หากนึกถึงอาหารฝรั่งเศส เรามักจะมีภาพจำบรรยากาศคาเฟ่ในเมือง คนนั่งจิบกาแฟ หรือการดื่มไวน์จับคู่กับสเต็กจานใหญ่ลอยเข้ามาในหัว แต่ความเป็นจริงแล้วหลายคนอาจไม่รู้ว่า ในแต่ละภาคของฝรั่งเศสมีสไตล์อาหารและรสชาติไม่เหมือนกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างอาหารไทยบ้านเรา ภาคเหนือต้องข้าวซอย ภาคใต้ต้องแกงเหลืองปลากระพง อาหาร วัตถุดิบและรสชาติแต่ละที่มีความแตกต่างขึ้นอยู่กับบริบทนั้นๆ ฉันใดฉันนั้น อาหารฝรั่งเศสก็เช่นกัน แต่ละที่แต่ละรสชาติจะมาเหมือนกันไม่ได้!
สาเหตุที่ทำให้เราร้องอ๋อ ค้นพบความต่างของรสชาติอาหารฝรั่งเศส เพราะมีโอกาสได้ไปลอง ‘Bistrot De La Mer’ ที่โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพ ซึ่งเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ ‘French Mediterranean’ แบบดินแดนทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองติดชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบอาหารทะเลสดใหม่ โดยการปรุงแต่งรสชาติอาหารจากเชฟฝีมือดี ‘สลาโวเมียร์ โควาลิก’ (Slawomir Kowalik) ผู้เคยทำอาหารให้กับร้านดังในยุโรปหลายแห่งมานานกว่า 4 ปี ซึ่งเขาได้ครีเอตเมนูสุดพิเศษให้คนกินรู้สึกสดชื่น เหมือนได้นั่งกินอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์ริเนียนตั้งแต่คำแรกเลยทีเดียว
อ่านประโยคข้างบนแล้ว ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า เวอร์จัง! เอาจริงๆ ตอนที่ทางร้านบอกว่า กินแล้วจะรู้สึก ‘สดชื่น’ นี่ก็นึกภาพไม่ออกเช่นกัน เพราะล่าสุดที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นก็คือ เบียร์ 1 กระป๋อง (แฮ่!) ด้วยความที่ไม่เคยลองอาหารฝรั่งเศสตอนใต้มาก่อน ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เราจึงขอความช่วยเหลือกับ ‘เจเรมี โกแบร์’ (Jeremy Gaubert) ผู้จัดการร้านอาหาร Bistrot De La Mer มาเล่าเรื่องความพิเศษของอาหารฝรั่งเศสให้ฟังกัน
เจเรมีเป็นคนฝรั่งเศสและมีประสบการณ์ทำงานในร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังมาก่อน เขามีโอกาสเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยที่ไทยมาประมาณ 5 ปีแล้ว เขาเล่าว่า วัฒนธรรมการกินอาหารของชาวปารีเซียง ไม่ได้ติดภาพหรูหราเวอร์วังอย่างที่คนไทยคิด แต่คนที่นั่นให้ความสำคัญกับรสชาติอาหารที่อร่อยจริงจริ๊ง (เน้นคำว่า จริงๆ มาก) รวมถึงความสุนทรีย์ในร้านที่ให้บรรยากาศชิลๆ ผ่อนคลาย และการออกแบบสบายตาชวนรู้สึกน่านั่งไปยาวๆ
แวบแรกที่เข้ามาในร้าน เราสะดุดตากับการดีไซน์ภายในร้านแนว ‘Retro Style’ อธิบายง่ายๆ คือการออกแบบให้ได้กลิ่นอายย้อนยุคในสไตล์โมเดิร์น ด้วยการจัดเฟอร์นิเจอร์โทนเรียบง่าย อย่างโต๊ะไม้และเก้าอี้หนัง ยิ่งตอนเย็นๆ เปิดโคมไฟสีเหลืองนวล ยิ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ก็เท่ในเวลาเดียวกัน
การตกแต่งร้านใช้สีน้ำเงินสื่อถือท้องทะเล ตัดเข้ากันเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอย่างลงตัว อีกอย่างหนึ่งคือวิวนอกร้านเป็นฉากสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เห็นตึกสูงและท้องฟ้าไกลๆ เป็นพื้นหลัง แนะนำว่ามาตอนพระอาทิตย์ตกดิน วิวสวยมากจนคุณไม่อาจอดใจหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเก็บความประทับใจ
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ สายตาหันไปเห็นชื่อร้าน Bistrot De La Mer มีภาษาฝรั่งเศสที่ไม่รู้จัก จึงชวนผู้จัดการร้านบอกที่มาของชื่อร้านสักหน่อย
“La mer แปลว่าอะไรหรือคะ” เราเอ่ยปากถามเจเรมี
“แปลว่า ‘ทะเล’ เพราะเราเป็นร้านอาหารทะเลสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน” เขาตอบ
“คำว่า ‘อร่อย’ ในฝรั่งเศสล่ะคะ เขาพูดกันว่าอย่างไร” เราถามต่อ
“Délicieux (เดลิซีเยอ) พูดคล้ายๆ กับ Delicious เลย” ตอนนี้เจเรมีรับบทเป็นครูสอนฝรั่งเศสสอนการออกเสียงและกระดกลิ้นอย่างตั้งใจ พลางทำหน้าสงสัยและแอบคิดในใจ ยูยังไม่ได้กินอาหารเลยจะรู้สึกอร่อยแล้วหรอ!
ยังไม่ทันที่เจเรมีจะสอนคำศัพท์ฝรั่งเศสคำต่อไป (อาจจะเป็นคำว่ารำคาญก็เป็นไปได้) อาหารจานแรกก็นำมาเสิร์ฟซะก่อน นั่นคือ ‘Salad Nicoise’ หรือ สลัดนิส ด้วยความสงสัยก็ถามไปว่าทำไมชื่อ ‘นิส’ ละ?
จริงๆ มันมาจากชื่อเมืองนีซ (Nice) เป็นเมืองเล็กๆ แถบชายหาดเมดิเตอร์ริเนียน ซึ่งแถบนั้นเด่นในเรื่องผัก ผลไม้สด และน้ำมันมะกอก ในจานอาหารก็จะประกอบไปด้วยผักสด พริกหยวก มะกอก ไข่นกกระทา และทีเด็ดคือ ‘น้ำสลัดมันฝรั่ง’ ที่คลุกเคล้าไปกับผักต่างๆ ที่ทำให้คนเกลียดผักอย่างเราเผลอกินหมดจนเกลี้ยงจานไม่รู้ตัว
ยังไม่ทันวางช้อนพักท้อง จานต่อไปก็เข้ามาเสิร์ฟเหมือนรู้จังหวะ เขาว่ากันว่า เป็นไฮไลต์ของร้าน นั่นคือ ‘Royal Seafood Tower’ เสิร์ฟมาเป็นทาวเวอร์สูง ภายในมีอาหารทะเลสดใหม่ที่คัดวัตถุดิบสุดพิถีพิถัน นำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น หอยนางรม Gillardeau และ Tsarskaya กุ้งลายเสือและหอยเชลล์ชิ้นใหญ่
แค่เห็นอาหารทะเลวางเรียงรายชวนน้ำลายสอแล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ‘น้ำจิ้ม’ ที่กินคู่กับอาหารทะเลแต่ละประเภท ถ้าน้ำจิ้มบ้านเราที่หนึ่งคือ น้ำจิ้มซีฟู้ด ร้านนี้ต้องยกให้ ‘ซอสสไตล์อิตาเลียน’ ที่กินกับหอยนางรม ส่วนประกอบคือ ไวน์แดง น้ำส้มสายชู และหอมแดง ราดไปที่ตัวหอยใส่เข้าปาก รับรองว่ากินแล้วแสงออกปากแน่นอน
