ย้อนเวลาไปยุคกลางที่ Châteaudouble หมู่บ้านแสนสงบในฝรั่งเศสตอนใต้

ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ในปารีสจะหนาวยะเยือกขนาดไหน แต่แสงแดดที่ฝรั่งเศสตอนใต้ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่มีบกพร่อง

จากที่พักใน Saint-Raphaël เมืองท่าขนาดไม่ใหญ่บนชายฝั่งทะเลเฟรนช์ริเวียราทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เราขับรถคันจิ๋วไปตามไฮเวย์กันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า นานพอที่จะฟังเพลงได้หมดอัลบั้มและเริ่มกลับมาวนลูปเพลงแรกๆ อีกครั้ง จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้คือหมู่บ้านขนาดกะทัดรัดบนภูเขาที่มีชื่อว่า Châteaudouble

หากไม่ได้เป็นเพราะครั้งหนึ่งคุณพ่อของเพื่อนร่วมทางเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เราคงมองข้ามมันไปแน่ๆ เพราะหมู่บ้านบ้าอะไร เสิร์ชรูปในอินเทอร์เน็ตก็แทบไม่มีข้อมูล หน้าวิกิพีเดียก็ไม่บอกข้อมูลอะไรนอกจากข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ในเขตแคว้นไหน กับข้อมูลเชิงสถิติว่าเมืองนี้มีขนาด 40.91 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรอยู่ 185 คนด้วยกัน แต่ด้วยคำโฆษณาปากเปล่าว่าเป็นหมู่บ้านหินจากยุคกลางที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา และน่ารักในแบบที่เราจะต้องหวีดร้อง ก็เลยอยากจะไปให้เห็นกับตาดูสักที

เมื่อเข้ามาถึงบริเวณหมู่บ้านในเวลาเกือบเที่ยง หลังจากที่จอดรถไว้ใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่บนยอดเขา เราก็แวะกินแซนด์วิชที่ห่อกันมาเป็นมื้อกลางวัน แม้อากาศจะเย็นๆ อยู่สักหน่อย แต่แดดที่ส่องมาก็ช่วยให้ความอบอุ่นได้ดี แถมวิวหุบเขาเขียวขจีชวนให้รู้สึกสดชื่นและเจริญอาหารจนเผลอแป๊บเดียวก็หมดเกลี้ยง เราเลยเริ่มการสำรวจหมู่บ้านจากการขึ้นไปดูหอคอยกุดๆ ที่ตั้งเด่นอยู่บนเนินเป็นที่แรก

ชื่อของเมือง Châteaudouble นั้นแปลออกมาได้ว่า 2 ปราสาท และเพื่อนร่วมทางก็เฉลยให้ฟังว่า ในยุคกลาง เมืองนี้เคยมีปราสาทอยู่ 2 หลังจริงๆ ซึ่งปราสาทที่ว่าก็ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเนินนี้แหละ แต่ด้วยเวลาที่ร่วงเลยจึงมีแค่ร่องรอยของกำแพงและมีแค่หอคอยแท่งสี่เหลี่ยมหัวกุดที่ยังรอดมาถึงปัจจุบัน ด้วยความซนเราก็หมายมั่นว่าจะเข้าไปสำรวจข้างในดูสักหน่อย แต่หอคอยถูกล้อมรั้วและแปะป้ายห้ามเข้าไว้อย่างชัดเจน ก็เลยต้องยอมถอดใจ

พอละสายตาจากหอคอย ภาพที่เห็นก็ทำให้เราแทบลืมหายใจ

สวยมาก สวยจนเหมือนภาพวาดเลย

หลังจากที่ยืนชมวิวจนหนำใจ ก็ได้เวลาออกสำรวจต่อพื้นที่ปราสาทเก่าบนเนินบางส่วนกลายมาเป็นสุสานของครอบครัวคนในหมู่บ้าน และเป็นทางตัน เราจึงค่อยๆ เดินลงเนินลัดเลาะไปในหมู่บ้านกันแทน

นอกเหนือจากพวกเรา ก็มีนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสให้เห็นประปราย แต่ก็น่าแปลกใจที่เราแทบไม่ได้เห็นผู้พักอาศัยในหมู่บ้านสักเท่าไหร่จนให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ ทั้งที่เมื่อมองจากบนเนินเราก็เห็นควันไฟจากการจุดเตาผิงลอยออกมาจากปล่องไฟของหลายๆ บ้าน อาจเป็นเพราะลักษณะตัวสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเป็นหินทึบ มีช่องประตูและหน้าต่างบานไม่ใหญ่ แถมยังนิยมเปิดแง้มไว้แค่นิดๆ เราเลยได้แต่สงสัยว่ามีใครอยู่ไหม ด้านในบ้านจะเป็นอย่างไร โดยไม่ได้คำตอบ

