเสี่ยงได้ดี คนที่มีเซ็กซ์ก็เสี่ยงหมด มาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19 เอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ก็มีจุดเหมือนกัน เช่น ควรรักษาระยะห่างทางร่ายกายกัน ไม่ควรจับหน้า ควรพกทิชชู่หรือแอลกอฮอล์ จะจามหรือไอก็ใช้ทิชชู่ และล้างมือบ่อยๆ 

นอกจากโควิด-19 ความเสี่ยงของการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเอชไอวี ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ หรือไวรัสตับอักเสบซี ก็มีมากขึ้น และความเหมือนกันของโควิด-19 และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พวกนี้คือ มันไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นเพศไหนเพราะสามารถติดได้หมดตราบใดที่เป็นคน สิ่งที่เหมือนกันอีกคือไม่มีอาการไม่ได้แปลว่าปลอดเชื้อ ไม่มีอาการก็แพร่เชื้อได้ สมมติว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือโควิด-19 มาเมื่อ 10 วันที่แล้ว ยังไม่มีอาการอะไร ลองตรวจเลือดดูก็ได้ผลลบ เพราะอยู่ในช่วงที่ร่างกายยังไม่ตอบสนองด้วยการผลิตแอนตี้บอดี้ ตรวจภูมิคุ้มกันก็ยังไม่ขึ้นเพราะร่างกายยังไม่ตอบสนอง โดยปกติร่างกายมนุษย์จะตอบสนองที่ 28 วัน เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าเราตรวจเลือดหรือโควิด-19 แล้วได้ผลลบ เมื่อไปเจอคนอื่นโดยไม่ป้องกันเราก็แพร่เชื้อต่อเต็มๆ

การมีเซ็กซ์ไม่ว่าจะป้องกันหรือไม่ก็ตามถือเป็นความเสี่ยง ต้องได้รับการตรวจเสมออย่างน้อยทุกๆ 6 เดือนแม้ว่าจะไม่มีอาการใดก็ตาม จะได้รู้ว่าผลเป็นบวกหรือลบ เมื่อรู้ผลจะได้จัดการดูแลต่อได้ แต่อีกหน่อยในกรณีของโควิด-19 ถ้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จดทะเบียนชุดตรวจสอบโควิด-19 แล้วเสร็จก็อาจมีจำหน่ายในคลินิกหรือโรงพยาบาลมากขึ้น ส่วนการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ มาตรวจที่คลินิกได้เลยทุกวัน 

โควิด-19 ส่งผลกระทบอะไรกับการดูแลรักษาเอชไอวีบ้าง

การจัดการกับโควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่ว มันส่งผลกับการผลิตยาต่างๆ ด้วย เช่น ประเทศจีนโดยเฉพาะที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตยาต้านไวรัส หรือ active pharmaceutical ingredients (API) จำนวนมาก ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อินเดีย และไทย ซึ่งประเทศพวกนี้มีการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อจ่ายให้ผู้แทนจำหน่าย บริษัทกระจายสินค้าจ่ายยาไปยังโรงพยาบาลและร้านขายยาอีกทอดหนึ่ง เมื่อจีนปิดเมืองอู่ฮั่น โรงงานโดนสั่งปิด ผลิตไม่ได้ ประเทศอื่นๆ จึงพลอยได้รับผลกระทบกันหมด 

อย่างที่อินเดีย เมื่อวัตถุดิบไม่พอต้องนำยาสำรองมาใช้ ปกติเขามีสำรองใช้ประมาณ 4-5 เดือน แต่ช่วงนี้ของสำรองเหลือแค่ 2-3 เดือน ทำให้ผลิตได้น้อย หมอได้รับรายงานว่าราคายาบางตัวอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่เมืองไทยยังสามารถผลิตยาเองได้ ไม่ว่าจะเป็นยา PrEP หรือยาต้านไวรัสอื่นๆ ที่ใช้รักษา เราจึงมียาสำรองเพียงพอ 

ในเรื่องการดูแลรักษา ก็มีทั้งการป้องกันและการรักษา ถ้าเกิดว่าวิกฤตโควิด-19 ยาวนานกว่านี้ ผลิตยาได้น้อยลง หมอโดนสั่งให้จ่ายยาทีละน้อยๆ คนไข้ออกมารับยาไม่ได้ คนกิน PrEP ต้องหยุดกินแต่หยุดพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้ คนถุงหลุดถุงแตกไม่มียาต้านฉุกเฉินให้บริการ คนกินยารักษาเอชไอวีขาดการรักษาต่อเนื่อง โรงพยาบาลมีคนไข้โควิด-19 เยอะขึ้นจนบุคลากรไม่พอ มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เอชไอวีและเอชไอวีดื้อยาจะแพร่ระบาดขึ้นมาใหม่ เพราะช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เราบอกให้คนรักษาระยะห่างทางกายอยู่แต่บ้านก็จริง แต่มีคนจำนวนมากเหมือนกันที่ยังมีเซ็กซ์หรือนัดเจอกันอยู่ 

ในกรณีที่ยาต้านไวรัสเอชไอวีผลิตได้จำกัด ผู้ติดเชื้อควรปฏิบัติตัวหรือสั่งยายังไง

ตอนนี้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือคลินิกมีการปรับตัว เพราะเมื่อไม่สามารถไปรับยาได้คนจะขาดยา เราต้องป้องกันการขาดยานี้ ทาง PULSE CLINIC จึงเตรียมสำรองยาต้านไวรัสเอาไว้ มีการเตรียมการเพื่อช่วยเหลือแบบฉุกเฉินให้คนที่อยู่เมืองไทยทั้งหมดสามารถรับยาต่อเนื่องได้โดยที่ไม่ขาด โดยสามารถติดต่อได้ที่ [email protected] หรือโทร 02-652-5097 (สาขาสีลม) 02-168-7459 (สาขาสุขุมวิท) 07-663-3368 (สาขาภูเก็ต) เราจะจ่ายยาให้คนที่อยู่เมืองไทย เพราะจะมีคนต้องการรับยาในยามฉุกเฉินมากขึ้น

โดยปกติเวลาไปรับยาที่โรงพยาบาลเราจะไม่ได้ติดต่อกับโรงพยาบาลตลอดเวลา เมื่อเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่ได้อัพเดต ในช่วงนี้อาจมีบางคนขาดนัดโรงพยาบาลเพราะออกจากบ้านไม่ได้หรือไม่สะดวก ทั้งยังเสี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด-19 การป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นคือ ‘ขาดนัดอย่าขาดยา’ เราต้องเตรียมยาไว้ให้พอและจ่ายยาให้คนไข้ในกรณีฉุกเฉินได้ ตอนนี้ PULSE CLINIC สามารถจ่ายยาให้ 1-3 เดือนต่อคน ไม่ว่าจะเป็นยารักษา ยาต้านไวรัส หรือยา PrEP ก็ตาม ส่วนการรับยาต้านฉุกเฉินต้องมารับที่คลินิก 

เมื่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้รับเชื้อโควิด-19 เขามีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยหรือเป็นหนักกว่าคนอื่นหรือเปล่า

ถ้าพูดถึงผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่มีเอชไอวีแต่ยังไม่เคยตรวจเลยไม่รู้ว่ามี หรือคนที่มีเอชไอวี เคยมาตรวจแล้ว รู้ผลแล้วว่ามีเอชไอวี แต่ยังไม่ได้รับการรักษา ทั้ง 2 กลุ่มอาจเป็นผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำหรืออ่อนแอ ถ้ากลุ่มนี้ไปสัมผัสกับเชื้อโควิด-19 ปุ๊บจะมีโอกาสป่วยมากขึ้น โอกาสที่อาการของโรคโควิด-19 มีความรุนแรงก็จะสูงกว่าและมีโอกาสเสียชีวิตได้เพราะภูมิคุ้มกันสู้ไม่ไหว เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่เคยตรวจเลยควรที่จะตรวจหาเชื้อเอชไอวีเพื่อให้รู้ว่าตัวเองมีเชื้อหรือไม่ สำหรับคนที่เคยตรวจแล้วและรู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็ต้องเริ่มการรักษาทันที นี่คือข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันเบื้องต้น พร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยงสัมผัสโรคโควิด-19

กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่รู้แล้วว่าตัวเองมีเชื้อเอชไอวีและได้รับการรักษาแล้วจนตรวจไม่พบเชื้อ มี CD4 อยู่ในระดับที่ดี ซึ่งสูงกว่า 300 ขึ้นไป เรียกว่ามีภูมิคุ้มกันแข็งแรง เป็นปกติเหมือนประชากรทั่วไปเลย เพราะฉะนั้นความเสี่ยงก็จะเท่าๆ กับประชากรทั่วไป เรียกว่าประชากรเสี่ยงเท่าไหน ตัวเราที่ติดเชื้อแต่ภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็เสี่ยงเท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องจำว่าการรักษาเอชไอวีสมัยนี้ง่าย ถ้าเรารักษาจนตรวจไม่พบเชื้อแล้วก็จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป ไม่เจ็บป่วยจากเอชไอวี ไม่กลายเป็นโรคเอดส์ และไม่ต้องเสียชีวิตจากเอดส์ นอกจากนี้ถ้ารักษาจนกดเชื้อไว้จนตรวจไม่พบแล้วก็ไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีกด้วย

ในกรณีของผู้ที่เกิดโรคแทรกซ้อนจนพัฒนาเป็นโรคเอดส์แล้ว อันตรายกว่าผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีทั่วไปยังไง

อันตรายกว่าเพราะเหมือนได้รับโรคเข้ามาเพิ่ม แต่ต้องอธิบายก่อนว่าโดยปกติแล้วการติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้แปลว่าต้องกลายเป็นเอดส์เสมอไป แต่ทุกคนที่เป็นเอดส์ต้องติดเชื้อมาก่อน เพราะฉะนั้นคนที่ติดเชื้อที่รักษาภูมิให้ดีก็จะไม่กลายเป็นเอดส์ ไม่ป่วยและตายจากเอดส์ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่รักษาหรือรักษาไม่ดี กินๆ หยุดๆ แล้วอยู่ไปนานๆ อาจเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ เมื่อเป็นเอดส์ปุ๊บจะมีความเสี่ยงมากขึ้น ผู้ป่วยเอดส์สามารถติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งในที่ต่างๆ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพมากๆ

เพราะฉะนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องรักษาเอชไอวี เพื่อจะได้ไม่ป่วย มีชีวิตยืนยาวแข็งแรงอย่างคนทั่วไป การรักษาเอชไอวีทุกวันนี้ทำได้ง่ายมากแค่ตรวจเลือด กินยาวันละเม็ดทุกวัน สามารถมีชีวิตอยู่ยาวนานได้จนถึง 80-90 ปี โดยที่ไม่ป่วยและไม่ตายเพราะเชื้อเอชไอวี 

ช่วงนี้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสทุกวันควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ยังไงอีกบ้าง

สำหรับคนที่ต้องอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและทำการรักษาอยู่แล้ว เราก็จะรู้ว่ามันง่าย แค่กินยาตรงเวลาทุกวัน หาหมอตามนัดทุก 6 เดือน ส่วนใหญ่จะดูแลตัวเองกันดีมากจนหมอต้องชม

สำหรับในช่วงโควิด-19 หมออยากให้วิ่งไปดูในตู้เก็บยาเลยว่ามียากินพอถึง 30 เม็ดไหม สมมติว่าล็อกดาวน์ยาวไปถึง 30 วันหรือนานกว่านั้นเราจะมียาพอกินไหมเพราะห้ามขาดยาโดยเด็ดขาด เมื่อขาดยาหรือหยุดยาจะมีโอกาสที่จะเกิดเชื้อดื้อยา ในกรณีที่ไม่พอให้รีบติดต่อคลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อขอรับยาก่อนเลย ไม่ว่าจะถึงเวลานัดหรือยังไม่ถึงก็ตาม แนะนำว่าอย่างน้อยขอให้มียาเก็บไว้ 30 วัน