เพราะตัวอาหารทะเลสดมาก เนื้อนิ่มเด้งคลุกเคล้าไปกับน้ำจิ้มเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ยิ่งดื่มคู่กับไวน์คือฟินนาเล่ เหมือนตัวเองได้นั่งแช่เท้าที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยังไงยังงั้น (ทำหน้าเคลิ้มไม่รู้ตัว) และนี่คือสิ่งที่เข้าใจแล้วว่า ‘กินแล้วสดชื่น’ มันเป็นอย่างไร
หากใครเป็นสายเนื้อ เราขอแนะนำ ‘Beef Tartare’ เนื้อเทนเดอร์ลอยน์คลุกเคล้ากับซอสสไตล์ฝรั่งเศส ไข่แดงรมควัน โอลีฟออยล์คาร์เวียร์และไข่แดงรมควัน รับประทานคู่กับขนมปังซาวโดวจ์ (Sourdough) รสชาติเข้ากันอย่างเอร็ดอร่อย
จานหลักต่อไปที่ไม่อยากให้พลาดชิมคือ ‘Baked Turbot on The Bone’ สเต็กปลาเทอร์บอท (Turbot) ชิ้นใหญ่นำไปย่างจนกลิ่นหอม เนื้อปลาหนานุ่มกินคู่กับซอส และอาหารเครื่องเคียงอย่างมันฝรั่งอบชีสและผักบล็อกโคลีน้ำมันมะกอกสัดส่วนกำลังดีทีเดียว
สำหรับเมนูที่ชื่นชอบมากที่สุด แอบเทใจให้กับ ‘Riviera Crab Salad’ หน้าตาอาหารเหมือนดอกไม้สีเหลีอง ตรงกลีบมีซอสสีเขียวเล็กๆ วางประดับไว้ข้างบน น้องที่มากินด้วยบอกเราว่า มันมีสีเขียวเหมือน ‘ทิงเกอเบล’ ในการ์ตูนปีเตอร์แพน (หลังจากนั้นทุกคนก็เรียกทิงเกอเบลตลอดไป)
จริงๆ มันเป็นสลัดปูริเวียร่าที่นำเนื้อปู Tourteau คลุกเคล้ากับสลัดผลไม้ เกรปฟรุต ส้มโอ ด้วยน้ำสลัดสูตรพิเศษ ข้างบนเป็นผักอองไดรฟคู่เจลลี่แอปเปิ้ล และแอปเปิ้ลเขียวสไลด์ แนะนำเวลาตักกินให้ครบทุกส่วนในคำเดียว รสชาติเปรี้ยวหวานนิดๆ ให้ความรู้สึกเฟรชมากจนตาตื่น
กินของคาวจนอิ่มท้อง ถึงเวลาปิดท้ายด้วยของหวานสุดท้ายกับ ‘Apple Tarte Tatin’ ทาร์ตแอปเปิ้ลซอสคาราเมล เสิร์ฟคู่กับไอศกรีม Calvados ทำจากบรั่นดีแอปเปิ้ลรสชาติหวานอร่อย เนื้อเนียนและเนื้อผลไม้เต็มคำ สายชอบของหวานต้องไม่พลาดจานนี้ เพราะเป็นขนมซิกเนเจอร์ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว
หลังวางช้อนส้อมบนจานอาหาร เงยหน้ามาอีกทีก็เป็นเวลาค่ำคืนมืดสนิท วิวบรรยากาศนอกร้านเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีบนตึกสูง ตัดกับแสงไฟสีเหลืองนวลบนโต๊ะชวนให้ความรู้สึกอบอุ่น เราชอบบรรยากาศของร้าน ‘Bistrot De La Mer’ ที่ไม่ได้แค่ดีไซน์เรื่องอาหารแสนอร่อย การตกแต่งร้านสุดโมเดิร์น หรือเพลงคลาสสิกที่เปิดในร้านชวนน่านั่งต่อ เหล่านี้คือส่วนผสมชั้นดี ที่ทำให้มื้ออาหารนี้มีรสชาติกลมกล่อมจนลืมไม่ลง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ทางร้านเคยบอกไว้ว่า อยากให้คนกินรู้สึก ‘สดชื่น’ เหมือนอยู่ริมทะเล ขอยืนยันว่า ‘สดชื่นจริง’ ทั้งรสชาติอาหาร บรรยากาศของร้านและความรู้สึกที่ได้รับหลังกินเสร็จ
ร้าน Bistrot De La Mer
เปิดทุกวัน เวลา: 12.00–15.00 น. และ 17.00–22.00 น.
Tel. 02-095-9999
สถานที่: https://goo.gl/maps/KLuBj7egdUvmChJG9
ชั้น 19 โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ, 80 ซอยต้นสน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330