รู้ตัวอีกทีหนึ่ง เราก็มาอยู่ในสวนเล็กๆ บนหน้าผา ที่ก่อนหน้านี้เรามองลงมาจากบนเนิน

สวนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ ร่มรื่น เลยไม่แปลกใจที่เราเจอกับคู่คุณตาคุณยายออกมาเดินเล่นรับลมและนั่งมองวิวด้วยกันบนม้านั่ง แถมในบริเวณใกล้เคียงก็มีแก๊งน้องแมวนอนผึ่ง เดินทอดน่องไปมาเหมือนจะมาทักทาย บรรยากาศทุกอย่างชื่นมื่นจนเราคิดไปเองว่าเจ้าของบ้านหลังที่อยู่รายรอบสวนนี้น่าจะมีความสุขน่าดู

ในบริเวณใกล้กันมีร้านคาเฟ่และบาร์ริมหน้าผาที่ดูเหงาๆ อยู่สักหน่อยเพราะโต๊ะเก้าอี้ส่วนใหญ่ไม่มีใครจับจอง เพื่อนร่วมทางบอกว่ามีบ้างเหมือนกันที่จะเห็นคนนั่งกันจนแน่น เพราะทั้งหมู่บ้านมีร้านนี้แค่ร้านเดียวนั่นเอง (ฮา)

ส่วนใหญ่แล้ว อาคารบ้านเรือนที่ยังมีคนอาศัยอยู่เหล่านี้สร้างขึ้นมาช่วงศตวรรษที่ 15 มีการสร้างโบสถ์หินขนาดใหญ่อยู่ตรงใจกลาง หลังจากประชากรบนเนินเริ่มหนาแน่นขึ้นจนไม่พออาศัย ว่ากันว่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ประชากรในหมู่บ้านแห่งนี้เคยมีจำนวนเกือบพันคนด้วยกัน นึกภาพแล้วก็คงจะครึกครื้นพอสมควร ต่างจากในตอนนี้

ระหว่างเดินเล่นในหมู่บ้านที่เงียบสงบ เราก็เจอเข้ากับเหตุการณ์ชวนระทึก นั่นคือแมวเจ้าถิ่นสองตัวกำลังขู่ฟ่อๆ ใส่กัน จากที่อยู่ห่างกันเกือบเมตร เจ้าแมวสีส้มดำกับเจ้าแมวลายสลิดก็ค่อยๆ เดินเข้าประจันหน้ากันแล้วจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา โชคดีที่ในจังหวะนั้นมีหมาตัวโตวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้แมวทั้งสองตัวตกใจกระโจนไปคนละทิศ แต่ดูเหมือนเจ้าแมวสีส้มดำจะสังเกตเห็นพวกเราที่ยืนมองอยู่ได้สักพักและตัดสินใจเข้ามาคลอเคลีย ทิ้งมาดแมวซ่าเมื่อสักครู่ไปเสียสนิท

มิตรภาพของเรากับเจ้าแมวไม่จบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่เราเริ่มออกเดินต่อ เจ้าแมวส้มดำก็ตัดสินใจเดินตามมาจอยด้วยดื้อๆ ไม่ว่าเราจะหยุดถ่ายรูปตรงไหน เจ้าแมวก็จะคอยวนเวียนใกล้ๆ แล้วพอเรานั่งพักชมวิวบนม้านั่ง ก็ยังจะมาเนียนนั่งด้วยอีกต่างหาก เดี๋ยวก็อุ้มกลับประเทศไทยซะเลยนี่

เมื่อเดินสำรวจหมู่บ้านจนทั่ว เราก็ค่อยๆ ไต่เนินเพื่อกลับไปยังที่จุดที่เราจอดรถเอาไว้โดยใช้เส้นทางต่างจากตอนเดินลง เราจึงพบกับซากปราสาทอีกหลัง แต่หลังนี้แทบไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากแนวกำแพงที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นจุดชมวิว มุมที่เห็นเป็นมุมมองจากคนละฝั่งจากในทีแรก

แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กจิ๋วที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่อยู่ในไกด์บุ๊กเล่มไหน ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่มันก็มีมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้เราตกหลุมรักเข้าเต็มเปาเลยล่ะ

AUTHOR