สตูดิโออิสระค่าย A24 ปักหมุดหมายบนเวทีออสการ์ได้อย่างน่าชื่มชม ภาพยนตร์ 6 เรื่องมีชื่อเข้าชิงมากที่สุดรวม 18 รางวัล ไล่ตั้งแต่รางวัลใหญ่สุดของเวทีในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเรื่อง Everything Everywhere All at Once ที่เป็นภาพยนตร์มีชื่อเข้าชิงมากที่สุดของปีถึง 11 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์เรื่อง ‘Close รักแรก วันนั้น’ มีชื่อเข้าชิงในสาขา International film ทำให้กลายเป็นสตูดิโอเดียวที่รวมแล้วมีชื่อเข้าชิงสาขาต่างๆ มากที่สุดในงานประกาศรางวัล Oscar ครั้งที่ 95 ประจำปี 2023
‘Close รักแรก วันนั้น’ นำแสดงโดยสองนักแสดงเด็กหน้าใหม่ เอเดน ดองบรีน (Eden Dambrine) ในบท เลโอ และ กุสตาฟ เดอ เวล (Gustav De Waele) ในบท เรมี แต่ฝีมือการแสดงของทั้งคู่ไม่ธรรมดา ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวและการกำกับการแสดงที่น่าประทับใจจนตรึงสายตาและขโมยหัวใจผู้ชมไปได้ตั้งแต่เปิดฉากแนะนำตัวละคร เป็นการเล่าเรื่องราวมิตรภาพของเด็กชายในวัย 13 ปี ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและการค้นหาตัวตนที่ทั้งงดงามและสะเทือนอารมณ์
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับดาวรุ่งชาวเบลเยียม ลูกัส ดงต์ (Lukas Dhont) ที่เคยส่งภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต ‘Girl’ เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 71 ในปี 2018 และยังกวาดรางวัลมากมายจนทำให้ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดนี้เป็นที่จับตามอง โดยในปี 2022 ภาพยนตร์เรื่อง ‘Close’ ชนะรางวัล ‘Grand Prix’ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 75 และถือเป็นภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศตัวเต็งมาแรงสุดในงานประกาศรางวัลออสการ์ของปีนี้
เลโอ และ เรมี เด็กชายสองคนที่ปลูกมิตรภาพระหว่างช่วงปิดภาคเรียน ความแน่นแฟ้นที่ทั้งคู่มีให้กันเล่าผ่านฉากเรียบง่ายที่เราสามารถเชื่อมโยงกลับไปในวัยเด็กของตัวเอง จนอาจทำให้นึกถึงเพื่อนรักที่หายหน้ากันไปด้วยฉาก เช่น
- การสวมบทบาทเป็นนักรบในป่าที่มีธรรมชาติอยู่เบื้องหลัง ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับจินตนาการและความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ที่เราอาจหลงลืม
- การที่ เลโอ ขอคุณแม่ของเขามาค้างกับครอบครัว เรมี หมกตัวอยู่ที่บ้านด้วยกันจนแม่สนิทกับเพื่อนของลูกเสมือนเป็นลูกชายอีกคนของบ้าน แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันมีให้กันอย่างลึกซึ้งและมากกว่าแค่ลูกเพื่อนข้างบ้าน
- ในส่วน เรมี เองที่ดูเหมือนเป็นเด็กสดใส ไร้เดียงสา และร่าเริงอยู่เสมอ กลับมีปัญหาการนอนที่ต้องมี เลโอ คอยเป็นเซฟโซนกล่อมให้หลับก่อนนอน
ลูกัส ดงต์ ผู้กำกับของเรื่องให้สัมภาษณ์ไว้ว่า กว่าที่จะได้ตัวนักแสดงมารับบทนำในเรื่อง ต้องแคสติ้งเด็กชายรวมแล้วกว่า 580 คน จนวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินทางด้วยรถไฟไปประเทศเบลเยียม เหลือบมองไปเจอกับ เอเดน กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่เก้าอี้ใกล้ๆ กับเขาพอดี สายตาทรงพลังและส่งอารมณ์ความรู้สึกของ เอเดน เป็นจุดดึงดูดที่เขาบอกว่าถ้าไม่เข้าไปคุยในวันนั้นจะต้องเสียใจไปตลอด เขาถึงกับกล่าวว่า ‘เหมือนกับโลกทั้งใบอยู่หลังดวงตาคู่นี้’ จึงเดินไปออกปากชวนมาแคสติ้งในบท เลโอ ซึ่งเมื่อเข้ากลุ่มเทรนนิ่งเดียวกันกับ กุสตาฟ ใน บท เรมี ก็รับส่งกันได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ด้วยกันทั้งคู่ แต่ด้วยการใช้เทคนิกการกำกับที่ดึงธรรมชาติของเด็กทั้งสองคนออกมาจนสร้างความประทับใจและเสียงชื่นชม ผู้กำกับกล่าวว่า ก่อนเปิดกล้องนักแสดงเด็กและทีมงานจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแสดง เช่น เดินริมทะเล ฝึกทำแพนเค้ก เป็นการใช้เวลาร่วมกันหลายเดือน ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริงเพื่อให้นักแสดงหน้าใหม่รู้สึกสบายใจกับนักแสดงมืออาชีพและทีมงาน รวมไปถึงการเปิดกว้างให้นักแสดงเด็กทั้งคู่ได้แสดงความคิดเห็นกับบทบาทที่พวกเขากำลังถ่ายทอดออกมา
