‘บอย โกสิยพงษ์’ ในวัย 57 กับการทำเพลงที่เป็นมากกว่าการทำงานและการเปิดหัวใจ

หากเปรียบชีวิตของคนเป็นดั่งฤดู ชีวิตกว่า 30 ปี ของ ‘บอย โกสิยพงษ์’ กับการเป็นนักแต่งเพลงที่ใช้ความรัก ความเชื่อ และความหวัง ขีดเขียนออกมาเป็นเนื้อร้องผสมท่วงทำนองอันหวานซึ้ง จนเข้าไปอยู่ในใจของเราในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง มันก็คงเปรียบได้กับฤดูที่แสนสดใส เพราะเส้นทางนี้ล้วนเกิดจาก ‘การเลือกทำสิ่งที่รัก’ คำสั้นๆ จากพ่อ แม่ และพระเจ้าของเขา กลายมาเป็นเสาหลักนำทางชีวิตที่ทำให้บอยซึ่งกำลังก้าวสู่วัย 57 บอกกับเราวันนี้ว่า

 “ความรัก ความเชื่อและความหวัง ยังคงเป็นแก่นสำคัญของชีวิตที่ขาดไม่ได้เพราะถ้าไม่มี 3 สิ่งนี้ โลกนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้เรามีจุดหมายเลย”

เขายังคงตอบเหมือนเดิม อย่างที่เคยพูดไว้ในนิตยสาร a day เล่ม 221 ปี 2019 เล่มที่มีชีวิตของบอย นับตั้งแต่ความฝันในวัยเด็ก ความรักของครอบครัว การทำงานเพลงในฐานะนักแต่งเพลงและเจ้าของค่ายเพลง Bakery Music และ LOVEiS มาเป็น Main Course หลักของเล่มด้วย 

ช่วงเวลาระหว่าง 5 ปี นับจากปีที่ได้ขึ้นปก ชีวิตของเจ้าพ่อเพลงรักคนนี้มีหลายเรื่องเลยที่เปลี่ยนไป หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนใจจะไม่รีไทร์ตอนอายุ 60 เพราะเขาได้พบเจอแพชชันของผู้คนใหม่ ๆ ที่จุดไฟจนไม่อยากเลิกทำงาน 

แน่นอนว่าระหว่างทางนั้นคงไม่ได้โปรยด้วยฤดูที่สดใส เผลอๆ อาจจะต้องพบกับลมมรสุมบ้างเป็นครั้งคราว แต่การตามหาน่านน้ำใหม่ กลับพลิกมุมมอง ‘ความสุขจากการทำสิ่งที่รัก’ ต่างไปจากเดิม สุดท้ายนี้ ฤดูที่แตกต่าง จะทำให้เขามองภาพชีวิตตัวเองในวันนี้เป็นอย่างไร เราชวนมาหาคำตอบนั้นด้วยกัน

ฉายา ‘เจ้าพ่อเพลงรัก’ กับบทเพลงที่ได้รับจากพระเจ้า

“คนรอบข้างเรียกเราว่า ‘เจ้าพ่อเพลงรัก’ จริงๆ ก็เขินนะ

เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“เราเชื่อโดยดุษณีเลยว่า เพลงมันไม่ได้มาจากเราแต่มาจากพระเจ้า เพราะตั้งแต่ช่วงปี 2002 เป็นปีที่เราได้พบกับพระเจ้า เหมือนกับได้ต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตแล้วได้คุย ได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของพระเจ้าในทุกๆ วัน แม้แต่ในเรื่องของการทำเพลง เมื่อไหร่ที่เราจะเริ่มแต่งเพลง เราไม่รู้หรอกว่าเรากำลังจะเล่าอะไร พอทำไป มันจะมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาหา ซึ่งเราเชื่อว่า นั่นคือสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ เราก็จะเอาตรงนั้นมาทำต่อ แม้กระทั่งวิธีการทำให้มันไหลลื่น ก็ไหลลื่นในแบบที่พระเจ้าให้มาอยู่ดี 

ทั้งหมดที่นำมาซึ่งความสำเร็จในทางที่ทุกคนมองว่า เรามีชื่อเสียง มีคนยอมรับ มันไม่ได้เกิดจากฝีมือเราแน่ๆ เพราะเราเป็นแค่โนบิตะที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร เรารู้อยู่แก่ใจและมั่นใจเลยว่า เพลงเหล่านี้เป็นฝีมือของพระเจ้า ส่วนเราก็เป็นผู้ที่รับเอกสารมาแล้วส่งต่อให้ผู้รับปลายทาง ดังนั้นเราจะมาเคลมตัวเองว่า เป็นคนเขียนเอกสารเหล่านั้นไม่ได้หรอก แต่เขาเรียกแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติเหมือนเรียกเราว่าพี่ ที่ก็ดีกว่าเรียกเราว่า ‘ไอ้’ (หัวเราะ)

