“ถ้าต้องเลือกเป็นศิลปินหรือนักแสดง ผมเลือกไม่ได้” ชีวิตที่ใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า กับ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล

บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นอกจากเบื้องหน้าที่หลายคนมองเห็นแล้ว เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่วนเวียนอยู่กับการทำงานเบื้องหลัง นั่นจึงทำให้เขามองเห็นการทำงานแทบทุกขั้นตอนและเต็มที่กับทุกงานให้เหมือนคนที่เกิดมาเพื่อทำสิ่งนั้น

“ผมชอบที่จะให้คนเบื้องหลังออกมารับกำลังใจจากคนที่เห็นคุณค่าในงานของคุณ เขาจะได้รับกำลังใจกลับไปและรู้สึกเหมือนผม เพราะมันเป็นสิ่งที่ผลักดันผมในทุกวันนี้”

เป็นปกติที่คนเบื้องหน้ามักจะได้รับเสียงชื่นชมก่อน แต่หลังม่านกั้นของงานเหล่านั้นมักแลกมาด้วยการทุ่มเทอย่างหนักจากทีมงานเบื้องหลังเสมอ

หากอยู่ในวงการเพลง บิวกิ้นเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่หลายคนยอมรับความสามารถ ฟีเชอร์ริงกับศิลปินมืออาชีพได้แบบไม่จม ไม่หาย ได้จัดคอนเสิร์ตของตัวเองต่อหน้าคนนับหมื่น แถมยังปล่อยเพลงใหม่ให้แฟนๆ ได้ฟังแบบไม่ต้องคิดถึงนาน

หากอยู่ในวงการละคร-ภาพยนตร์ บิวกิ้นก็เป็นอีกหนึ่งนักแสดงผ่านการแสดงมากมาย ตั้งแต่นักแสดงสมทบจนถึงนักแสดงหลัก ไม่ว่าบทไหนบิวกิ้นก็เข้าถึงบทบาทและกลายเป็นตัวละครนั้นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นบทหนุ่มขี้เล่นจนน่าหมั่นเขี้ยว หรือคนที่ไม่รู้ใจตัวเองจนต้องเสียใจอย่างน่าสงสาร 

หากอยู่ในแวดวงธุรกิจ บิวกิ้นก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ทั้งการเป็นเจ้าของค่าย Billkin Entertainment และโปรดักต์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเองอีก 2 แบรนด์ Wital กับ Reroute 

ต่อให้ไม่ได้ติดตามก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขาสักครั้ง

การทำงานหลายด้านให้ออกมาดีไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนเลือกลุยทางที่ตัวเองถนัดจนสุดทาง แต่บิวกิ้นในวัย 24 เขาดูโตเกินวัย วางแผนอย่างเป็นขั้นตอน และอยู่ในช่วงเรียนรู้โลกการทำงาน โดยเฉพาะทั้งงานแสดง งานเพลง และโลกของธุรกิจที่เรียกร้องทักษะที่ต่างกัน 

ในวันที่เพลง ‘ก้าวก่าย’ และ ‘หลานม่า’ เพิ่งปล่อย เรานัดเจอบิวกิ้นช่วงสายของวัน พูดคุยถึงเบื้องหลังการทำงาน ความรู้สึกของคนไม่ move on ความฝันของการเป็นนักแสดงนำภาพยนตร์เรื่องแรก ไปจนถึงสิ่งที่ต้องแลกมากับการได้ทำงานที่ตัวเองรัก

1

ก่อนอื่นต้องแสดงความยินดีกับเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยก่อน เพลงนี้ได้โบกี้ไลออนมาแต่งให้ได้ยังไง

ขอบคุณครับ พี่โบกี้เป็นเหมือนคนที่ได้เจอกันอยู่ตลอด เรามีเพื่อนร่วมกัน แล้วเราก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น จริงๆ ก็เป็นจังหวะและโอกาสมากกว่า เรามองว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากร่วมงานด้วยถ้าเกิดมีโอกาส พอมาถึงจังหวะที่เราอยากได้เพลงและมีเรื่องที่เราอยากจะเล่า เรารู้สึกว่าพี่โบกี้เขาสามารถส่งงานประมาณนี้ให้เราได้ แล้วประจวบเหมาะพอดีที่เราได้ไปเจอเขา เราก็เล่าให้เขาฟัง ก็เลยได้ทำงานด้วยกัน

เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว หรือเพิ่งมีหลังการคุยกัน

ไทม์ไลน์มันค่อนข้างสะเปะสะปะมากเลย จริงๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกันเลยว่าจะให้ทำเพลงแบบจริงจังนะ  ตลอดทางมันก็การแย็บๆ กันเล่นๆ อยู่เรื่อยๆ ‘ทำเพลงให้หน่อยสิ’ ‘เมื่อไหร่จะทำเพลงให้ละ’ แต่ยังไม่ได้มีเพลงหรือการวางไทม์ไลน์กันจริงจัง 

ผมว่าการที่ได้ขโมยคุยกันไปเรื่อยๆ เลยทำให้เราเข้าใจมากขึ้นมาตลอดทางด้วยมั้ง พอเรามาทำงานด้วยกันจริงๆ เหมือนเราไม่ได้คุยกันเยอะมาก แล้วเขาก็คิดของเขาในมุมนี้มา แล้วก็ส่งเดโมมา 

ตอนเห็นเพลงครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง

รู้สึกว่ามันคม มันเป็นเพลงที่ดี ผมรู้สึกว่าเอกลักษณ์ของความเป็นโบกี้ไลออน เขาจะมีเอกลักษณ์ทางภาษา และเมโลดีของเขา แต่เราก็เห็นว่าเขาพยายามจะตีความตัวเราผ่านมุมมองของเขา จากสิ่งที่เราได้คุยหรือจูนกัน ผมว่าข้อดีเขาคือคนที่คม แล้วงานของเขาดีในแบบที่เฉพาะตัวของเขา 

คุณตีความการเป็นคนไม่มูฟออนในเพลงก้าวก่ายยังไงบ้าง

ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามากเลย ผมเองก็มี ทุกๆ คนก็น่าจะมีประสบการณ์

ทุกครั้งที่เราเจอกับจุดเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักหรืออะไรก็ตาม บางครั้งเราอาจจะยังปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ไม่ทัน มันเป็นเหมือนความคุ้นชินที่เราเคยทำมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอวันนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป เราอยู่ในเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปแต่เรายังคุ้นชินกับการทำตัวแบบเดิม สำหรับผมมันคือการไม่มูฟออน เรายังยึดติดอยู่กับตรงนั้น หรือเหมือนกับว่าเรายังอยู่ตรงนั้น 

มีเหตุการณ์ไหนในเพลงนี้ที่ตรงกับตัวเองไหม

ก็มีนะ ถ้าให้มันตรงมากๆ อาจจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่วันนึงเราอาจจะต้องแยกกัน มันอยู่แบบนั้นมาช่วงระยะเวลานึง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันก็จะมีประสบการณ์อะไรแบบนี้แหละที่เป็นความหมายของเพลงนี้

ปกติเป็นคนมูฟออนง่ายหรือเปล่า

ผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญกับมันมากไหม มันจะมีโอกาสได้แก้ไขมันได้ไหม มันจะมูฟออนไปสู่จุดๆ ไหน 

ด้วยความที่เราโตขึ้น แล้วเข้าใจองค์ประกอบทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้เรามูฟออนได้ง่ายขึ้นนะ ผมว่าการมูฟออนมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ โอ้โห จะต้องทำให้สิ่งนี้มันหายไป ผมว่าบางครั้งเราแค่ต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์ใหม่ ทำความเข้าใจถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลง ทำความเข้าใจถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย พอเราโตขึ้นเราเข้าใจในหลายๆ มุมของสถานการณ์นั้นมากขึ้น ผมว่าทำให้เราก้าวข้ามผ่านเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น

2

พูดถึงเรื่องการแสดง เรื่องหลานม่าถือเป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเลยไหม

เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องแรกครับ แต่บางคนอาจจะบอกว่าผมเล่นน้องพี่ที่รักมาก่อน แต่สำหรับมุมผม ผมจัดให้เรื่องหลานม่าเป็นเรื่องแรกของผมนะ 

