เราไม่ขอเรียกวันนั้นว่าวันเปลี่ยนชีวิต
แต่ขอเรียกมันว่าวันเปลี่ยนความคิด เพราะเราเชื่อมาโดยตลอดว่าแค่เปลี่ยนความคิด…ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว
“ขอแสดงความเสียใจ
ท่านไม่มีอยู่ในรายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก”
ตัวอักษรสีแดงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้มือไม้ของเราสั่นไปหมด
เราบรรยายความรู้สึกในตอนนั้นของเราไม่ได้จริงๆ มันทั้งผิดหวัง เสียใจ กลัว
ความรู้สึกต่างๆ โถมเข้ามา ไม่กล้าแม้แต่จะวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ
และแน่นอนคนแรกที่เราโทรหาคือเพื่อน (ในตอนนั้นเพื่อนสำคัญกับเรามาก) เราร้องไห้ เราเสียใจ และสุดท้าย เราก็หนีความจริงไม่พ้น
ต้องบอกความจริงกับพ่อแม่อยู่ดี
“พ่อ..แม่..หนูสอบไม่ติด” คำนี้ต้องทำให้พ่อแม่ผิดหวังมากแน่ๆ
แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น ก็เราสอบไม่ติดจริงๆ
เราจำไม่ได้ว่าเราโดนพ่อด่าว่าหรือสวดอะไรบาง
เราเอาแต่ร้องไห้แล้วก็คิดไปต่างๆ นานาว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตดี จะเรียนที่ไหน
อนาคตจะเป็นอย่างไร มันสับสนไปหมด
จนวันหนึ่ง…เราได้ไปงานศพญาติสักคนซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าคือใคร
งานนั้นทำให้เราได้เจอป้าคนหนึ่งซึ่งบอกกับแม่เราว่าลูกเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ทำไมเราไม่ไปเรียนที่นั่น ตอนนั้นเรามีความคิดแบบเด็กๆ ว่าไม่อยากไป กรุงเทพฯ
ก็ไม่เคยไปอยู่ จะไปได้ยังไง เรียนรามฯ เนี่ยนะ!
เราเปิดเว็บไซต์ต่างๆ
หาดูมหาวิทยาลัยเอกชน ถึงได้รู้ว่าค่าเทอมมันแพงมาก! แพงมากจริงๆ ถ้าเราอยากเรียน พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ
เพราะครอบครัวเราไม่ได้รวยหรือมีเงินอะไรเลย อีกอย่างหนึ่ง…เราก็คงอยู่ในสังคมแบบนั้นไม่ได้ เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัดเป็นลูกหลานชาวนา
ไม่ชินกับสังคมแบบนั้นแน่ๆ
เมื่อทางเลือกของเราแคบลง
เราจึงตัดสินใจไปเรียนที่รามฯ จนได้
และรามฯ
นี่แหละคือจุดเปลี่ยนความคิดและชีวิตของเรา…
ตอนนั้นเรามีแฟนอยู่คนหนึ่ง
ซึ่งพ่อแม่ของเขาไม่ชอบเรา กีดกันทุกอย่าง เขาก็ตั้งใจจะไปเรียนที่รามฯ เหมือนกัน
แต่เมื่อพ่อแม่เขารู้ว่าเรามาสมัครเรียนที่นี่แล้ว เขาจึงไม่ให้ลูกเขามา แฟนเราโกรธเรามาก คิดว่าเราไปแย่งที่ที่เขาอยากจะเรียน
(เรามาย้อนคิดแล้วก็เห็นว่าทำไมมันไร้สาระจัง) ทั้งๆ ที่เขาก็ติดมหาวิทยาลัยของรัฐอยู่แล้ว แต่เราไม่ติดที่ไหนเลย
ทำไมเขาไม่คิดว่าเราไม่มีทางเลือก เราทะเลาะกับแฟนหนักมาก
รู้สึกสิ้นหวังเลยตอนนั้น สอบก็ไม่ติด แฟนก็ไม่เข้าใจ
ตอนนั้นเรานั่งอยู่บนรถกับพ่อและแม่กำลังกลับบ้านหลังไปสมัครเรียนมา
เราร้องไห้ออกมาเลยเพราะกลั้นไม่อยู่จริงๆ แต่คนที่อยู่ข้างๆ เราตอนนั้นคือแม่ (พ่อไม่รู้เรื่องแฟนเรา มีแม่คนเดียวที่รู้)
แม่อาจจะไม่ได้ปลอบเราด้วยคำหวานๆ
สายตาของแม่มีแววตำหนิ แต่มันทำให้เราคิดอะไรบางอย่างได้…
ตอนที่เราล้ม
ใครล่ะที่แม้จะด่าเรา แต่ก็ดึงเรายืนขึ้นและพร้อมพยุงเราเดินต่อไป
คนที่อยู่ด้วยในวันที่เรารู้สึกแย่ที่สุด แม้ไม่ได้เข้าใจเราทุกอย่าง
แต่ก็ไม่เคยขอตัดความสัมพันธ์กับเรา คนที่เลี้ยงเรามาจนโตขนาดนี้
ให้ทุกอย่างที่อยากได้ แต่แค่พยายามทำอนาคตตัวเองให้ดีเพื่อเขา เรายังทำไม่ได้เลย
แค่สอบติดให้เขาภูมิใจเรายังทำไม่ได้เลย
ในทางกลับกัน
เรายังเอาเวลาไปร้องไห้ให้กับผู้ชายเฮงซวยที่ไหนก็ไม่รู้
หลังจากวันนั้น…เราก็เปลี่ยนตัวเองทุกอย่าง เลิกเที่ยว เลิกเล่น หันมาตั้งใจเรียน ทำเพื่อคนที่เขารักเราจริงๆ
ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ที่แค่ผ่านเข้ามาในชีวิต
การได้เข้ามาเรียนที่รามฯ
ก็ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเหมือนกัน
การได้อยู่คนเดียวไม่ค่อยมีเพื่อนทำให้เราได้มีเวลากับตัวเองมากขึ้น
เราสนใจคนอื่นน้อยลง เข้มแข็งขึ้น และตั้งใจทำในสิ่งที่ควรทำ ให้ความสำคัญกับคนที่ควรให้ความสำคัญจริงๆ
อีกไม่นานเราจะเรียนจบแล้ว
เราหวังจะแก้ตัวในสิ่งที่พลาดไปในอดีต
หวังว่าใบปริญญาจะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเราได้
‘แววตาของแม่คือสิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิด’
ให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น อยากให้เขามองด้วยความภูมิใจ ชมว่าเราเก่ง
เราพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนที่เราแคร์และแคร์เรามากที่สุด
หนูรักพ่อกับแม่นะ…และหนูจะทำให้ได้ จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจให้ได้!
หนูไม่สัญญาหรอก แต่หนูจะทำให้ดู
^^
ป.ล. พิมพ์ไปร้องไห้ไป T^T
ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย