ทริปเทร็กกิ้งของกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัยที่วางแผนกันไปเดินเขาในช่วงปิดเทอมคงจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ หากจุดหมายที่ต้องเดินเท้าไปถึงนั้นไม่ใช่เบสแคมป์สูงกว่า 4,000 เมตรที่หลบเร้นอยู่กลางเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งต้องใช้เวลาร่วมอาทิตย์ในการขึ้นไปพิชิตและกลับลงมา
ABC (Annapurna Base Camp) ฐานพักสำหรับนักเดินทางใต้ยอดเขาอันนาปุรณะ ทางตอนเหนือของประเทศเนปาล คือสถานที่ที่พวกเราวางแผนกันไปพิชิตในครั้งนี้ เดิมที ABC ถูกขีดฆ่าออกไปจากแผนการเดินทางหลายครั้ง เพราะทุกชีวิตในทริปล้วนไม่เคยเดินเขาระยะไกลกันมาก่อน การประเดิมประสบการณ์ครั้งแรกที่ ABC จึงดูเป็นเรื่องที่ท้าทายการเอาชีวิตรอดของพวกเราไปสักหน่อย แต่เมื่อคิดกันว่าถ้าไม่กลั้นใจไปเบสแคมป์กันตอนนี้ แก่กว่านี้ก็คงยากที่จะหาเพื่อนที่กล้าและบ้าพอที่จะตอบตกลงเมื่อเอ่ยปากชวนกันไปปีนหิมาลัย ในที่สุด ABC จึงกลับมาเป็นจุดหมายปลายของพวกเราอีกครั้ง
ทริปนี้พวกเรามีกัน 4 คน พร้อมกับลูกหาบชาวเนปาลชื่อ Dave ที่สวมบทบาทเป็นไกด์นำทางไปด้วยในตัวอีก 1 คน วันแรกของการเทร็กกิ้งท่ามกลางภูมิอากาศหนาวจัดและหมอกหนาในช่วงเช้า เราแบกเป้และสัมภาระเดินลัดเลาะถนนลูกรังเข้าสู่เขตอนุรักษ์ทิวเขาอันนาปุรณะ (Annapurna Conservation Area) แม่น้ำสีฟ้าครามไม่แพ้กับท้องฟ้าที่ Dave เล่าว่าทุกหยดล้วนไหลมาจากธารน้ำแข็งด้านบนน่าจะเป็นภาพคุ้นตาของเหล่านักเดินทาง ทิวของธงมนต์ปลิวสะบัดโต้ลมราวกับว่าอันนาปุรณะกำลังเอ่ยทักทาย
เส้นทางเดินที่แคบและหลายครั้งเป็นขอบผาชัน บังคับให้พวกเราต้องเดินเรียงกันเป็นแถวตอนเดี่ยว โดยมี Dave เดินนำอยู่ข้างหน้า ก้าวย่างที่มั่นคงสมกับประวัติการเป็นลูกหาบที่เคยเดินไป-กลับ ABC มาแล้ว 6 ครั้ง ทำให้ทุกก้าวของ Dave ดูเหมือนกำลังเต้นจังหวะวอลตซ์ไปอย่างช้าๆ ระหว่างทางกลับบ้านมากกว่ากำลังเดินป่า แม้จะมีสัมภาระหนักมากกว่า 30 กิโลกรัมอยู่บนหลัง แต่เขาก็ยังใช้มือเด็ดใบไม้ เขี่ยก้อนหิน และเล่นหิมะได้โดยไม่รู้สึกลำบาก คล้ายกับว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางการเดิน แต่คือเพื่อนเล่นที่เขาคุ้นเคยมานาน
“Are you tired?” คือคำถามที่พวกเราถาม Dave เป็นประจำเมื่อหยุดพัก
“No” คือคำตอบที่ Dave ตอบกลับเราทุกครั้ง
นมัสเต หรือ สวัสดี ในภาษาเนปาล กลายเป็นคำพูดติดปากที่นักเดินทางอย่างเราๆ ใช้เอ่ยทักทายยามเดินสวนกันหรือพบกันยามหยุดพัก แม้แต่ละคนจะต่างที่มาและไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็พร้อมจะถามไถ่และพูดคุยถึงเรื่องราวการเดินทางของกันและกัน เพียงแค่เริ่มต้นด้วยคำว่า นมัสเต
เรามีโอกาสนั่งพักและพูดคุยกับนักเดินทางชาวแอฟริกาใต้คนหนึ่งระหว่างทาง หนึ่งในคำแนะนำของเขาคือให้เราลองรองน้ำที่ไหลจากลำธารธรรมชาติที่ละลายมาจากหิมะบนภูเขามาดื่มดู พร้อมกับบอกพวกเราก่อนจากกันไปว่า
“Life is easy, don’t worry so much.”