รู้สึกยังไงบ้างกับการเป็นนักแสดงนำเรื่องแรก

(นิ่งคิด) มันก็ประกอบไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างนะ 

ในวันแรกที่เราเริ่มทำงานที่นาดาว เราเข้ามาด้วยความฝันของการเป็นนักแสดงแหละ แต่ระหว่างทางมันก็มีโอกาส มีงานอื่นๆ ที่เราได้ลองทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำเพลง แต่เบื้องลึกของเรา เรามีจิตวิญญาณของการเป็นนักแสดงอยู่แล้ว ตั้งแต่วันแรก 

ผมว่าสำหรับนักแสดงนาดาว หรือนักแสดงหลายๆ คนในประเทศนี้การเล่นภาพยนตร์กับ GDH มันเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ความรู้สึกของเราต่อแบรนด์นี้มันยิ่งใหญ่ แล้วยิ่งเรามาเล่นเป็นตัวนำ มันก็ยิ่งใหญ่ไปอีก ผมเคยแคสต์หนัง GDH มาเยอะมาก ผมไม่เคยได้ ผมว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 5-6 เรื่อง มันก็มีคาดหวังสูงบ้าง คาดหวังต่ำบ้าง ผิดหวังบ้าง 

ในวันนี้เป็นเหมือนช่วงจังหวะ โอกาส และเวลาที่มาถึงเราแล้ว ผมว่ามันก็ความตื่นเต้น กดดัน ดีใจ และอยากทำงานนี้ออกมาให้ดีที่สุด แล้วตัวงานนี้มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ค่อนข้างใกล้ตัว และเป็นเรื่องที่เราอยากจะนำเสนอด้วย 

ตอนที่แคสต์เรื่องนี้เคยคิดไว้ตั้งแต่แรกไหมว่าบทนี้จะต้องเป็นของเรา

มันก็มีเซนส์ของความรู้สึกนั้น ทุกครั้งที่เราลงไปแคสต์บทอะไร หรือลงไปเล่นบทอะไร มันก็จะมีสเกลว่าเราเห็นภาพตัวเราในงานนี้มาก-น้อย แค่ไหน 

งานนี้เป็นงานที่ผมเห็นภาพในการลงไปเป็นตัวละครตัวนี้ชัดมาก ผมไปคุยกับผู้กำกับแบบนี้ตั้งแต่วันที่ผมไปแคสต์เลย แต่ในอีกมุมนึง เราก็ไม่รู้ว่าภาพที่เรามองมันจะตรงกับภาพที่เขามองหรือเปล่าด้วย แต่มันก็เป็นอีกงานนึงที่ผมมีไฟมากๆ แล้วก็อยากกลับมาทำงานแสดงมากๆ ในรอบหลายปี

การที่คุณมาจากครอบครัวใหญ่ มีส่วนทำให้คุณอินกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากเป็นพิเศษไหม

มีส่วนสูงเลยครับ (ตอบทันที) 

ประเด็นที่สำคัญในการทำภาพยนตร์สักเรื่องสำหรับผม ผมชอบคิดว่าคุณค่าของงานนั้นมันคืออะไร มันคือความสนุกสนาน หรือสอนอะไรหรือเปล่า แต่หนังเรื่องนี้มันเป็นอีกประเด็นหนึ่ง มันเป็นหนังที่ไม่ได้ตั้งใจจะสอนอะไรเรา มันเป็นหนังที่สะท้อนความเป็นจริงของสถาบันครอบครัว ยิ่งเป็นสถาบันครอบครัวของคนเชื้อสายจีน ตอนที่อ่านบทผมรู้สึกว่ามีหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับตัวผมมาก มันมีหลายๆ แง่มุมที่ทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง มองบางมุมที่เราอาจจะละเลยไป ในฐานะของสมาชิกครอบครัวคนนึง ในฐานะคนๆ นึง 

ผมเลยรู้สึกดีใจ และอยากนำเสนอเรื่องนี้ อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอเรื่องราวนี้ให้มันไปสร้างตะกอนอะไรสักอย่างในความคิด หรือในหัวใจของคน มันเป็นหนังที่คนดูแล้วจะต้องกลับไปหาคนที่บ้าน กลับไปให้ความสำคัญกับคนที่บ้าน ผมรู้สึกว่านี่เป็นความรู้สึกที่ผมได้รับมั้ง ผมอยากจะตีแผ่ความรู้สึกนี้ให้คนอื่นได้รู้สึกเหมือนผม ผมเลยค่อนข้างเต็มที่กับงานนี้มากๆ แล้วก็อยากให้มันออกมาดีที่สุด

3

ช่วงนี้ที่มีทั้งงานเพลงและงานแสดงที่ถูกปล่อยมาใกล้ๆ กัน บิวกิ้นทำยังไงให้ทั้งสองด้านนี้ออกมาได้ดีพร้อมๆ กัน

คนอาจจะรู้สึกว่าทำสองอย่างพร้อมกัน แต่จริงๆ มันแค่ปล่อยพร้อมกัน

ช่วงนี้เป็นแค่ช่วงโปรโมต แต่ช่วงทำงานและเตรียมงานจริงๆ มันจบหมดแล้ว หมายถึงว่าผมไม่ได้ทำสองอย่างพร้อมกัน อย่างผมทำหนังก่อน ซึ่งมันก็จะกินเวลาประมาณหนึ่ง พอทำหนังจบ มันก็จะต้องมีช่วงเวลาที่เขาไปทำ post-production ผมก็สวิตช์มาทำเพลง จริงๆ แล้วเราแค่เปลี่ยนโฟกัสไปตามช่วงเวลาอยู่ตลอด

หลายคนในวงการบันเทิง อาจจะเลือกทำด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะทางไปเลย ซึ่งมีไม่กี่คนที่ทำทั้งสองอย่างได้ดี แต่ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำทั้งเพลงและนักแสดง

ผมรักการทำทั้งสองอย่างนี้

คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ ถ้าต้องเลือกจะเป็นศิลปินหรือนักแสดง ผมเลือกไม่ได้ เราเป็นศิลปินแบบที่ศิลปินทำงาน เราเป็นนักแสดงในแบบที่นักแสดงทำงาน เราไม่สามารถเลือกได้ว่าเราจะเป็นศิลปินแล้วแล้วไปแสดงแบบศิลปิน หรือไปเป็นนักแสดงที่ร้องเพลงแบบนักแสดง ผมรู้สึกว่าอยากทำงานนั้นให้เต็มที่แต่ละบทบาท แล้วก็ทำให้เหมือนกับคนที่ทำสิ่งนั้นจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันก็สนุกและท้าทายทั้งคู่ แล้วก็มีความแตกต่างกันมากๆ มันก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นดี 

ข้อดีของการทำงานทั้งสองด้านสำหรับคุณคืออะไร

พอเรามีตัวเลือกการทำงานทั้งสองขา มันทำให้เราสามารถสวิตช์การทำงานของเราไปๆ มาๆ ได้ 

การที่เราจะมีแพชชันกับมัน เราต้องจริงใจกับมันมาก ไปอยู่กับมันมากๆ คนอื่นอาจจะไม่เป็นเหมือนผมนะ แต่บางครั้งผมเริ่มมีไฟน้อยลงเวลาที่ทำงานอะไรซ้ำไปเรื่อยๆ 

มันเลยเหมือนว่าใน phase นี้เราสวิตช์มาทำเพลง พอเราทำเพลงไปสักพัก โอโห เราจะคิดถึงการแสดงมากเลย แล้วเวลาที่เรากลับไปทำงานแสดงนะ เราจะทำการแสดงเหมือนกับว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย เราก็จะเต็มที่กับมันมาก พอเราทำการแสดงไปสักสามสี่เดือน เราจะรู้สึกคิดถึงการทำเพลงมากเลย คิดถึงการเข้าห้องอัด คิดถึงการถ่ายMV คิดถึงการออกไปร้องโชว์ คิดถึงการไป Music Festival จังเลย คิดถึงการทำคอนเสิร์ตจังเลย พอเรากลับมาทำเพลง เราก็จะกลับมาทำเหมือนคนที่คัมแบ็กจากการห่างหายไป 

