วันที่ความคิดผมเปลี่ยนเป็นสีขาว

ผมชีพจรลงเท้าจนได้เดินทางไปยังยะลาครั้งแรกในปี 2552

ความคิดวูบแรกของผมต่อเมืองนี้คงไม่พ้นเป็นไปตามกระแสข่าวสารที่ประกาศกันเอิกเกริกว่า
ยะลาเป็นเขตพื้นที่สีแดงบ้าง เป็นดินแดนแห่งความตายบ้าง เป็นพื้นที่แห่งความไม่สงบบ้าง
ทำให้จังหวัดนี้มีภาพลักษณ์ของโศกนาฏกรรมที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดเต็มไปทั่วทั้งเมือง
ศพแล้วศพเล่าถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของข่าวสารให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า
ดินแดนเหล่านี้มีแต่ความหายนะ

ผมก็เลยไม่เคยมีความคิดที่จะเดินทางมาดินแดนแห่งนี้
เนื่องจากความเชื่อที่ฝังหัวตามข่าวว่า
ใครที่เดินทางไปยังดินแดนแห่งนี้ เราจะถูกฆ่าโดยไร้ซึ่งความปราณี
แต่เนื่องด้วยมีภารกิจหน้าที่การงาน
ผมจึงต้องเดินทางไปยังดินแดนแห่งนี้ด้วยความจำเป็น

ตลอดระยะเวลา 15 ชั่วโมงก่อนถึงที่หมาย
ผมหอบหิ้วความกลัวและความกังวลขึ้นรถทัวร์มาเต็มกระเป๋า
ภาพของสงครามกลางเมืองที่มีผู้คนล้มตายจำนวนมากด้วยความเชื่อที่ต่างกัน
ฉายลงมายังความรู้สึกนิดคิด
ผมเหมือนกำลังถูกเชื้อเชิญให้เข้าสมรภูมินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพแห่งความรุนแรงเหล่านี้ทำให้เวลากลางคืนของผมบนรถทัวร์ เป็นเวลาที่แสนอ้างว้าง
หดหู่ สลดใจ เปลือกตาและความรู้สึกยังไม่ปิดลง ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดมิด

เป็นค่ำคืนที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต
ว่าครั้งหนึ่งความกลัวมีอิทธิพลต่อชีวิตเราในคืนที่ดวงจันทร์สวยงาม

ผมมาถึงอำเภอเมืองของยะลาในเช้าวันใหม่ พร้อมสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียตลอดการเดินทาง
15 ชั่วโมง บรรยากาศแรกที่ได้สัมผัสคือ มีผู้ชายในชุดลายพรางสีเขียวที่มีปืนเป็นอาวุธประจำกาย
พร้อมจะลั่นไกได้ตลอดเวลา มีบังเกอร์ป้องกันความรุนแรงประจำจุดต่างๆ ตามซอกซอย
รถทหารคันใหญ่มหึมาวิ่งไปตามท้องถนน มีจุดตรวจความปลอดภัยตามมุมต่างๆ ของเส้นทาง
ช่างเป็นสัมผัสแรกที่เร้าให้รู้สึกหวาดกลัว เป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ไร้ซึ่งความปลอดภัยใดๆ

แต่เมื่อความหิวเริ่มแสดงฤทธิ์ ผมรีบหาโรงแรมที่พัก
จากนั้นก็ตัดสินใจเดินออกมาจากโรงแรมทั้งที่ความกลัวยังปะทุอยู่ในความรู้สึก เราก็สั่งอาหารในโรงแรมกินได้นี่หว่า
แต่เหตุอันใดเล่าจึงเดินออกมาอยู่ท่ามกลางความไม่สงบ อาจเป็นเพราะต่อมความอยากรู้ อยากเห็นวิถีชีวิตของผู้คนว่ามันเป็นไปตามข่าวสารหรือไม่
แล้วผู้คนที่อยู่ในพื้นที่สีแดงจะมีปฏิกิริยาต่อผู้มาเยือนอย่างผมเหมือนที่ผมฝังใจเชื่อว่าผู้คนในเขตพื้นที่นี้ว่าโหดร้ายหรือเปล่า
เป็นความสงสัยที่มีความรู้สึกลึกๆ ด้วยว่าอยากฉีกข่าวสารที่สร้างภาพลักษณ์แย่ๆ ที่มีต่อจังหวัดนี้
ฉีกความเชื่อเดิมๆ แย่ๆ ของตัวเองที่มีต่อคนในพื้นที่ตรงนี้ทิ้งให้หมด

ผมมุ่งตรงมายังร้านอาหารตามสั่งโดยที่ยังรู้สึกหวาดกลัว เลือกไม่สั่งอาหารกินที่ร้านแต่สั่งแบบบรรจุใส่กล่องพร้อมจะกลับไปกินที่โรงแรม
ในขณะที่นั่งรออาหาร ผมความหากระเป๋าสตางค์เพื่อจะจ่ายค่าอาหาร