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังแนะนำว่า ควรอนุญาตให้ผู้ที่รับการรักษาเอชไอวีมียาสำรองไว้ 3 เดือน หรืออย่างมาก 6 เดือน เพราะฉะนั้นคนที่กังวลว่าไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้หรือไม่สะดวก ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดหรือเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินในการรับยาต้านไวรัสช่วงโควิด-19 ระบาดก็สามารถติดต่อคลินิกได้เลย คลินิกยินดีที่จะจัดส่งให้ทั่วประเทศ 

มีโอกาสไหมที่ยาต้านไวรัสเอชไอวีจะขาดตลาด

ต้องดูว่าเรามองในระยะสั้นหรือยาว ระยะสั้นเราได้รับคำยืนยันจากผู้ผลิตว่าไม่ขาด แต่ถ้าโควิด-19 ลากยาว ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดมันก็เป็นไปได้ ถ้ามีการปิดเมืองอย่างเข้มงวดสุด มีเคอร์ฟิวในช่วงเวลาทำการ รัฐบาลคุมเข้ม เราต้องตั้งคำถามว่าในระยะยาวจะกระทบกับโรงงานผลิตยายังไง วัตถุดิบจะพอไหม การขนส่งเป็นไปได้ไหม ถ้าไปกระทบกับ supply chain ก็อาจมียาไม่พอใช้และมีราคาสูงขึ้น คนที่มาซื้อยาก็มีเงินไม่พอเพราะรายได้ลดลง ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อยาเข้ามาให้ได้จำนวนเท่าเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยขาดยา 

ภาวะยาขาดตลาดน่ากลัวยังไง

ถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้นถือเป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่าจะกังวลมากทีเดียว ประการแรก ถ้าโรงพยาบาลไม่มียาจ่ายให้คนที่กินยา PrEP เพื่อเพิ่มการป้องกัน แล้วถ้าถุงยางขาดตลาดไปด้วยก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ กลุ่มนี้ยิ่งมีความเสี่ยงเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบซี และอาจมีการระบาดของซิฟิลิสหนักกว่าเดิม

ประการที่สอง กลุ่มคนที่รับยาต้านไวรัสเพื่อรักษาเอชไอวี ถ้ากลุ่มนี้ขาดยา อย่างที่บอกไปแล้วว่าขาดแค่ 2-3 สัปดาห์ เชื้อในตัวก็จะเริ่มกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา หมายความว่ายาที่มีอยู่ในตลาดจะไม่สามารถรักษาเชื้อเอชไอวีนั้นได้แล้ว ทำให้ต้องปรับเป็นยาตัวใหม่ซึ่งผลิตได้น้อยและมีราคาแพงมาก ถ้ายาตัวใหม่ผลิตไม่พอหรือไม่ทัน หรือเกิดเชื้อดื้อยาต่อยาตัวใหม่ ก็จะไม่มียารักษา กลายเป็นติดเชื้อเอชไอวีดื้อยา หากไม่มีการรักษาก็จะมีคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์จากเอชไอวีที่ดื้อยามากขึ้นในอนาคต

ถ้าเกิดกรณีร้ายแรงที่สุดอย่างนี้เราควรกังวลได้แล้วว่าจะเตรียมรับมือยังไง หากการระบาดของโควิด-19 เรื้อรังยาวนาน 6-12 เดือน ข้ามภพข้ามชาติ อาจมีผลกระทบมากกว่าที่คิด ตอนนี้จึงควรคิดถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้นเพราะเป็นเรื่องระดับโลก ระดับองค์การอนามัยโลก องค์การสหประชาชาติ รัฐบาลทุกที่ต้องมารวมกัน มาคุยกันว่าจะรับมือและแก้ปัญหานี้ยังไง จะให้บริการคนยังไงบ้าง 

คุณหมอมองว่าตัวเองและทีมงาน PULSE CLINIC มีส่วนช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ได้ยังไงบ้าง

ตั้งแต่ตอนที่ก่อตั้งคลินิกขึ้นมากับพี่ชายซึ่งเป็นเกย์เหมือนกัน ก็ชวนคุณแม่ซึ่งเป็นพยาบาลเกษียณอายุราชการมาช่วยทำงานที่คลินิก เพราะตอนนั้นไม่มีเงินจ้างคนอื่น เราก็มาจากครอบครัวที่ลำบากมาก่อน หมอบอกคุณแม่ว่า “แม่ เต้อยากเปิดคลินิกที่ช่วยคนที่เป็นเหมือนเต้ ดูแลทั้งคนที่เป็นเกย์และคนทุกเพศ อยากช่วยคนให้ดูแลตัวเองเรื่องการมีเซ็กซ์ คนเล่นยา และคนที่ถูกตีตราบาปในสังคม เพราะกลุ่มนี้ไม่มีใครดู ไม่รู้จะไปหาใคร” แม่เราบอกว่า โอเค ถ้าตั้งใจจริงๆ แล้วไม่มีคนช่วยแม่จะช่วยลูก จากนั้นพี่ชาย คุณแม่ และคุณพ่อ ก็ย้ายมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกัน 

ปกติแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องที่คนไม่พูดถึงเพราะอาย กลัว เขิน ไม่กล้า พอไม่พูดก็หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลายๆ เว็บไซต์ก็ให้ข้อมูลผิดๆ หรือไม่อัพเดต คนเราก็ไม่รู้ว่าต้องดูแลตัวเองยังไง หมอเองเคยต้องไปรับยาต้านฉุกเฉินในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาด่าเราว่า “ทำไมคุณหมอทำตัวแบบนี้คะ เมาได้ยังไง” “เอ้า คุณหมอเป็นเกย์ด้วยเหรอคะ” กลายเป็นโดนด่ายาวทั้งๆ ที่เราไปขอความช่วยเหลือ เราเลยเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องการความช่วยเหลือแต่ไปหาใครไม่ได้ว่ามันทุกข์ยังไง 

ดังนั้นหน้าที่ของ PULSE CLINIC คือการดูแลสังคมให้ทุกคนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีในวิถีชีวิตที่ตัวเองเลือก โดยเฉพาะในวิกฤตแบบนี้ไลฟ์สไตล์ของคนจะเปลี่ยนแปลง แต่ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ยังเหมือนเดิม เราต้องการความรัก ต้องการการสัมผัส ต้องการความแนบสนิทชิดเชื้อ ยังมีคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดิมอยู่ เราแค่คิดว่าจะทำยังไงให้เขารู้ว่าหมอต้องการให้ทุกคนได้ข้อมูลที่ถูกต้อง อัพเดตข้อมูลที่ถูกต้องให้ตัวเองเสมอ แล้วเราจะไม่มัวกังวลหดหู่กับภาวะวิกฤต แต่จะมีองค์ความรู้ว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ยังไง

ตรวจบ่อยๆ รู้เร็วป้องกันเร็ว รู้แล้วรักษาเลย โรคของคนรักสนุกมีอะไรบ้าง แล้วต้องตรวจอะไรบ้าง แต่ละอย่างรักษายังไง ถุงแตกทำยังไง ยา PrEP คืออะไร กินยังไง ยาต้านฉุกเฉินมีไว้ทำไม รักษาเอชไอวีง่ายแค่ไหน ถามหมอและบุคลากรเก๋ๆ ที่ PULSE CLINIC ได้ทั้งทางออนไลน์และที่คลินิก คบ PULSE เป็นเพื่อน ใช้ความรู้เป็นอาวุธ และถ้ามีอาวุธครบมือเราก็พร้อมที่จะสู้ศึกทุกสนามได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

AUTHOR