แต่จริงๆ แล้วระหว่างทางเราก็จะได้ทำอะไรอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่ได้มีแค่นี้นะ ผมก็จะมีอะไรอื่นๆ ผมก็มีทำ Side business อื่นๆ บ้าง พอเป็นคนเบื้องหลัง เหนื่อยๆ เบื่อๆ อยากสนุกก็สวิตช์มาทำเบื้องหน้า ผมว่ามันเป็นความสนุกของชีวิตดีที่เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่เราแค่ต้องทำมันให้เต็มที่ แล้วทำมันแบบคนที่รับหน้าที่นั้นจริงๆ

งั้นสิ่งที่ต้องแลกกับการได้ทำอะไรหลายๆ อย่างละ

เวลาครับ

พอเราทำอะไรที่มันเต็มที่มากๆ ผมว่ามันต้องการการทุ่มเทขั้นสุด บวกกับเรามีความรับผิดชอบในหลายๆ บทบาททำให้เราต้องใช้เวลากับมันเยอะ บางคนชอบถามว่า ทำไมทำงานทุกวันเลย ไม่เหนื่อยเหรอ ไม่คิดจะหาวันว่างให้เราสักวันเลยเหรอ แต่ผมมันเป็นการยอมรับเงื่อนไขของสิ่งที่เราเลือกจะทำมากกว่า 

บางครั้งเราเหมือนจะเป็นคนเลือกทำสิ่งนี้ แต่ความจริงเราอาจจะไม่ได้เลือกได้ขนาดนั้น แต่เพื่อให้ได้ทำสิ่งนี้ มันก็จะมีเงื่อนไขที่เราต้องยอมแลก 

สิ่งที่ผมเสียไปหลักๆ คือเวลาที่ได้ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งาน ซึ่งงานผมมันก็ดันเป็นงานที่แฮปปี้มากๆ จนผมยอมที่จะแลกมัน ทุกครั้งที่ผมทำงานมันทำให้ผมไม่ต้องหางานอดิเรกทำแล้ว การพักผ่อนเราอาจจะน้อยลง แต่อาชีพนี้เราไม่รู้หรอกว่ามันจะยาวนานไปถึงแค่ไหน มันจะมีวันที่เราได้เบรกอยู่บ้านอยู่แล้ว แต่ยังไม่อยากวันนี้นะครับ ยังสนุกอยู่

ด้วยธรรมชาติของเรา อะไรที่มันไม่คุ้มเสียผมไม่ทำอยู่แล้ว ในทุกวันนี้มันไม่ได้แปลว่า ทำงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย ครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ผมต้องดูแลความรู้สึกของเขา เพื่อนก็เป็นอีกหนึ่งสถาบันที่สำคัญผมว่าเราก็ต้องพยายามบาลานซ์ทุกๆ อย่างให้มันอยู่ในส่วนที่ลงตัวกับเราที่สุด

แสดงว่าคุณพอใจกับการใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว

ในภาพรวมมันก็โอเคนะ แต่ผมว่ามันนามธรรมอะ บางครั้งเราก็สนุก แล้วก็ดีใจ เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ แต่บางครั้งมันเหนื่อย อยากจะพักบ้างมันก็มี ผมว่ามันก็มองได้หลายแง่มุม มันไม่มีคำตอบที่ตายตัวขนาดนั้น ผมว่ามันไม่มีชีวิตแบบนั้น มันมีแค่ชีวิตที่เราแฮปปี้กับมันหรือเปล่าแค่นั้น 

4

มีใครไหมที่บิวกิ้นอยากเรียนรู้วิธีการทำงานให้ได้แบบเขา

(นิ่งคิด) หลายคนนะ แต่ผมอาจจะไม่มีไอดอลที่เราอยากจะเป็นเขา แต่เป็นมุมนั้นมุมนี้ของแต่ละคนมากกว่า 

อย่างล่าสุดผมไปเจอ David Foster (โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงฮิตชื่อดัง) ได้เห็นวิธีการทำงานของเขา ได้เห็นทีมงานของเขา เรารู้สึกว่าเขามีความเป๊ะ มีความเนี้ยบ ทุกอย่างจะต้องดีเทล แต่เขาก็สามารถทำงานได้แม่นมาก ซะจนมันไม่ซ้ำซ้อน ผมว่ามันมีความเป็นซูเปอร์มืออาชีพของรุ่นใหญ่ ผมจะค่อยๆ เก็บเอเลเมนต์อะไรพวกนี้มากกว่า ไม่ได้มีคนที่รู้สึกว่าอยากจะทำงานหรือเป็นเขาขนาดนั้น 

ในมุมการทำงานคุณเป็นคนจริงจังมากไหม

ก็ค่อนข้างเป๊ะนะ ผมก็จะมีมุมที่ค่อนข้างให้ความสำคัญ แต่เราทุกคนมีมุมนี้ในที่ๆ ต่างกันแหละ เราอาจจะให้ความสำคัญกับอะไรที่ต่างกัน คนที่ตามงานของผมเขาก็จะพอเข้าใจได้ว่าผมจะให้ความสำคัญกับอะไรมากๆ 

แล้วเรื่องอะไรที่บิวกิ้นให้ความสำคัญมากที่สุด

คุณภาพครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมได้รับอิทธิพลมาจากพี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์)

พี่ย้งจะสอนตลอดว่าบางงานเขาไม่เคยคิดถึงปลายทางด้วยซ้ำ มีหลายๆ งานที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะพาเขามาไกลขนาดนี้ สำหรับเขามันแค่ในวันที่เขาทำงานหนึ่งวัน เขาทำงานอย่างดีที่สุด โดยไม่ประนีประนอมให้กับคุณภาพเลย แล้วสุดท้ายสิ่งที่เราทำลงไปกับงานมันจะออกผล และกลับมาให้เราเอง เราแค่จริงใจและ ทำสิ่งที่ดีที่สุดกับงาน  

ที่ผ่านมาการทำงานกับพี่ย้งก็เป็นบทพิสูจน์ให้ผมเห็นว่า เออ มันจริง พอเราได้รับ Influence การทำงานแบบนั้นมา จนถึงวันนี้ที่เราเปิดบริษัทเอง ผมก็ยังเชื่อแบบนั้นนะ มันยังมีหลายๆ อย่างที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะพาเรามาไกลขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ได้ยินมาว่าบิวกิ้นให้ความสำคัญกับทีมงานเบื้องหลังมากๆ เพราะเขาคือทำที่ทำให้งานสำเร็จ ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไร

ผมว่ามันมาจากสิ่งที่เราเห็นแหละ 

ยกตัวอย่าง หนังสักเรื่อง เราเป็นนักแสดงที่เหมือนเป็นด่านหน้าของงานนี้ งานมันออกมาดี เราได้รับเครดิตอยู่แล้ว แน่นอนอยู่คนมาชมเราอยู่แล้ว แต่เราดันเห็นมั้งว่าระหว่างทางกว่าที่มันจะออกมาอย่างที่ทุกคนชื่นชอบ หรือให้คุณค่ากับมันขนาดนี้ วันที่เราเดินเข้ามา เราได้รับรู้ว่าบทหนังเรื่องนี้มันถูกเขียนมา 3 ปีอะ มันเขียนมาจากชีวิตจริงของพี่คนเขียนบทคนนี้ แล้วเขาเขียนเรื่องนี้มาโดยไม่ทำอะไรเลยทั้งหมด 3 ปี เรามานั่งคิดว่า โอ้โห 3 ปี เราทำอะไรไปบ้างแล้ววะเนี่ย ในขณะที่เขาทุ่มทุกอย่างในชีวิตกับบทหนังเรื่องนี้

จนมาถึงวันที่เราเข้ามา เราเห็นคนที่ทำงานอยู่ในนี้หลายอย่างมากมาย ทั้งแอ็กติงโคช นักแสดงคนอื่นอีก ผมว่ามันดีเทลมากเลยนะ ทีมกล้อง ทีมไฟ ทีมเสื้อผ้า ตากล้อง ทีมอาร์ต ทุกๆ ฝ่าย ผมว่าเขาทำงานไม่น้อยกว่าผม หรือมากกว่าผมด้วยซ้ำมีคนอีกหลายๆ คนที่ทำให้องค์ประกอบของหนังออกมาดีอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้  คนอื่นเขามากองก่อนผมอีก กลับทีหลังผมอีก ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับเครดิตเท่าที่ควร จากสิ่งที่เขาทำ 

ทำไมการได้รับเครดิตถึงสำคัญสำหรับคุณ

ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนในทีมทำงาน การอุทิศตัวให้กับงาน และคุณค่าของเรามันไม่ได้น้อยกว่ากันเลยนะ มันแทบจะเท่ากัน หรือคนบางคนในกองมีคุณค่ามากกว่าผมด้วยซ้ำ เราก็ดีใจนะเวลาที่มีคนมาชื่นชมกับสิ่งที่เราทำ จริงๆ แล้วมันมีคนอยู่ข้างหลังกล้องอีกเยอะมาก ที่ทำให้งานที่เราเห็นทั้งหมดมันออกมาเป็นแบบนี้ 

ผมรู้สึกชอบที่จะให้คนเบื้องหลังออกมารับกำลังใจหน่อย จากคนที่เห็นคุณค่าในงานของคุณ เขาก็จะได้รับกำลังใจกลับไป และรู้สึกเหมือนผม เพราะมันเป็นสิ่งที่ผลักดันผมในทุกวันนี้

การที่เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันมีคุณค่ายังไง ผมว่าสิ่งนี้มันเป็นกำลังใจ มีผลต่อแรงผลักดันในการทำงานที่สุดเลย ถ้าเขาได้มารับพลังงานเหล่านี้ มันก็จะทำให้เขามีไฟ และผลักดันให้เขาเดินไปข้างหน้าต่อเรื่อยๆ ผมว่ามันเป็นพลังงานที่เหมือนพลังวิเศษ

5

ถ้าย้อนกลับไปตอนที่บิวกิ้นยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นศิลปิน อยากจะบอกเด็กคนนั้นว่าอะไร

ก็แค่สนุกกับชีวิตไป ทำตามหัวใจไป เต็มที่กับสิ่งที่ทำ ผมว่าทุกคนเลยนะ ไม่ได้บอกกับตัวเองอย่างเดียว จริงใจกับความคิดความรู้สึกของเรา สุดท้ายแล้วใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด ผมว่ามันเจ๋งที่สุดแล้ว

ถ้าบอกเด็กคนนั้นว่าโตไปจะได้เป็นนักแสดง ได้เล่นหนังด้วย คิดว่าเด็กคนนั้นจะเชื่อไหม

ไม่น่าจะเชื่อนะครับ ผมยังไม่เชื่อเลยทุกวันนี้ 

คิดว่าเขาจะตอบกลับมาว่าอะไร

“ครับ” เพราะตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยสู้คนหรอกครับ พูดไรมาก็ครับๆ ไปก่อน

ในวัย 24 มีเรื่องอะไรที่ความคิดเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนบ้าง

เยอะมาก ตอนเด็กๆ ที่บ้านผมจะชอบบอกว่าเต้นกินรำกินไม่เจริญหรอก ผมว่ามันก็เจริญได้นะ (ยิ้ม) ถ้าเราหาทางของเราเจอ เราจะทำงานอะไรก็ได้ ถ้าในเชิงมาร์เก็ตติ้งคือการที่เราหาช่องว่างการตลาดเจอ แล้วเราไปได้ มันก็มีโอกาสนั้นแหละ

ในวันที่โตขึ้นบิวกิ้นจะยังเป็นตัวเองแบบที่เราคุยกันในวันนี้อยู่ไหม

ผมว่าเราก็เปลี่ยนกันทุกวันอยู่แล้ว เติบโตขึ้นทุกวัน ได้เรียนรู้ เจอสิ่งใหม่ทุกๆ วัน มันมีรีเสิร์ชอยู่อันนึงบอกว่าเราจะมีนิสัยที่เราได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยภายนอก หรือสิ่งที่เราเจอ เส้นทางที่เราเดิน แต่แก่นของความเป็นคนมันไม่เปลี่ยน เราเป็นคนแบบไหนตั้งแต่เกิด เราจะเป็นแบบนั้นไปจนตาย เหมือนที่คนไทยเรียกว่านิสัยหรือสันดาน ผมว่าลึกๆ ผมก็ยังเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ในอนาคตผมอาจจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น และสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับตัวเองเท่านั้น

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

Cozy Cream

ไม่ใช่โซดา อย่ามาซ่ากับพี่