แม้การดื่มน้ำสดๆ จากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยปราศจากการต้มหรือกรองจะดูขัดกับข้อมูลที่เราหามา แต่ท่าทางและน้ำเสียงสบายๆ ของเขาก็ชวนให้พวกเรารู้สึกอยากลองทำตามดูบ้างเสียอย่างนั้น โชคดีที่ life ของทุกคนยังคง easy เพราะหลังจากลิ้มรสความสดชื่นของน้ำเย็นเฉียบจากหิมาลัยกัน ก็ไม่มีใครท้องเสียหรือเป็นอะไรไปจนจบการเดินทาง
นอน ตื่น กิน เดิน พัก คือวงจรกิจวัตรที่วนซ้ำตลอดทุกวันของการเดินเขา ในวันหลังๆ แทบทุกก้าวที่เท้าสัมผัสพื้นข้างหน้า ข้อเข่าและกระดูกเท้าของเราจะเจ็บร้าวไปด้วยเสมอ แต่พวกเราก็ยังคงเดินตามกันอย่างเงียบเชียบที่สุด เพราะความเหนื่อยหอบอยู่ตลอดเวลาจากปริมาณออกซิเจนที่เบาบาง ทำให้แค่การพูดจาหรือปริปากบ่นก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากทำ มีเพียงเสียงในหัวที่คอยนับเวลาถอยหลังว่าเมื่อไหร่จะถึงที่หมาย และเสียงไม้ค้ำที่เจาะลงบนพื้นกรวดและก้อนหินเท่านั้นที่ยังทำให้รับรู้ว่าคนข้างหน้าและข้างหลังเรายังคงเดินตามกันมาไม่หลุดหายไปไหน
เมื่อตกเย็นแดดเริ่มคล้อย อากาศหนาวและหมอกจัดจะไล่เข้ามาแทนที่ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้คือการเร่งฝีเท้าสู้กับเวลาเพื่อให้ไปถึงหมู่บ้านที่พักก่อนมืด แสงไฟเลือนรางจากหมู่บ้านที่มองเห็นได้จากระยะไกลในยามโพล้เพล้จึงเป็นภาพที่พวกเรามองหากันแทบทุกครั้งเมื่อวันใกล้หมดลง เราเข้านอนพร้อมกับบ่าและหลังที่ปวดล้าจากการแบกสัมภาระ อากาศเย็นและแห้งจัดทำให้ผิวหน้าและหูลอกออกเป็นขุย หลายคืนที่อากาศหนาวจัดจนผ้านวมและเสื้อกันหนาวหลายชั้นก็ต้านไม่อยู่ แม้ร่างจะนอนขดแข็ง เปลือกตาปิดสนิท แต่ในสมองก็อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า “เราเอาตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่?”
เมื่อเดินไล่ระดับความสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศและธรรมชาติที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ถนนลูกรังด้านล่าง จากต้นไม้ที่ถูกฝุ่นดินแดงเคลือบทั้งใบและยอดจนมิด ค่อยๆ ผลัดเป็นทางเดินหินในป่าเขียวชอุ่ม ตัดสลับกับเส้นทางเลียบขอบเขาแห้งแล้ง ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่ป่าไผ่เย็นยะเยือก กระทั่งมอสบนพื้นหินเริ่มจับละอองหิมะ แผ่นน้ำแข็งค่อยๆ ปกคลุมผืนดินและผิวลำธาร จนภูเขาตรงหน้าทั้งเทือกก็ทยอยโพลนขาวไปด้วยหิมะ ยอดเขาสูงเทียมเมฆที่เคยถูกเราจ้องมองว่าไกลลิบ ถึงตอนนี้กลับรู้สึกว่าใกล้เพียงเอื้อม
เมื่อแดดออกก็ร้อนแทบเดินไม่ไหว เมื่อแดดร่มก็หนาวจนก้าวขาไม่ออก นั่นคือสภาพอากาศบนภูเขาที่เราเผชิญตลอดการเดินทาง ภูมิอากาศสุดขั้วที่ขึ้นอยู่กับการมีอยู่หรือหายไปของแสงแดดสามารถกำหนดความเป็นไปของทุกชีวิตที่นี่ ตื่นนอน เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำงาน เข้านอน หรือกระทั่งการออกเดินของนักเดินทางอย่างเรา ล้วนถูกอ้างอิงและเกี่ยวโยงกับแสงของดวงอาทิตย์ ในสายตาผู้มาเยือนอย่างเรา ดูราวกับว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนนี้มีชีวิตที่ไม่สัมพัทธ์กับโลกข้างล่างไปเสียแล้ว ยิ่งสูง ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ข้างบนยิ่งสะกดให้ชีวิตของผู้คนต้องเรียบง่าย อดทน และไม่อาจอหังการต่อธรรมชาติรายรอบตัวได้ พวกเขาใช้ชีวิตในวิถีซึ่งพื้นฐานที่สุด เป็นวิถีซึ่งยังคงต้องพึ่งพา สอดคล้อง และสยบยอมต่อความเป็นไปของธรรมชาติที่มีอำนาจอยู่เหนือการควบคุมของใคร ความสูงของหิมาลัยได้สงวนรูปแบบชีวิตบนนี้ไว้จากความวุ่นวายของชีวิตผู้คนข้างล่างได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับคนอายุ 20 ต้นๆ อย่างพวกเรานั้น ความรู้สึกตลอดหนทางขาขึ้นมีเพียงความทะเยอทะยานในใจที่อยากเร่งวันเวลาให้ถึงจุดหมายอย่างไวที่สุด และเมื่อเดินถึงปลายทางก็มุ่งคิดถึงแต่บ้านที่รอคอยให้เรากลับไป ย่างก้าวของเรานั้นเร่งรีบจนการหยุดยืนเพื่อสัมผัสความจริงของธรรมชาติที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปกลับกลายเป็นสิ่งที่ล่าช้าไม่ทันใจ
ทว่าการเดินมุ่งหน้าสู่หิมาลัยท่ามกลางความเงียบที่เสียงเสียดกันของไขข้อและเส้นเอ็นดังพอๆ กับแรงเต้นของหัวใจกลับกลายเป็นบทเรียนที่อันนาปุรณะสอนเราว่า แท้ที่จริงมนุษย์นั้นแสนจะเปราะบาง ร้อนก็ทรมาน หนาวก็ทรมาน เหนื่อยหอบก็ทรมาน ปวดล้าก็ทรมาน แม้กระทั่งเสียงลมที่พัดผ่านโตรกผาตอนกลางคืนก็สามารถปลุกให้เราผวาลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความหวาดหวั่น
ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่งดงามสะกดสายตา อัตตาของมนุษย์ในตัวค่อยๆ ตีบแคบและสยบราบคาบต่อความยิ่งใหญ่ของยอดเขาที่เผยขึ้นท่วมท้นตรงหน้า เป็นความรู้สึกน่าอัศจรรย์ที่คงมีเพียงผู้ที่ยอมทรมานเดินมาถึงบนนี้เท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตนเอง
บทเรียนจากการพิชิต ABC ที่แต่ละคนได้กลับไปจากหิมาลัยคงแตกต่างกันไป แล้วแต่วิถีที่แต่ละคนจะตีความและรับรู้ แต่สำหรับผมหิมาลัยทยอยตกผลึกมันออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่ออยู่บนนั้น ผมนึกอะไรไม่ออก มองอะไรก็ไม่ชัด แต่กลับค่อยๆ เข้าใจและเห็นชัดขึ้นเมื่อตัวเองเดินจากหิมาลัยมาแล้ว
มุมมองใหม่ของการมีชีวิต วลีนี้น่าจะสรุปสิ่งที่ผมได้จากการเดินทางครั้งนี้ได้ครบถ้วนที่สุด และเมื่อใดก็ตามที่ผมอยากผลักเส้นขอบฟ้าของตัวเองให้ไกลออกไปกว่าเดิม ที่นี่ย่อมเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่ผมจะเวียนกลับมาพิชิตอย่างแน่นอน