วันที่ฉันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างเต็มที่

“ลูกแม่เก่งทุกคนแหละ ไม่เคยโยเยเวลาฉีดยา”
แม่ก้มบอกฉันตอนที่พยาบาลกำลังเช็ดแอลกอฮอล์ เตรียมฉีดวัคซีน
ฉันเงยหน้ามองสายตาอันอ่อนโยนของแม่และคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเจ้าเข็มเล็กๆ นั่นได้
ฉัน 6 ขวบแล้วโตพอที่จะไม่ร้องไห้…ปลายแหลมๆ นั้นจิ้มลงไป
มันเจ็บมาก ฉันได้แต่บอกตัวเองว่าเดี๋ยวเดียวก็หาย

แม่มักจะบอกว่าลูกแม่ทุกคนพิเศษเสมอ เข้มแข็ง
มีความคิดและพึ่งพาได้ โตกว่าเด็กคนอื่นๆ ฉันจึงเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ
คอยปกป้องและจัดการสิ่งต่างๆ ให้เพื่อนตั้งแต่เด็กจนโต

จนถึงวันที่แม่บอกว่าฉันต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ
ฉันก็มั่นใจว่าจะไม่ร้องไห้กลับบ้าน

“สัปดาห์แรกแม่ไม่ไปรับนะ
น้องอยู่ได้แหละ ลูกแม่เก่ง พี่ตามก็อยู่ได้” แม่บอกฉันผ่านโทรศัพท์ที่โทรมาในสำนักงานหอพัก ฉันอายุ 11 ปี และจากบ้านมาแล้วเกือบ 3 สัปดาห์

แล้วเย็นวันศุกร์ก็มาถึง
โรงเรียนเต็มไปด้วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง ของเด็กหอพักที่มารอรับ มีขนมมาฝาก
เด็กที่มาเรียนปีแรกส่วนใหญ่กลับบ้านกันหมดวันนี้ ฉันยืนชะเง้อมอง พลางคิดว่าแม่เป็นคนชอบทำเซอร์ไพรส์ แม่ต้องมา ฉันจึงไปหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์ใต้ตึกเรียน
กดรหัสพื้นที่ต่อเข้าที่ทำงานแม่ พบว่าแม่ยังอยู่ที่ทำงาน 300 กิโลเมตร
ห่างจากที่ฉันกำลังยืน

ฉันคุยกับแม่อีกเล็กน้อย
เพียงเพื่อบอกแม่ว่าคิดถึง และตัดบทบอกแม่ว่าเหรียญหมดแล้ว
ก่อนวิ่งไปแอบในห้องน้ำเพื่อซ่อนน้ำตา พยายามหยุดตัวเองไม่ให้ร้องไห้
หยุดให้รู้สึกว่าเสียใจ ผ่านไปไม่นาน ฉันกลับไปที่หอพัก
มีเพื่อนๆ อีกสองสามคนและรุ่นพี่อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่กลับบ้าน ฉันบอกตัวเองว่าไหว
ฉันเข้มแข็งพอ เดี๋ยวก็จะได้กลับบ้าน ฉันก็ไม่มั่นใจนักว่าจะอยู่ไหวต้องทำยังไง

กาลเวลาผ่านไป ฉันอยู่ไกลบ้าน ไกลครอบครัว
จนเริ่มชิน ฉันร้องไห้บ้างบางเวลากับปัญหาต่างๆ ตามวัย แต่ฉันมักคิดว่า
การร้องไห้คือความอ่อนแอ และพยายามหยุดความรู้สึกนั้นไว้ ปิดกั้นอารมณ์แล้วขุดตัวเองขึ้นมาจัดการปัญหา ฉันทึกทักว่าสิ่งนั้นเป็นความเข้มแข็ง

วันหนึ่ง ฉันตัดสินใจก้าวออกไปตะลุยโลก
ด้วยการเข้าโครงการไปทำงานเลี้ยงเด็กและเรียนภาษาที่อเมริกาเป็นเวลา 1 ปี
ฉันมั่นใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นฉันจะอยู่ไหว ผ่านไป 5 เดือน ฉันอยู่มาแล้วสองบ้าน
บ้านที่สองกำลังจะออกจากโครงการเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าโครงการและเงินเดือนฉันแล้ว
และนี่เป็นครั้งที่สองที่เกิดกับฉันภายใน 5 เดือน
หลังจากครอบครัวแรกหัวหน้าครอบครัวเปลี่ยนงานและจะย้ายบ้าน ในเวลาปกติฉันคงรู้สึกแค่ อุ๊ย!!…ซวยจัง
แล้วก็โทรไปโวยวายกับเพื่อนสนิท พี่ชาย และแม่

วันที่โฮสต์บอกว่าเขาตกงานแล้วนะ
ฉันต้องย้ายบ้าน ต้องทำเรื่องหาบ้านใหม่ภายใน 2 สัปดาห์
เขาส่งฉันที่วิทยาลัยที่ฉันต้องเข้าไปทดสอบภาษาวันแรก ฉันกำลังจะได้เริ่มเรียนจริงจัง
แต่ฉันต้องเตรียมย้ายบ้านภายใน 2 อาทิตย์ ฉันยืนอยู่มากกว่า 10,000
กิโลเมตรห่างจากบ้าน เพื่อนสนิทที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างกว่า 1,000 กิโลเมตร
เวลาของฉันตามหลังประเทศไทยอยู่ 15 ชั่วโมง
เพื่อนและครอบครัวทุกคนที่ไทยคงกำลังหลับ… มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเทียบกับเพื่อนๆ
ที่มาโครงการเดียวกัน ที่เจอเรื่องหนักๆ กว่าฉันมากนัก ฉันหยุดนั่งบนม้านั่ง
มองท้องฟ้าสีฟ้าสดของแปซิฟิกเวสต์โคสต์ ไม่มีใครให้โวยวายด้วย อยู่ๆ
น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างพรั่งพรู ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้
ฉันปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผิดหวัง ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเหงาและเศร้า
ถึงฉันจะนั่งร้องไห้เป็นบ้าอยู่ราวชั่วโมง หลังจากฉันหยุดร้องเองได้
ฉันรู้สึกดีขึ้นมากที่ได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง ปล่อยตัวเองให้รู้สึกโกรธ เหงา
เศร้า เสียใจ และร้องไห้ มันไม่ได้แย่ ไม่ได้อ่อนแอ เสมอไป
เราทุกคนมีความรู้สึกและควรจะรู้สึกมัน ส่วนที่ต่อจากนั้น
เราต้องรู้ว่าควรทำอะไรและแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป

หลังจากวันนั้น
ฉันได้เรียนรู้ว่าความเข้มแข็งไม่ใช่แค่การไม่ร้องไห้ แต่เป็นการรับมือกับปัญหา
คนเราควรต้องรู้สึกถึงอารมณ์ตัวเอง ไม่ใช่กลัวความผิดหวัง กลัวความเศร้า
แล้วปิดความรู้สึกนั้นด้วยการกระทำอื่น
ฉันจะย้ายมาอยู่อีกบ้านในนิวยอร์กที่มีปัญหากันวันเว้นวัน แต่พอเราจบปีโครงการ
เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทั้งครอบครัว

ฉันว่าฉันเพิ่งเป็นเด็กที่เก่งของแม่
เมื่อปีก่อนนี้เอง

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR