ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้เห็นงานศิลปะของศิลปินระดับโลกจัดแสดงในไทยพร้อมกันถึงสองนิทรรศการ
แต่ในเดือนนี้ ศิลปินร่วมสมัยชาวจีนผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งอย่าง Ai Weiwei มีผลงานมาจัดแสดงในประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่ถึงสองนิทรรศการ หนึ่งคือเทศกาลศิลปะ Bangkok Art Biennale 2020 อีกหนึ่งคือนิทรรศการแสดงเดี่ยว Year of the Rat ที่ Tang Contemporary Art
อ้าย เว่ยเว่ย เป็นประติมากร, ศิลปินสื่อผสม, ศิลปะจัดวาง, ศิลปินภาพถ่าย และผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีนผู้มีบทบาทโดดเด่นในเวทีศิลปะระดับโลก ในอีกด้านเขายังเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองผู้ได้ชื่อว่าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนด้านสิทธิมนุษยชน การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยได้อย่างแสบสันที่สุดคนหนึ่ง
แม้อ้าย เว่ยเว่ย ตัวจริงจะไม่อาจเดินทางมาร่วมงานได้เพราะโควิด-19 แต่เขายังให้สัมภาษณ์แบบเอกซ์คลูซีฟกับสื่อไทยผ่าน virtual talk ส่งตรงจากเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในงานเปิดตัวนิทรรศการ Year of the Rat เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา
เพียงเปิดกล้องมา ก่อนเอ่ยคำทักทายเขาก็ชู 3 นิ้วผ่านกล้องให้เราทันที ยืนยันถึงจิตวิญญาณเสรีและการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่ได้ทำเพื่อแค่พี่น้องร่วมประเทศจีน แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงผู้คนอื่นๆ ในโลกที่กำลังเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
และต่อจากนี้คือถ้อยคำและเรื่องราวของศิลปินผู้ยืนหยัดท้าทายอำนาจรัฐมาตลอดชีวิต
Fuck You Motherland
อ้าย เว่ยเว่ย เกิดในครอบครัวที่พ่อและแม่ต่างเป็นกวี พ่อของเขา–Ai Qing คือหนึ่งในกวีเอกของจีนผู้โด่งดัง เป็นที่รู้จักจากบทกวีวิพากษ์วิจารณ์สังคม ในยุคสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม รัฐบาลเหมา เจ๋อตง ออกนโยบายต่อต้านทุนนิยมขวาจัดจนเหล่าศิลปิน นักคิด และปัญญาชนต่างโดนจับกุมกันถ้วนหน้า รวมไปถึงครอบครัวของนักคิดนักเขียนด้วย
นโยบายนี้ทำให้อ้าย ชิง ถูกลงโทษและเนรเทศไปเป็นกรรมกรในค่ายกักกันในซินเจียง อ้าย เว่ยเว่ย เองต้องอยู่ที่ค่ายกักกันกับพ่อถึง 16 ปี เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความคิดและตัวตนของเขาเป็นอย่างมาก
อ้าย เว่ยเว่ย จบการศึกษาจากสถาบันภาพยนตร์ปักกิ่ง และเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศเขาก็ย้ายไปศึกษาต่อที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบเขาใช้แรงบันดาลใจจากศิลปินคนโปรด Marcel Duchamp ทำผลงานศิลปะด้วยการปะติดปะต่อวัสดุและข้าวของที่พบเห็นในชีวิตประจำวันอย่างไม้แขวนเสื้อ เมล็ดทานตะวัน รองเท้า เสื้อกันฝน ถุงยางอนามัย ฯลฯ ผลงานชุดนี้ไปเตะตาภัณฑารักษ์และนักสะสมงานศิลปะในนิวยอร์ก จนทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตา
แต่หลังจากเหตุการณ์ปราบปรามการประท้วงเรียกร้องสิทธิเสรีภาพโดยนักศึกษาในจัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ประกอบกับอาการป่วยของพ่อ เขาจึงตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองจีนถาวร ก่อนจะพบว่ายิ่งอยู่ในสภาวะที่กดทับเสรีภาพมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากแสดงออกมากเท่านั้น เขาจึงเริ่มทำงานศิลปะที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเมืองจีนมากขึ้น
อย่างที่รู้กันดี การท้าทายอำนาจรัฐไม่เคยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้าย เว่ยเว่ย วิพากษ์วิจารณ์รัฐในทุกช่องทางไม่ว่าจะผ่านงานศิลปะหรือการฉะตรงๆ อย่างเผ็ดร้อน ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
เหตุการณ์หนึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกคือในปี 2008 ทางการจีนไล่รื้อชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในปักกิ่งเพื่อสร้างภูมิทัศน์สะอาดตาสำหรับการจัดกีฬาโอลิมปิก ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นอ้าย เว่ยเว่ย มีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษาด้านการออกแบบสนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่าสนามกีฬารังนก) ร่วมกับสถาปนิกชื่อก้องโลกอย่าง Herzog & de Meuron แต่เขากลับให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติเพื่อวิพากษ์รัฐบาลจีนอย่างรุนแรงจนถูกทางการหมายหัว
หรือเมื่ออาคารของโรงเรียนอนุบาลในมณฑลเสฉวนพังทลายลงมาอย่างง่ายดายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2008 จนทำให้เด็กอนุบาลกว่า 5,000 คนเสียชีวิต เขาก็ลงมือสืบค้นความจริงอย่างกัดไม่ปล่อยและเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐผ่านบล็อกและทวิตเตอร์อย่างไม่ขาดสายจนมีคนเข้าชมถล่มทลาย นอกจากนั้นเขายังทำงาน Remembering (2009) ซึ่งนำกระเป๋าเป้ที่จำลองจากกระเป๋าของนักเรียนอนุบาลที่เสียชีวิตมาติดบนอาคาร เรียงร้อยเป็นตัวอักษรจีนได้ความว่า ‘เธอเคยอยู่อย่างมีความสุขเป็นเวลาเจ็ดปีบนโลกใบนี้’ ซึ่งเป็นคำพูดของหนึ่งในพ่อแม่เด็กที่เสียชีวิต
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้เขาถูกทางการจีนตามเล่นงานด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้งติดกล้องวงจรปิดไว้หน้าบ้านของเขา ส่งคนมาตามสอดแนม ปิดเว็บไซต์ที่เขาใช้สื่อสาร ไปจนถึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำร้ายจนเขาต้องผ่าตัดสมอง
“มีคนบอกว่าผมเป็นศิลปินนักทําลายความศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีความเชื่อและสถาบัน ผมเห็นด้วยกับนิยามนี้นะ พิสูจน์ได้จากรูสองรูบนกะโหลกผม ผมเคยผ่าตัดเลือดคั่งในสมองจากการทําร้ายของเจ้าหน้าที่ทางการ นั่นน่าจะเป็นหลักฐานที่ดี” เขาบอกในการสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอล
ถึงจะโดนไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเขาก็ไม่ยอมหยุดและโต้ตอบกลับด้วยท่าทีที่ร้อนแรงกว่า วิธีการหนึ่งคือการทำงานศิลปะด้วยการถ่ายรูปตัวเองชูนิ้วกลางให้จัตุรัสเทียนอันเหมินในผลงาน Study of Perspective – Tiananmen Square (1995-2003) พร้อมกับอัดวิดีโอตัวเองและอาสาสมัครมาร่วมกันกล่าวคำว่า “Fuck You Motherland.” โพสต์ลงยูทูบ
“ผมถูกปฏิเสธจากแผ่นดินแม่ตั้งแต่เกิด พ่อของผมเป็นกวีแต่กลับถูกเนรเทศ ถ้าแผ่นดินแม่ของคุณเป็นอันตรายต่อชีวิตแทนที่จะปกป้องหรือให้ความปลอดภัย เราจะเรียกสถานที่นั้นว่าบ้านได้ยังไง”
Law of the Journey
การเคลื่อนไหวของอ้าย เว่ยเว่ย ไม่ได้ทำเพื่อเพื่อนร่วมชาติแต่ยังเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนร่วมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย เขาไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งทั่วโลกและใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือรณรงค์และนําเสนอสถานการณ์อันยากลําบากของเหล่าผู้ลี้ภัยให้ชาวโลกได้รับรู้
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้ทํางานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้ลี้ภัย ผู้คนจํานวนมหาศาลถูกผลักไสออกจากบ้านของตัวเองด้วยอันตรายจากไฟสงคราม ระเบิด และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ น่าเศร้าที่ปัจจุบันในโลกนี้มีคนจํานวน 80 ล้านคนต้องลี้ภัยอย่างไร้ความหวัง หลายคนเกิดในพื้นที่ไร้รัฐและไม่มีที่ไป”
อ้าย เว่ยเว่ย ใช้เวลานับปีในกว่า 23 ประเทศบันทึกภาพและเรื่องราวชีวิตของเหล่าผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัย 40 แห่งทั่วโลก ทั้งอัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ฝรั่งเศส กรีซ เยอรมัน อิรัก อิสราเอล อิตาลี เคนยา เม็กซิโก ตุรกี ฯลฯ และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสารคดีชื่อ Human Flow (2017)
นอกจากนี้เขายังสร้างผลงานประติมากรรมและศิลปะจัดวางเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยออกมาอีกหลายชิ้น ในจํานวนนั้นคือ Law of the Journey (2016) ผลงานที่เขานําเสนอใน Bangkok Art Biennale 2020 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
ผลงานชิ้นนี้เป็นประติมากรรมจัดวางรูปแพยางชูชีพสีดําขนาดยักษ์ความยาว 16 เมตร บนแพยางมีหุ่นเป่าลมรูปคนไร้ใบหน้านับสิบคนในเสื้อชูชีพ เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ลี้ภัยจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่สำคัญงานทั้งชิ้นทํามาจากพลาสติกพีวีซีที่ผลิตโดยโรงงานในประเทศจีน เป็นที่เดียวกับที่ผลิตแพชูชีพที่ผู้ลี้ภัยนับพันชีวิตใช้ในการพยายามล่องข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อเสาะหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
นอกจากแพยาง ในงานนี้ยังมีวิดีโอจัดวาง At Sea (2016), Floating (2016), On the Boat (2016), Idomeni (2016) และ Calais (2018) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในสถานการณ์ต่างๆ และ Idomeni (2017) ชุดภาพถ่ายผู้ลี้ภัยจํานวน 1,026 รูป ที่อ้าย เว่ยเว่ย ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือในช่วงที่ถ่ายทําสารคดี Human Flow ภาพถ่ายทั้งหมดถูกนำมาติดเป็นวอลเปเปอร์ขนาดมหึมาเต็มผนังฝั่งหนึ่งของห้องแสดงงานจนดูคล้ายกับภาพโมเสกแสดงเส้นทางการเดินทางของเขาไปยังค่ายผู้ลี้ภัยทั่วโลก
อีกฝั่งหนึ่งของห้อง เขานำเสนอ Odyssey (2016) ผลงานกราฟิกที่ได้แรงบันดาลใจจากงานแกะสลักเครื่องปั้นดินเผาและภาพวาดฝาผนังของกรีกและอียิปต์โบราณ หากแต่ใส่ประเด็นความขัดแย้งร่วมสมัยและเรื่องราววิกฤตของผู้ลี้ภัย เช่น สงคราม ความล่มสลาย การร่อนเร่ข้ามน้ำข้ามทะเล ค่ายผู้ลี้ภัย และอื่นๆ ลงไป
Year of the Rat
ผลงานของอ้าย เว่ยเว่ย มักเป็นส่วนผสมของประเด็นทางสังคมการเมืองจีนทั้งในอดีตและปัจจุบัน ดังเช่นผลงานที่เขาแสดงในนิทรรศการแสดงเดี่ยว Year of the Rat ณ Tang Contemporary Art
ผลงานเด่นของนิทรรศการนี้คือ Zodiac (2019) ภาพหัวสัตว์ 12 หัว ตัวแทน 12 ปีนักษัตรจีนที่ประกอบขึ้นจากตัวต่อเลโก้สีสันสดใส เขาได้แรงบันดาลใจมาจากประติมากรรมสําริดรูปหัว 12 นักษัตร ผลงานของสถาปนิกนิกายเยซูอิตชาวอิตาเลียน Giuseppe Castiglione ที่เคยประดับอยู่บนนาฬิกาน้ำในพระราชวังหยวนหมิงหยวน (พระราชวังฤดูร้อนเดิม) ในสมัยราชวงศ์ชิง
นาฬิกาน้ำเรือนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของจีนที่หายสาบสูญไปหลังจากกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสเผาทําลายและปล้นสะดมพระราชวังฤดูร้อนในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 เมื่อปี 1860 ประติมากรรม 12 นักษัตรจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปยศของชนชาติจีนตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ปัจจุบันทางการจีนพยายามนำหัว 12 นักษัตรบางส่วนกลับมายังปักกิ่งเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีและความภูมิใจของชนชาติ
ในขณะที่คนจีนจำนวนมากมองว่าประติมากรรม 12 นักษัตรคือความภาคภูมิใจของชนชาติ อ้าย เว่ยเว่ย กลับมองว่าเหตุใดประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวอิตาเลียน เพื่อประดับพระราชวังของจักรพรรดิแมนจู (ที่ชาวจีนมองว่าเป็นคนเถื่อนต่างชาติ) และเป็นมรดกของระบอบศักดินาที่คอมมิวนิสต์จีนเคยเกลียดชัง กลับกลายเป็นสัญลักษณ์และความภูมิใจของชนชาติจีนไปได้
นอกจากภาพที่ทำจากเลโก้ เขายังจําลองประติมากรรมสําริดรูปหัว 12 นักษัตรเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ เป็นผลงานประติมากรรมสาธารณะชุด Circle of Animals / Zodiac Heads (2011) และจัดแสดงกว่า 40 เมืองในประเทศโลกตะวันตกเพื่อล้อเลียน เสียดสี และวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์และศักดิ์ศรีของชาติที่เพิ่งสร้างใหม่ในฐานะโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีน
ในนิทรรศการ Year of the Rat ยังมีผลงานที่ทําจากเลโก้อีกสองชิ้น หนึ่งคือ The Defacing Marks of Colored Pigment Thrown onto Mao Zedong’s Portrait in May 1989, Tiananmen Square (2019) ภาพตัวต่อเลโก้สีขาวมีคราบสีเลอะเป็นด่างดวงซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ที่ผู้ประท้วงปาไข่ไก่ผสมสีใส่ภาพของเหมา เจ๋อตง
ผลงานอีกชิ้นคือ The Navigation Route of the Sea Watch 3 Migrant Rescue Vessel, June 2019 (2019) ภาพตัวต่อเลโก้ประกอบกันเป็นพื้นสีฟ้า มีเส้นสีดํายุ่งเหยิงแทนเส้นทางของเรือกู้ภัย Sea-Watch 3 ที่บรรทุกผู้อพยพชาวลิเบีย 40 คนล่องในทะเลนานกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากรัฐบาลอิตาลีสั่งปิดน่านน้ำไม่ให้ช่วยเหลือเรือผู้อพยพในเดือนมิถุนายน ปี 2019
อ้าย เว่ยเว่ย ใช้ตัวต่อเลโก้ในการทํางานศิลปะเป็นครั้งแรกในปี 2014 กับผลงาน Trace ที่จัดแสดงในนิทรรศการ @Large: Ai Weiwei on Alcatraz ที่อัลคาทราซ อดีตคุกที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ครั้งนั้นเขาใช้ตัวต่อเลโก้ต่อเป็นภาพผู้ต้องหาทางการเมืองจำนวน 176 คนจากทั่วโลกที่โดนคุมขังหรือจำต้องพลัดถิ่นฐานเพียงเพราะมีความคิดและความเชื่อทางการเมืองขัดกับรัฐ อ้าย เว่ยเว่ย เรียกขานพวกเขาเหล่านี้ว่าเป็น ‘วีรบุรุษแห่งยุคสมัยของเรา’
และที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือหนึ่งในวีรบุรุษเหล่านั้นปรากฏภาพของ ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ อดีตนักโทษการเมืองชาวไทยผู้ถูกคุมขังเป็นเวลา 7 ปีเต็มจากข้อหาตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาด้วย
อ้าย เว่ยเว่ย ยังใช้ตัวต่อเลโก้ทํางานศิลปะในประเด็นทางการเมืองอีกหลายต่อหลายครั้ง ทั้งต่อเป็นภาพนักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนของออสเตรเลียในผลงาน Letgo Room (2015) และภาพนักเรียนชาวเม็กซิกันจํานวน 43 คนที่ถูกลักพาตัวและ (คาดว่า) ถูกสังหารหมู่ในปี 2014 ในผลงาน Resetting Memories (2019)
สำหรับอ้าย เว่ยเว่ย เลโก้เป็นมากกว่าของเล่นเด็กมากนัก
“ผมมักจะใช้สื่อใหม่ๆ เพื่อแสดงออกถึงรูปแบบหรือภาษาใหม่ๆ สําหรับผมเลโก้ถือเป็นสื่อชนิดหนึ่ง มันมีความสวยงาม สีสันสดใสชัดเจน และเมื่อต่อเลโก้เป็นสิ่งต่างๆ คนอื่นก็สามารถทําตามออกมาได้เหมือนกันเป๊ะๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจมาก”
ก่อนหน้านี้ในปี 2015 เคยมีเหตุการณ์ดราม่าเกี่ยวกับเลโก้เมื่ออ้าย เว่ยเว่ย ติดต่อซื้อเลโก้จากบริษัทแม่ที่เดนมาร์กแต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง หลังจากข่าวนี้แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย (ด้วยฝีมือของพี่อ้ายเอง) ก็ทําให้เกิดกระแส #legosforweiwei ขึ้น ผู้คนจากทั่วโลกบริจาคตัวต่อเลโก้ให้เขาเป็นจํานวนมาก ภายหลังผู้บริหารเลโก้จึงต้องออกมาขอโทษต่อเหตุการณ์นี้และเปลี่ยนนโยบายบริษัทว่าจะไม่มีการสอบถามเหตุผลในการสั่งซื้อเลโก้ในจํานวนมากอีกต่อไป
ในนิทรรศการ Year of the Rat ยังมีผลงานของอ้าย เว่ยเว่ย อีกหลายชิ้นอย่างประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนเป็นรูปสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์แทนสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองโลกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในบทสัมภาษณ์เขากล่าวถึงเหตุผลในการนําวัสดุสูงค่าอย่างหินอ่อนมาทําสิ่งของธรรมดาสามัญในชีวิตประจําวันเหล่านี้ว่า
“ในยุคโบราณอย่างยุคกรีกหรือโรมัน หินอ่อนถูกใช้ทําอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และถูกคาดหวังว่าจะอยู่คงทนถาวรตลอดกาล แต่ที่น่าสนใจกว่าสําหรับผมคือการจดจําสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา
“ผมพยายามที่จะหาภาษาที่จะอธิบายถึงภาพรวมของวิถีชีวิตในยุคสมัยใหม่และสถานการณ์ของมนุษย์ในปัจจุบัน ผมจึงใช้วัสดุที่เคยสร้างสิ่งที่คงทนถาวรอย่างหินอ่อนมาสร้างวัตถุที่เป็นตัวแทนของสถานการณ์อันไม่แน่นอนในปัจจุบันซึ่งเป็นอะไรที่ยอกย้อนเอามากๆ”
แนวคิดเช่นนี้ปรากฏในผลงาน Revolt (2019) และ Shelter (2014) ประติมากรรมหินอ่อนรูปกรวยจราจรและร่ม อันเป็นวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงในฮ่องกงปี 2014 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ขบวนการร่ม’ (The Umbrella Movement) ซึ่งผู้ประท้วงใช้ร่มและกรวยจราจรในการป้องกันแก๊สน้ำตาและสร้างสิ่งกีดขวาง
หรือ Marble Helmet (2015) ประติมากรรมหินอ่อนรูปหมวกนิรภัย สัญลักษณ์ของหน่วยกู้ภัยผู้ช่วยชีวิตผู้คนในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนปี 2008 อย่างขันแข็ง หมวกนี้ยังถูกใช้ในการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงและเป็นอุปกรณ์ของหน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในสงครามซีเรียอีกด้วย
นอกจากร่ม กรวยจราจร และหมวกนิรภัย ศิลปินใหญ่ยังทำ Marble Takeout Container (2015) และ Marble Toilet Paper (2020) ประติมากรรมหินอ่อนรูปกล่องโฟมใส่อาหารกลับบ้านหรืออาหารเดลิเวอรี สัญลักษณ์ของชีวิตสมัยใหม่ และม้วนกระดาษชําระที่เป็นสัญลักษณ์และของมีค่าในช่วงโควิด-19
“โควิด-19 เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินในโลกปัจจุบัน ผมทํางานหลายชิ้นเกี่ยวกับประเด็นนี้ หนึ่งในนั้นคือหน้ากากอนามัยพิมพ์รูปผลงานของผมซึ่งขายทางอีเบย์และเรี่ยไรเงินได้ถึง 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อมอบให้องค์กรที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 และองค์กรการกุศลเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่าง Doctors Without Borders, Human Rights Watch และ Refugees International โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ผมยังทํางานประติมากรรมชิ้นเล็กเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งแสดงอยู่ในนิทรรศการที่หอศิลป์ Tang Contemporary Art ครั้งนี้อีกด้วย
“ผมคิดว่าโลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมหาศาล มหาอํานาจของโลกต่างไม่มีความมั่นใจต่อสถานการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ประเทศผู้นําของโลกอย่างจีน สหรัฐฯ หรือประเทศในยุโรปต่างประสบกับความไม่มั่นคงอันใหญ่หลวงกันถ้วนหน้า ในฐานะปัจเจกชนและศิลปิน เรากําลังอาศัยอยู่ในห้วงเวลาที่เรามีโอกาสสะท้อนความคิด พยายามพิสูจน์ว่าเรามีชีวิตผ่านช่วงเวลาเช่นนี้ และถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะ”
งานสุดท้ายในนิทรรศการ Year of the Rat คือ Ring W and Ring M (2019) แหวนทองคําสองวงสลักสัญลักษณ์เกี่ยวกับวิกฤตผู้ลี้ภัยที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะกรีกและอียิปต์โบราณ เปรียบเสมือนวัตถุพยานการทํางานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยมาอย่างยาวนานของเขา
อ้าย เว่ยเว่ย เล่าว่าผลงานชิ้นนี้มีความเชื่อมโยงกับงานชุดที่แสดงในเทศกาล Bangkok Art Biennale ซึ่งมีมิติทับซ้อนหลายชั้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนในหลายช่วงเวลา และยังเป็นการรวบรวมภาพของชะตากรรมมนุษย์ในแต่ละช่วงเวลาในประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยกัน
“ผมคิดว่าศิลปะมีบทบาทหน้าที่ตั้งแต่มนุษยชาติถือกำเนิดขึ้น ครั้นมนุษย์เริ่มต้นล่าสัตว์เป็นอาหารหรือเมื่อพบว่ามีสิ่งที่อยู่เหนือกว่าจินตนาการ มนุษย์ก็จะวาดรูปบางอย่างลงบนก้อนหิน แกะสลัก หรือทําเครื่องประดับมาสวมใส่ ศิลปะมักเชื่อมโยงความรู้สึกเกี่ยวกับความงามของเราหรือเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เราคิดได้ก้าวไกลกว่าความเป็นจริง หรือก็คือจินตนาการนั่นเอง
“ทุกวันนี้ศิลปะทําให้ชีวิตเราสมบูรณ์ มีความหมายมากขึ้น หรือบางครั้งศิลปะก็ทําเงินหรือทําให้เรามีอํานาจได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ศิลปะเป็นสิ่งสําคัญสําหรับหัวใจและจิตวิญญาณของเรา เป็นสิ่งที่ให้คุณประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างแท้จริง”
นอกจากการชูสามนิ้วจะทำให้ได้รู้ว่าอ้าย เว่ยเว่ย ติดตามสถานการณ์ในเมืองไทยอยู่ เร็วๆ นี้เขายังเป็นหนึ่งในศิลปิน Bangkok Art Biennale ที่ลงชื่อในแถลงการณ์ประณามและเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทุกรูปแบบต่อผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย รวมถึงเรียกร้องให้เทศกาลและหอศิลปกรุงเทพฯ แสดงจุดยืนต่อต้านความรุนแรงและยืนยันสิทธิของการชุมชุมอย่างสันติ
“ผมนับถือเยาวชน คนรุ่นใหม่ที่ยืนหยัดต่อสู้ในช่วงเวลาที่ยากลําบากครั้งนี้จากใจจริง ช่วงเวลาอันยากลําบากเช่นนี้เป็นพลังที่ผลักดันให้โลกเราก้าวไปสู่สภาวะที่ดีกว่า ผู้ประท้วงเหล่านี้ไม่ได้ทำเพียงเพราะแค่อยากประท้วง แต่พวกเขากําลังสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ประเทศของเขา
“โลกกําลังมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เราต้องเผชิญหน้ากับสายลมและพายุฝนร่วมกันอย่างไม่อาจหลีกหนีได้ เราทุกคนรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ประเทศไทย หรือที่ไหนๆ ในโลกผ่านโซเชียลมีเดียและการสื่อสารใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผลงานของผมโดยตรงและผมก็ยังคงค้นคว้าเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้
“เราทุกคนกําลังอยู่บนเรือลําเดียวกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
ผลงานของอ้าย เว่ยเว่ย ในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Bangkok Art Biennale 2020 จัดแสดง ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 หอศิลปกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ – 29 พฤศจิกายน 2020 เวลา 10:00-19:00 น. (เข้าชมฟรี)
นิทรรศการแสดงเดี่ยว Year of the Rat จัดแสดง ณ Tang Contemporary Art ชั้น 2 River City Bangkok ตั้งแต่วันนี้ – 10 ธันวาคม 2020 ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11:00-19:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เข้าชมฟรี)
ในช่วงนิทรรศการ Tang Contemporary Art ยังจัดฉายภาพยนตร์สารคดี Ai Weiwei: Never Sorry (2012) โดย Alison Klayman ที่นำเสนอตัวตน ชีวิต ความคิด และการทำงานของอ้าย เว่ยเว่ย อย่างใกล้ชิด ในวันที่ 21 พฤศจิกายน เวลา 14:00 น. ณ River City Forum บัตรราคา 150 บาท จองบัตรได้ที่นี่
อ้างอิง
Ai Weiwei: So Sorry โดย Ai Weiwei และ Mark Siemons
At Large: Ai Weiwei on Alcatraz โดย David Spalding
Hanging Man: The Arrest of Ai Weiwei โดย Barnaby Martin
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Bangkok Art Biennale 2020 และ Tang Contemporary Art