การแสดงของ เอเดน ในบท เลโอ ส่งอารมณ์ผ่านสีหน้าและแววตาได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อยามรักเขาก็ทำให้เราเชื่อได้สนิทใจว่า นี่คือสายตาของคนที่ตกหลุมรักคนๆ นึงที่ไม่ได้มีเรื่องเพศสภาพเขามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อยามสับสนและโกรธเคืองกับคนหรือสถานการณ์รอบตัวที่เด็กช่วงวัยนี้ต้องเผชิญเป็นครั้งแรก เขาก็ถ่ายทอดออกได้เจ็บปวดสมจริงและทำให้เรารับรู้ถึงความอัดอั้น ขุ่นเคืองในใจของเด็กคนนี้
ในช่วงที่ เลโอ พยายามค้นหาตัวตนของตัวเองในหมู่เพื่อนรอบตัว เขาแสดงให้เห็นถึงความกลัว ความกังวลต่างๆ นานา ที่ต้องเจอกับเด็กร้อยพ่อพันแม่ที่ผ่านการเลี้ยงดูมาแตกต่างกัน แต่ก็เลือกที่จะปะทะกับความเปลี่ยนแปลงและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจนได้รับการยอมรับ แต่นั่นเป็นการผลักไสเพื่อนที่เขารักให้ห่างออกไป ทั้งยังข่มใจไม่ให้เข้าไปใกล้ชิด จนเมื่อประสบกับเหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องซึ่ง เลโอ พยายามสะกดความคิดและปฏิเสธความรู้สึก กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่สุดท้ายการหนีไม่นำมาซึ่งคำตอบ ยิ่งเป็นการทำให้เกิดความว้าวุ่นใจและหาทางออกไม่เจอ
ผู้กำกับเลือกที่จะไม่ทำให้คนดูต้องฟูมฟายกับการสูญเสีย แต่เล่นกับคำถามที่ค้างคาในใจของ เลโอ ที่ค่อยๆ เผยออกมาในแต่ละฉากครึ่งหลังของเรื่อง ก้าวเข้าสู่ช่วงกระหน่ำดำดิ่ง สับสน ซึ่งผู้ชมเองก็เอาใจช่วยอยากให้เขาคลี่คลายปมนี้ให้ได้เพื่อจะได้ปลดปล่อยทั้งตัวแสดงและความเจ็บปวดที่ผู้ชมได้รับจากเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งการเล่าด้วยภาพที่อ่อนโยนแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกจุกในอกและเศร้าจนหัวใจแทบแตกสลาย
ฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นฉากหลังที่เล่าคู่ไปกับการเรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของเด็กชายทั้งสองคน มีช่วงเวลาเบ่งบานของดอกไม้หลากสีสัน ผ่านสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ไปจนถึงช่วงที่ต้องถมดินเตรียมพื้นที่เพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง เช่นเดียวกับชีวิตที่ต้องผ่านเรื่องราวที่มีความสุขจนล้นและมีวันที่ทุกข์ใจจนเหมือนโลกทั้งใบพังลงต่อหน้า โดยเฉพาะในวัยที่อารมณ์ ตัวตน ยังไม่มั่งคงชัดเจน ความเปราะบางนี้จึงทำให้การเจอกับสถานการณ์ต่างๆ เป็นครั้งแรกนั้นกระทบความรู้สึกอย่างรุนแรงภายในใจ จึงไม่แปลกที่รักครั้งแรกจะเป็นรักที่หลายคนจดจำฝังใจเรื่อยมา
สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์แสดงให้เห็นคือระบบซัพพอร์ตทั้งจากครอบครัว โรงเรียน และผู้ใหญ่รอบตัว ที่ถนอมหัวใจเด็กในวัยนี้ไม่ให้พังทลายจากคำพูดหรือการกระทำที่ไม่ไตร่ตรอง เว้นระยะห่างให้พวกเขาได้ค้นหาคำตอบ ไม่เร่งรัดหรือบีบบังคับกับการตัดสินใจใดๆ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผ่านการเสียใจ ผิดพลาด ล้มลุกด้วยตัวเองมาแล้ว ก็จะตกตะกอนและเห็นความจริงผ่านสายตาของเขาเอง ไม่ใช่คำพูดของใครมาบ่งการชี้นำ
คำกล่าวที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” แต่มันก็เป็นวัยที่สนุกและมีเรื่องราวตื่นเต้นให้ค้นหา พอเป็นผู้ใหญ่ที่เจอความผิดหวังซ้ำๆ เข้ามาก็เริ่มด้านชาและหลงลืมไปว่าความรู้สึกรักอย่างบริสุทธิ์นั้นสวยงามแค่ไหนและการเจ็บปวดจนสุดใจมันเป็นอย่างไร คนที่คุณคิดถึงเมื่อถามถึงรักครั้งแรกตอนนี้เขาเป็นอย่างไรกันแล้วบ้าง? ภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยพาคุณทบทวนและตั้งคำถามไปด้วยกัน ‘Close รักแรก วันนั้น’ ฉายจริง 23 กุมภาพันธ์นี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพยนตร์