ใครว่าดารา call out แล้วจะตกงาน? ชวนรู้จัก 5 คนดังที่ยังมีแบรนด์จ้างแม้จะฉอดการเมือง

ดารา call out ท่ามกลางความเงียบงันของเมืองที่กำลังผุพังและล่มสลายอย่างช้าๆ เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวันคือ ‘เสียงของประชาชน’ ที่วิจารณ์ถึงความล้มเหลวในทุกมิติของบ้านเมือง เสียงที่วิจารณ์ถึงการหมางเมินต่อความทุกข์ยากของผู้คน ไปจนถึงเสียงที่เรียกร้องให้การเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่จับต้องได้เกิดขึ้นจริง

แต่ในวันนี้ที่ต่อให้เสียงของประชาชนดังขนาดไหนก็เหมือนจะไม่สั่นสะเทือนไปถึงผู้มีอำนาจเสียที เราจึงต้องการ ‘เสียงที่ดังขึ้น’ นั่นคือเสียงของเหล่าคนดังที่มีผู้ติดตาม มีคนเชื่อถือ และสามารถส่งเสียงได้ทรงพลังกว่าคนที่ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคม

แต่มันก็อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะสภาวะแวดล้อมและโครงสร้างในสังคมได้หล่อหลอมให้เราเชื่อว่าการส่งเสียงคือความเสี่ยง ทั้งเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตัวเอง คนที่เรารัก และหน้าที่การงาน ความเสี่ยงเหล่านี้ก่อให้เกิดความกลัวที่ปิดกั้นเสียงของพวกเขาเอาไว้ ดารา call out

ในวันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปรู้จักกับคนดัง (ที่ในความเป็นจริงพวกเขาก็โด่งดังมากจนอาจไม่ต้องทำความรู้จักอะไรกันเพิ่มอีก) ที่นอกเหนือจากการมอบความสุขให้แฟนๆ ผ่านผลงาน สร้างรายได้ผ่านการเล่นโฆษณา และเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าต่างๆ แล้ว พวกเขาเหล่านี้ยังออกมาขับเคลื่อนเพื่อวิจารณ์ความไม่เหมาะสมหรือความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม และยืนอยู่ไม่ขั้วใดก็ขั้วหนึ่งในมิติทางการเมือง และนี่เองคือแง่มุมใหม่ๆ ที่เราอยากพาไปทำความรู้จัก

เป็นไปได้หรือที่ดาราจะเลือกข้าง? เขาไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองหรอกหรือ?

คำตอบก็คือ ได้ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาเหล่านี้ก็ออกมายืนยันให้เราเห็นแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่จะเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงและทำงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้หลายต่อหลายแบรนด์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน

01
Cardi B

ดารา call out

“Okurrr”

การส่งเสียงอันแสนเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เราจำไม่ลืมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินจากปากแรปเปอร์สาว คาร์ดิ บี อาจจะทำให้เราเหมารวมไปว่าเธอเป็นศิลปินแรปสายตลกเพียงอย่างเดียว แต่อันที่จริงเธอคนนี้ได้ออกโรง ‘ฟาด’ กับอดีตประธานาธิบดี Donald Trump มาแล้วหลายแมตช์หลายประเด็น ตั้งแต่กรณีที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับคนผิวดำอย่างไม่เป็นธรรมที่เธอเห็นว่าทรัมป์นั้น ‘ไม่แคร์’

“ฉันรู้ว่าเขาเห็น (ความรุนแรงที่เกิดกับคนผิวดำ) แต่เขาแม่งไม่แคร์”

หรือในขณะที่โควิด-19 กำลังระบาดหนัก เธอก็ตัดสินใจออกมาไลฟ์ผ่านอินสตาแกรมเพื่อวิจารณ์การทำงานของอดีตประธานาธิบดีอย่างเผ็ดร้อน ทั้งการที่มีคนตายมากมาย เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่มีชุดที่เหมาะสมสำหรับใส่ปฏิบัติงาน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ทรัมป์ไม่สามารถทำได้ตามสัญญาถึงจะให้เวลาไปตั้งนาน

เธอจะไม่ปล่อยให้เขาชนะการเลือกตั้งอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เธอจึงตัดสินใจออกมาไลฟ์อีกครั้งเพื่อรณรงค์ให้แฟนคลับของเธอออกไปเลือกตั้ง

“ฉันเบื่อที่จะฟังอีตานี่ (โดนัลด์ ทรัมป์) พูดแล้ว เสียงโหวตเล็กๆ ของคุณแค่หนึ่งเสียงก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้” แล้วการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างที่เธอว่าจริงๆ เชื่อได้เลยว่าวินาทีที่ประกาศผล แรปเปอร์สาวคนนี้ต้องร้อง ‘okurrr’ ออกมาอย่างแน่นอน

คราวนี้ชวนมาดูผลงานโฆษณาของคาร์ดิ บี กันบ้างดีกว่า

Alexa Loses Her Voice | Amazon

เรื่องราวของโฆษณา Amazon แบรนด์ยักษ์ใหญ่ประจำงาน Super Bowl ครั้งที่ 52 ในปี 2561 มีอยู่ว่า วันหนึ่ง Alexa–AI หรือปัญญาประดิษฐ์ของแบรนด์เกิดเสียงหายขึ้นมา ทีมงานเลยต้องหาเสียงใหม่มาแทนที่เธอ และหนึ่งในตัวแทนก็คือคาร์ดิ บี คนดีคนเดิมที่เราคุ้นเคย

ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าคุณมีคาร์ดิ บี เป็น AI ประจำบ้านจะเกิดอะไรขึ้น ถ้านึกไม่ออกลองดูโฆษณานี้เลย

02
Taylor Swift

เธอคนนี้คือเจ้าของฉายา America’s sweetheart ที่ลุกขึ้นมาฟาดกับอดีตประธานาธิบดีอย่างร้อนแรงเช่นกัน โดยชนวนของเหตุเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของ George Floyd ชายผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้กำลังควบคุมโดยเอาเข่ากดลงที่คอ ทำให้เขาขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด

การตายของจอร์จ ฟลอยด์ ปลุกความโกรธแค้นของคนดำที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด จนเกิดเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่รัฐมินนิโซตา

และการตอบสนองจากอดีตประธานาธิบดีก็คือการขู่ที่จะใช้อาวุธปราบปรามเหล่าผู้ชุมนุม

“When the looting starts, the shooting starts.” (หากเกิดการปล้นเมื่อไหร่ เสียงปืนจะดังขึ้นเมื่อนั้น) คือใจความส่วนหนึ่งจากทวีตของอดีตประธานาธิบดี

ในเวลาต่อมา เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนผ่านทวิตเตอร์ โดยวิจารณ์ถึงทัศนคติและการกระทำของทรัมป์อย่างรุนแรงว่า เขาอุ้มชูความเป็นใหญ่ของคนขาวอันเป็นปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวมาตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง แล้วยังขู่จะใช้อาวุธกับประชาชนอีกหรือ? พอกันที

“We will vote you out in November.” (เดือนพฤศจิกายนนี้เราจะโหวตคุณออกไป) เทย์เลอร์ทวีตทิ้งท้ายพร้อมแท็กทรัมป์ให้มาเห็นด้วยตัวเอง

เห็นดังนั้นทรัมป์ก็ได้ทวีตตอบว่า “ผมชอบเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ลดลง 25 เปอร์เซ็นต์เลย”

มีหรือที่เธอจะแคร์ หลังจากนั้นเทย์เลอร์ก็ลุกขึ้นมาวิจารณ์ทรัมป์และสนับสนุน Joe Biden คู่แข่งของเขาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่สหรัฐอเมริกาประกาศให้โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของประเทศ

ดีใจกับเทย์เลอร์ที่การโหวตสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง และกลไกของประชาธิปไตยสามารถทำให้เราเปลี่ยนตัวผู้นำที่เราไม่ให้ผ่านได้ (หันกลับมามองทางนี้แล้วถอนหายใจหนึ่งที)

นอกจากเป็นกระบอกเสียงทางการเมือง นักร้อง และนักแสดง เธอก็ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์ดังด้วย ลองมาดูผลงานของเธอกัน

Taylor’s Up To Now | AT&T 

แบรนด์เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ให้คุณอัพเดตชีวิตเทย์เลอร์กันแบบวินาทีต่อวินาทีสุดเอกซ์คลูซีฟ และหนังโฆษณาเรื่องนี้ก็พาเราตามติดชีวิตเทย์เลอร์แบบวินาทีต่อวินาทีชนิดที่คาดไม่ถึงจริงๆ

DIRECTV Meow | DIRECTV 

เหล่าสวิฟตี้คงทราบกันดีว่าเทย์เลอร์คือทาสแมวตัวยง แต่หากยังไม่ทราบก็ขอบอกว่าเธอเป็นเจ้าของแมวแสนน่ารัก 3 ตัว และในโฆษณาของ DIRECTV นี้ เธอได้ร่วมเล่นกับ Olivia และ Meredith แมวพันธุ์สกอตติชโฟลด์จอมป่วนและเอาแต่ใจที่ DIRECTV จะช่วยกำราบให้เอง

03
Beyoncé

Beyoncé และ Jay-Z คือหนึ่งในคู่รักนักดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาหลังจบงาน Super Bowl ในปี 2563 ที่ทั้งคู่ตัดสินใจไม่ลุกขึ้นยืนในขณะที่ Demi Lovato กำลังขับร้องเพลงชาติของสหรัฐอเมริกา The Star-Spangled Banner

การกระทำของทั้งคู่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะฝั่งอนุรักษนิยมที่ถึงกับไล่ทั้งคู่ออกไปอยู่ประเทศอื่น ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเขาก็มีอะไรไร้เหตุผลแบบนี้เหมือนกัน (ยกมือทาบอก)

แต่ยังไงก็ดี ทั้งคู่ก็ได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อย ด้วยเข้าใจในเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้น

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 เพลงชาติสหรัฐฯ เริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาเมื่อ Colin Kaepernick นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลผิวดำคุกเข่าลงในขณะที่เพลงชาติถูกบรรเลงเพื่อต่อต้านการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อคนผิวดำ และส่งไม้ต่อไปยังคนดังอีกมากมายที่เข้าร่วมการประท้วงในประเด็นนี้ด้วย แน่นอนว่าเจย์-ซีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

เช่นกันกับเหล่าคนดังอีกหลายคน พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปต้องตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ไปจนถึงก่นด่าอย่างอาฆาตมาดร้าย แต่พวกเขาก็เลือกที่จะทำเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

และโฆษณาชิ้นนี้ก็เหมาะเจาะกับการกระทำของเธอพอดี

IMPOSSIBLE IS NOTHING | adidas 

โฆษณาที่เล่าเรื่องชีวิตตั้งแต่เด็กของบียอนเซ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นแค่นักร้อง นักเต้น หรือไอคอน แต่เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนได้อีกมากมาย และพวกเขาก็สามารถเห็นความเป็นไปได้ในทุกๆ สิ่งเหมือนกับสิ่งที่เธอทำ ที่ส่งแรงกระเพื่อมให้กับคนอื่นๆ และลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง

04
Yoo Ah-in

คราวนี้ลองมาดูเหล่าคนดังในเอเชียกันบ้าง ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายนปี 2559 ณ จัตุรัสควังฮวามุนใจกลางกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้มีการรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมหาศาลเพื่อประท้วงขับไล่อดีตประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ให้พ้นจากตำแหน่ง 

หนึ่งในผู้เข้าร่วมการประท้วงคือ ยู อา-อิน พระเอกแถวหน้าของวงการบันเทิงเกาหลี

ดารา call out

เขาตัดสินใจเข้าร่วมประท้วงกับประชาชนเรือนแสนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เรียกร้องต่อความอยุติธรรมตามวิถีแห่งประชาธิปไตย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักแสดงแถวหน้า การลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลของคนระดับเขาย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายสูงกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีจากแอนตี้แฟน แรงกดดันจากผู้มีอำนาจในวงการบันเทิง หรือแม้กระทั่งยอมถูกขึ้นแบล็กลิสต์ดารา-ผู้กำกับที่โดนแบนในสมัยรัฐบาลพัค กึน-ฮเย

เขายอมจ่ายเพราะเขาเชื่อว่าการเมืองที่ดีและประชาธิปไตยคือสิ่งที่มีคุณค่าพอที่จะแลก

จนในที่สุดอดีตประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ก็พ้นจากตำแหน่งและถูกจำคุกเป็นเวลา 24 ปีในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นอีกครั้งที่เราอดยินดีและตื้นตันไปกับเสียงของประชาชนชาวเกาหลีไม่ได้จริงๆ

ด้วยความหล่อเท่ทั้งลุคและอุดมการณ์ จึงเป็นที่มาของการที่ยู อา-อิน ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์อย่าง Diesel และเป็นที่มาของโฆษณาชิ้นนี้

Ha̶u̶te Couture | Diesel

อย่างที่บอกว่ายู อา-อิน เองก็โดนข้อความโจมตีอย่างไร้เหตุผลจากเหล่าแอนตี้แฟนอยู่ไม่น้อย และคอนเซปต์ใหญ่จากแบรนด์เสื้อผ้าสุดเท่คอลเลกชั่นนี้ก็คือการนำความเกลียดชังมาสร้างเป็นเสื้อผ้าให้สวมใส่ เพื่อเป็นการแสดงการต่อต้านและบอกว่าคำพูดเหล่านั้นทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก

05
MILLI

ดารา call out

กลับมาแลนด์ดิ้งที่ประเทศไทยกับแรปเปอร์สาวน้องใหม่ไฟแรงของเรา เนื่องจากแอบเห็นคอมเมนต์ของบางคนที่บอกว่าไม่เห็นจะรู้จักเลยว่าเธอคนนี้คือใครกัน ก็เลยอยากพาน้องมิลลิมาแนะนำให้รู้จัก

แรปเปอร์สาววัย 18 ปีคนนี้ได้ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลไทยหลายเรื่อง อย่างการคุกคามประชาชนหรือการบังคับใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่าง นอกจากนี้เธอยังออกมาแสดงจุดยืนอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ไว้ใจการบริหารของรัฐบาล เพราะหลายคำถามที่คาใจนั้นไม่เคยได้รับคำตอบ

คล้ายกับกรณีของยู อา-อิน มิลลิเองก็ถูกเรียกตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทการทำงานของรัฐบาล ทำให้เธอต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่และเสียงดังกว่าค่าปรับไปมาก นั่นคือ #SaveMilli ที่ติดเทรนด์ยาวนาน แถมยังจุดประกายให้คนในวงการอีกมากมายออกมาส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ทั้งมิลลิและประชาชนทุกคน

แน่นอนว่าหลังจากที่เสียค่าปรับเรียบร้อยแล้ว มิลลิก็ยังยืนยันที่จะวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลต่อไป เพราะเชื่อว่านี่คือสิทธิที่ประชาชนทุกคนพึงกระทำและไม่มีใครควรถูกฟ้องหรือถูกบังคับใช้กฎหมายเพียงเพราะแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงใจคนบางกลุ่ม

Sis2Sis x MILLI

ใดๆ ก็เพิ่งเคยได้ดูการขายมาสคาร่าและลิปแบบสุดปัง แรปไปขายของไป ไปต่อไม่มีหยุดเลยจ้า

Lay’s MAX | Lays Thailand

ขายของแซ่บเหมาะกับลุคเผ็ดๆ เด็ดขนาดนี้จะไม่ดูหน่อยเหรอจ๊ะพี่จ๋า

จากตัวอย่างทั้ง 5 คนดังที่เรายกมา จะเห็นได้ว่าการส่งเสียงที่จะสร้างแรงเสียดทานต่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรานั้นย่อมมีราคา จริงอยู่ว่ามูลค่าที่ต้องจ่ายของแต่ละคนนั้นอาจไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่คุ้มค่ากว่าสิ่งใดก็คือการที่เราได้ยืนหยัดในสิทธิ เสียง คุณค่าในความเป็นมนุษย์ และชีวิตที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ?


อ้างอิง

edition.cnn.com

foxla.com

glamour.com

thehill.com

AUTHOR