บทเพลงรักสไตล์บอยที่เชื่อว่าคงมีคนที่ชอบฟังเหมือนกันกับเรา 

“เป้าหมายการทำเพลงเรายังคงทำเพลงในแบบของเราเหมือนเดิมนะ ถ้าให้พูดถึงสไตล์ก็คือเป็นเพลงป็อป ฟังง่ายสบายๆ มีกลิ่นอาย Soul Funk R&B  หรือ สิ่งที่จะชอบใส่ลงไปในเพลง พอเราได้เรียนจากคนรุ่นใหม่หรือจากใน YouTube มากขึ้น ก็ทำให้เราได้เพิ่มสิ่งที่เราชื่นชอบลงไปเพิ่มขึ้น ทำให้เพลงของเราฟังแล้วมีมิติและรู้สึกเข้มข้นขึ้นอีกด้วย บางทีความถี่บางความถี่ ฟังเผินๆอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อประกอบกันกับหลายๆ Elements ที่มีในเพลง มันสามารถทำให้ฟังดูมีความรู้สึกมากกว่าเดิม  

เรายังมีจุดยืนเดิมที่จะแต่งเพลงที่รู้สึกว่า มันจรรโลงใจด้วยวิธีการของเรา 

เมื่อก่อนไม่ค่อยเห็นอัลบั้มเพลงที่ออกโดยชื่อของคนที่อยู่เบื้องหลังการทำดนตรี ซึ่งถ้าถามเราว่า ทำไมเราที่เป็นนักแต่งเพลงถึงมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ก็ต้องย้อนกลับไปอีกว่า  ตอนนั้นเมืองไทยเรามีคุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ ที่เป็นทั้งนักทำเพลง รีมิกซ์เซอร์ โปรดิวเซอร์ ซึ่งเขาก็มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง เราก็อยากจะเจริญรอยตามเขา ทีนี้พอเราเป็นเจ้าของค่ายเพลงร่วม  เราจะทำอะไรก็ได้สิ แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีชื่อเสียงอะไรนะ ก็เลือกออกอัลบั้มที่เป็นชื่อเราแล้วให้ศิลปินมาร้องเพลงให้ คือทำออกไปดื้อๆ เลย เพราะเรามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราชอบเพลงของเรามันก็น่าจะมีคนอื่นที่ชอบเพลงของเราเหมือนๆ กันบ้างแหละ แต่ไม่ได้คิดว่าจะมากหรือน้อยนะ” 

ทำเพลงฟังเองกลายเป็นความสุขที่คว้าได้ทุกวัน

เราจะแต่งเพลงเพื่อมีความสุข เพราะเราไม่ได้แต่งเพื่อให้มันเสร็จหรือเพื่อความสำเร็จแล้ว นึกออกไหม 

การแต่งเพลงเพื่อความสำเร็จกับแต่งเพลงเพื่อความสุขมันคนละแบบกันเลยนะ ตอนนี้ความกดดันมันไม่มีแล้ว เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องให้คนได้ยินด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเราก็ยังอยากให้คนได้ฟังเพลงเรา ยังอยากได้ฟีดแบคว่าชอบหรือไม่ชอบ คือถ้าส่งได้ถึงก็ดี แต่ถ้าส่งไม่ถึงก็ไม่เป็นไร  เพราะมันก็เคยได้เป็นเป้าหมายแรกๆ เหมือนแต่ก่อนนี้ล่ะ

แต่วันนี้เราเดินมาถึงจุดที่ บางที ถ้าการที่จะต้องทำเพื่อให้ทุกคนได้ยินมันยากและเหนื่อยเกินไป เราก็เลือกแค่ว่าทำเพลงให้เสร็จแล้วเอามาฟังเองก็เป็น achivement ที่เป็นความสุขส่วนตัวประจำวันแล้วกัน

อย่างเช่น เราทำเพลงเสร็จแล้ววันนี้ บางทียังไม่ได้มิกซ์เป็นแค่เดโม เรานั่งฟังทั้งคืนแล้วก็ โอ้โห เพราะจัง! แค่นี้ก็ถือเป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่สุขใจสำหรับเราแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในตอนนี้ก็คือ

 การตั้งเป้าหมายที่เล็กลงเรื่อยๆ ทำให้เราก้าวไปหยิบความสุขได้แทบทุกวัน

 เราไม่ต้องมารอว่าคนนั้นคนนี้ชอบเพลงเราถึงจะมีความสุข มีแค่ใจเราและเอาแค่ทำเพลงแล้วเราชอบ เราก็มีความสุขร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เลยเป็นเหตุผลที่ว่า เราทำเพลงเก็บไว้เยอะมากเป็นร้อยๆเพลง แล้วขอให้คนที่สนิทด้วยอย่างนภ ป๊อดมาร้องให้ โดยที่ไม่ได้จำเป็นว่าต้องทำออกไปให้ใครฟัง เพราะเรามีความสุขแล้ว แล้วถ้าเพลงไหนได้ส่งออกไปให้ผู้ฟังแล้วเขาชอบ ก็ถือว่าเป็นโบนัสละกัน

‘ทำสิ่งที่รัก’ คำสอนจากพ่อแม่และจะเป็นเสาหลักให้ครอบครัวภูมิใจ

“สิ่งที่เราเล่าไป มันก็วนกลับมาที่คำสอนของพ่อแม่ที่เคยสอนเรามาตั้งแต่เด็กเลยที่ว่า ให้ทำในสิ่งที่รักแล้วมีความสุขไปกับมัน แค่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่

จริงๆ ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ถ้าเทียบเรากับลูกคนอื่นๆ เราถือว่าเป็นลูกที่เลี้ยงยากมาก เราเป็นคนที่ผิดแผกไปจากคนอื่น และไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรเลย บริบทสังคมตอนนั้นก็มองเรื่องการเรียน เป็นเรื่องที่มองแค่ด้านซ้ายและด้านขวาอยู่ แต่เรารักและอยากที่จะเป็นนักแต่งเพลง ซึ่งเมื่อสัก 40 กว่าปีที่แล้วนี้ อาชีพนี้มันจะเลี้ยงชีพยังไงเราและทุกคนในครอบครัวก็ยังมองไม่ออกเลย

แต่พ่อกับแม่กลับมีความเชื่อว่า การทำงานด้วยความรักอย่างน้อยก็เป็น Achivement หรือความสำเร็จที่อยู่ในใจของลูก เราอาจจะมีชีวิตที่ลำบากหรืออาจจะไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องพยายามไปไขว่คว้าต่อสู้เอาเพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เขามักจะพูดว่า เดี๋ยวเราก็ดิ้นรนหารายได้จากทางต่างๆ มาได้เองแหละ  

เพราะพ่อแม่เรามีความเชื่อ ว่าถ้าเราทำในสิ่งที่เรารักเดี๋ยวความรักในผลงานเหล่านั้นมันจะพาทุกอย่างมาเอง เพราะฉะนั้น พ่อ แม่และคุณยาย คือต้นกำเนิดทางความคิดที่เรายึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้เลย อย่างในเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่ก็มาจากคำสอนจากครอบครัวเรา เช่น เพลง Seasons Change ก็เป็นคำสอนของแม่ เพลง Live and Learn ก็เป็นคำสอนของพ่อ 

ถ้าพูดถึงเสาแห่งชีวิต รู้จักต้นองุ่นที่มันเป็นเถา ต้องเลื้อยบนไม้เป็นโครงสร้างต่างๆ ไหม ในไบเบิลเขาเปรียบว่า มนุษย์เราเหมือนเถาองุ่น ถ้าไม่มีค้างไม้มาคอยให้เลื้อยมันก็จะเลื้อยลงดิน พอลงดินก็จะไม่เกิดผล แต่ถ้าองุ่นเลื้อยไปตามค้างไม้ องุ่นก็จะเกิดผล ดังนั้นทุกวันนี้ด้วยธรรมชาติของมนุษย์อย่างผมก็พร้อมที่จะเลื้อยลงดิน ก็เลยเหมือนกับที่ผมจะต้องคอยเกาะเสา เกาะราวไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ชีวิตเลื้อยลงดินจนไม่เกิดผล ส่วนวิธีการเกาะค้างไม้ของผมก็คือการอ่านไบเบิลเป็นประจำ   เพื่อคอยเตือนตัวเองไม่ให้พลาดไหลลงไปในที่ๆ ไม่ดี

เราเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องอยู่แล้วและเคยกลัวจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะพวกเขาคือคนที่เราอยากทำอะไรให้เพื่อทดแทน ซึ่งตอนที่พวกเขายังมีชีวิตเราก็ตั้งใจที่จะทำดีกับพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เมื่อเขาจากไปแล้วเราจะได้ไม่คาใจ 

แต่สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญมากๆ ก็คือการทำหน้าที่ของสามีและพ่อของลูกๆให้ดี

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราก็เลยยังเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากที่เคยให้สัมภาษณ์ในเล่ม a day ว่า ในวันที่ตายไป ในพิธีศพของเรา เราอยากให้ลูกกับภรรยาของเราขึ้นมาพูดถึงเราด้วยความภาคภูมิใจ เพราะงั้นเราก็ต้องตั้งใจฮึดให้ไม่ทำสิ่งไม่ดีเพื่อที่จะให้ได้รับรางวัลนั้นมา เหมือนที่พ่อแม่ได้รับความรัก ความเทิดทูน และการสรรเสริญจากลูกๆทุกคนและจากเราเอง

จะรีไทร์ตอน 60 แต่เอาเข้าจริงยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ 

“ตอนเด็กๆ เราเคยนึกภาพว่าช่วงวัย 50 ขึ้นไปจะต้องดูแก๊แก่ แต่ตอนนี้อีก 3 ปีเราก็จะ 60 แล้ว เออ ไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลย (หัวเราะ) 

เราเคยคิดว่าจะรีไทร์ตอนอายุ 60 แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว 

เพราะการได้เจอคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นอื่นๆ ที่เก่งๆ ยิ่งในวงการเพลงตอนนี้ เด็กๆ น้องๆ ศิลปินเก่งมาก ทำดนตรีเอง แต่งเพลงเอง เล่นเองหมดเลย หรืออย่างล่าสุดเราเพิ่งไปเจอเพื่อนของหลานเรา เขาทำงานเป็น Sound  Engineer หรือไปเจอน้องๆ นักดนตรีรุ่นใหม่ๆที่พอฟังแล้วแบบว่าทึ่งจนไม่รู้จะทึ่งยังไงเลย เฮ้ย นี่เขาแจ๋ว เขาเก่งกันขนาดนี้เลยหรอ มันเลยทำให้เราในวัยนี้รู้สึกยังอยากพัฒนาการทำงาน อยากพัฒนาการทำในสิ่งที่ชอบ  อยากทำนั้นทำนี่เต็มไปหมด

 เดี๋ยวนี้พอได้ไปฟังหรือไปดูอะไรที่มันกว้างกว่าที่เราเคยเจอมา มันทำให้ใจเรารู้สึกว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับสิ่งที่เรามีอยู่ 

 แล้วพอรู้อะไรใหม่ๆ มันเหมือนเจอไอเท็มให้เราได้ลองดึงเอามาใช้ เลยกลายมาเป็นความสนุกของเราในตอนนี้เลย ดังนั้นเราเลยเปลี่ยความคิดว่า จะมารีไทร์ตอนนี้ไม่ได้นะ 

เราก็เลยคิดว่าจะต้องหาทางร่วมงานกับทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นโตกว่าเรา รวมไปถึงฟังความคิดเห็นของคนที่อยู่นอกเหนือสายงานของเราด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องเพลงนะฮะ เรื่องอะไรก็ตามแต่ เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างสามารถเอามาเชื่อมกันได้ และเชื่อว่าการได้ซึมซับวิธีการทำงานใหม่ๆ ที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน เราก็อาจจะได้วิธีการส่งเอกสารที่หลากหลายมากขึ้น มากกว่าแค่ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่ง เราอาจจะตีลังกามาส่งเลยก็ได้ เลยคิดว่ายิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องเปิดใจรับความคิดจากคนอื่นให้มากขึ้นไปด้วย

‘หากเปรียบชีวิตของคนกับฤดู ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงเวลาของการสะสมพลังงาน พลังชีวิตและพลังกล้ามเนื้อเพื่อให้เราแข็งแกร่งขึ้น ชีวิตของเราในตอนนี้ก็คงอยู่ในช่วงหลังฝน เพราะเราเห็นโอกาสที่จะได้ทำอะไรสนุกๆ อีกเยอะ และร่างกายเราก็พร้อมที่จะออกไปทำส่ิงใหม่ๆ ที่เป็นความสำเร็จแค่ในใจเราก็พอแล้ว’

บอย โกสิยพงษ์, 2024

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

gunsept

เด็กหาดใหญ่ แหลงใต้ไม่เป็นแต่ว่า รักดนตรี ศิลปะ ภาพยนตร์