ผมหากระเป๋าใบนั้นไม่เจอ

ความวิตกกังวลเกิดขึ้นทันที ผมพูดอยู่ในใจว่า
เอาแล้วไงกู จะทำอย่างไงเนี่ย ซวยชิบหาย จะเอาเงินที่ไหนจ่ายเขาวะ เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายในชีวิตของผม
ความรู้สึกตะโกนบอกผมว่า ผมไม่น่ามาที่นี่เลย ผมเกลียดที่นี่ ผมเกลียดที่นี่
ผมเกลียดที่นี่ มันเป็นอารมณ์ที่ออกแนวคนพาลสักหน่อย แต่ในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ผมนั่งนิ่งๆ ความรู้สึกมีความหวาดกลัวปนอยู่
รอเวลาที่จะบอกความจริงกับร้านอาหารว่า ผมทำกระเป๋าตังค์หาย
ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เสียเวลา

แต่ยังไม่ทันได้พูด ก็มีหญิงสาวที่แต่งกายตามแบบศาสนาอิสลามเดินตรงมาหาผม

หญิงสาว: นี่กระเป๋าของคุณหรือเปล่า

ผม: ใช่ครับ

หญิงสาว: พอดีฉันเห็นกระเป๋าของคุณตก แต่เรียกไม่ทัน
คุณเดินเร็วมาก ก็เลยเดินตามเอากระเป๋าตังค์มาคืน แล้วคุณมาซื้อข้าวมีเงินจ่ายเหรอ

ผม:
ยังไม่ได้จ่ายครับ เพราะเขายังทำไม่เสร็จ โชคดีมากเลยครับที่คุณเจอและเก็บกระเป๋าให้ผม
ขอบคุณมากครับ

หญิงสาว: ไม่เป็นไรค่ะ ระวังหน่อยนะคะ

และคำพูดสุดท้ายที่เธอกล่าวกับผมคือ
ขอให้อัลเลาะห์คุ้มครอง เดินทางปลอดภัย

พอเธอพูดจบ
ก็มีเสียงหัวใจผมเต้นรัวแบบจับจังหวะไม่ได้ เป็นเสียงที่เกิดจากใจสู่ใจ ส่งถึงกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่พอจะมอบให้กัน
ความเชื่อที่ต่างกันไม่ใช่สิ่งที่จะห้ามไม่ให้พวกเราสื่อสารด้วยภาษาแห่งมิตรภาพ
ความเชื่อที่ต่างกันก็สื่อสารภาษาเดียวกันได้

ความเชื่อแย่ๆ ต่อคนในจังหวัดนี้อำลาจากชีวิตผมไป
ผมฉีกข่าวสารและความเชื่อเดิมๆ ที่ฝังหัวมายาวนานทิ้งทั้งหมด
มันคือจุดเปลี่ยนทางความคิด จากที่มีสีดำมาตลอดช่วงหนึ่งของชีวิต กลายมาเป็นสีขาวด้วยการระบายแต่งแต้มของหญิงสาวที่เก็บกระเป๋าสตางค์ให้
ตลอดระยะเวลาที่ทำงานในยะลา ผมมีแต่รอยยิ้มผลิบานในหัวใจ
ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเต็มไปด้วยอาวุธของทหาร ปกคลุมด้วยบังเกอร์ของทหาร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกังวลให้ผมอีกต่อไป
หญิงสาวคนนี้ทำให้ภาพลักษณ์อันเลวร้ายของผมที่มีต่อจังหวัดนี้หายไป เธอทำให้คำว่า
มิตรภาพ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ แต่เป็นเรื่องของหัวใจที่มีความรู้สึกดีมอบให้กัน
และทำให้ความแตกต่างระหว่างกันไม่ใช่เรื่องความแตกแยกอีกต่อไป

ภารกิจหน้าที่การงานของผมที่มีต่อจังหวัดนี้จบลง ภาพลักษณ์ที่ผมมองเมืองยะลาในขณะนี้ไม่มีเสียงระเบิด
ไม่มีกลิ่นของความตาย ไม่มีความอาฆาต ไม่มีความบาดหมาง เมืองยะลากับความจริงที่เป็นอยู่
ไม่ใช่ความโหดร้าย ไม่ใช่ความหายนะ ไม่ใช่โศกนาฏกรรมอันป่าเถื่อน เรื่องราวและเหตุการณ์ในจังหวัดยะลาทำให้ระบบความคิดเห็นของผมต่างไปจากก่อนหน้านั้นจริงๆ

ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องเดินทางกลับบ้าน ตลอดระยะเวลา 15 ชั่วโมงบนรถทัวร์
ความกลัว ความอ้างว้าง ความสลดใจ มลายหายไป
ผมหอบหิ้วความสุขและความคิดที่เปลี่ยนไปเต็มกระเป๋ากลับมาบ้าน
ผมบอกกับตัวเองว่าเมื่อใดที่มีโอกาสมาจังหวัดนี้อีก ไม่ว่าด้วยภารกิจใด
ผมจะเดินทางมา

เพราะผมรู้ว่าที่นี่ ที่จังหวัดยะลา คือแผ่นดินของมิตรภาพสำหรับผู้มาเยือน

ภาพ unsplash.com

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR