วันที่ฉันตรากตรำทำธีสิสจนจบ

หลังจากที่อาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการประกาศกับเราว่า “ยินดีด้วย คุณผ่านแล้วนะ” ความรู้สึกแรกคือดีใจ แต่เป็นความดีใจแบบงงๆ
ยังไม่ชินกับความยินดีปรีดาที่ควรจะเป็น เมื่อคณะกรรมการออกไปจากห้อง
เหลือเพียงตัวเราและอาจารย์ที่ปรึกษาที่พบเจอกันไม่บ่อยนักแต่รู้สึกวางใจ
แกก็ย้ำกับเราอีกครั้งด้วยรอยยิ้มว่า ‘ยินดีด้วยนะ’
เราก็ได้แต่ยิ้มรับและขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง
เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบยังไง

พอได้อยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ ความรู้สึกจริงๆ
เริ่มปรากฏ ความรู้สึกทุกอย่างตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งก่อนตัดสินใจเรียน
ระหว่างและหลังการเรียนที่นี่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน น้ำตาก็ไหลสิ มันดีใจและโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
จากเด็กเรียนกลางๆ ช่วงปริญญาตรีเรากลายเป็นเด็กเรียนเก่งมาก เพราะตั้งใจเรียนมาก
มีนามสกุล ‘สี่จุด’ ต่อท้าย
ความถือตน ทะนงตนก็ยิ่งเยอะเพราะเรามักจะได้ทุนไปนู่นนี่อยู่เสมอ
รวมทั้งทุนเรียนปริญญาโท ด้วย
สิ่งที่ต้องแลกก็คือ การทำเกรดให้เกิน 3.5
และการบังคับทำวิทยานิพนธ์ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย

หลุมพรางความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะความประมาทนี่เอง
เวลาว่างมีมากเพราะวิชาเรียนมีน้อย มันเป็นภาพลวงตา
เราใช้เวลาส่วนใหญ่เที่ยวเล่นไปโดยเปล่าประโยชน์ พอเพื่อนๆ ใกล้เรียนจบเราก็รีบทำทีสิส
แต่การทำอะไรรีบๆ
ไม่ทำให้งานออกมาดีแน่ๆ การสอบป้องกันครั้งแรกแม้จะผ่านแต่ก็ต้องแก้เยอะมาก
มากจนกระทั่งต้องเปลี่ยนหัวข้อทีสิส เปลี่ยนจุดประสงค์ ฯลฯ เหมือนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่

ความผิดหวังเกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าเราจบไม่ทันเพื่อนแน่ๆ
ความถือดีที่มีกลับมาทำร้ายตัวเรา เสียใจมากเพราะไม่คิดว่าเด็กเรียนเก่งอย่างเราจะจบไม่ทันตามกำหนด
ยิ่งคิดเปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นยิ่งเครียดและเสียใจ ‘ทำไมไม่…’ ‘รู้อย่างนี้น่าจะ…’ มีคำถามกับตัวเองมากมาย หันไปดูทีสิสก็มีแต่ปัญหา เหตุเพราะเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ตรงตามหัวข้อที่ทำ
แกบอกให้เปลี่ยนแล้วแต่เราก็ดึงดัน คิดว่าคงไม่ได้ซีเรียสอะไร
อยากเลือกอาจารย์ที่ใจดี สุดท้ายต้องปรึกษาอาจารย์ท่านอื่นมากมายไปหมด รู้สึกแย่อีกเมื่อคณะกรรมการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงพากันลาออกทั้งหมด
ซ้ำเติมอีกทีเมื่อโดนแกตำหนิว่าเป็นงานขยะ ฟังแล้วโคตรเจ็บเลย

ช่วงเวลา 3
ปี ในการทำทีสิส (ไม่รวมการเรียนรายวิชา) ผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน เคยเป็นโรคเครียดและโรคซึมเศร้าระยะฟักตัว
ไม่อยากเจอใคร เก็บตัว ไม่อยากให้ใครถามถึงทีสิส กลัวว่าคนอื่นมองไม่ดี
กดดันตัวเอง หรือบางทีก็บ้าๆ บอๆ แบกเป้เที่ยวคนเดียว จริงๆ เหมือนกำลังหนีปัญหา
ขอแวบไปหาความสุขชั่วคราวก่อนกลับมาจมความเศร้าต่อ มันเครียดเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ
บางครั้งทุ่มเททำไปแล้วสุดท้ายก็เอามาใช้ไม่ได้
ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดแต่ต้องขึ้นมากรุงเทพฯ เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ถึง 3
ครั้ง เดินดุ่มๆ เข้าออกร้านพิซซ่าคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ที่ต้องเก็บข้อมูลมากเพราะมีปัญหาเรื่องการขออนุญาตวิจัย
เดือดร้อนเจ้าหน้าที่และอาจารย์ที่ปรึกษาในการประสานงานจนผ่านมาได้แบบฉิวเฉียด เหลือแค่ไม่กี่เดือนก็ครบกำหนดหลักสูตรแล้ว
ควรจะกดดันอีกเพราะถ้าไม่จบตามกำหนด 5 ปี ถือว่าผิดสัญญาของทุนการศึกษา
ต้องชดใช้ทุนเป็นแสนๆ

ช่วงโค้งสุดท้ายเหมือนเราเริ่มคิดได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น พอแล้วกับความเครียดและกังวล เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ พอแล้วกับความหยิ่งทะนงตนว่าตัวเองเก่ง พอแล้วกับความกดดันจากการไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนเราเจออะไรต่างกัน
พื้นฐานต่างกัน ดังนั้นจะเปรียบเทียบกันมันเป็นสิ่งที่ไม่ควร
และพอแล้วกับความน้อยใจในโชคชะตา ตัวเราเองที่เป็นคนกำหนดโชคชะตา ตั้งใจสิ ตั้งใจทำเต็มที่เหมือนอย่างที่เคยทำ
แล้วผลลัพธ์ที่หวังไว้จะตามมาเอง

แล้วฝันก็เป็นจริง

นอกจากจะได้ปลดแอกจากการเป็นทาสทีสิส
รู้สึกโล่งเหมือนคนปกติ ได้บทเรียนสอนตัวเองแล้ว ก็ยังได้ความรู้เรื่องพิซซ่าด้วยนะ
นั่นคือพิซซ่าอิตาเลียนที่แท้จริงจากต้นกำเนิดนั้นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ
เข้าทางเลย

ว่าแล้วก็ไปกินพิซซ่าดีกว่า

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR