‘ราษฎร’ และ ‘ประชาชน’ เป็นสองคำที่เราพบเห็นหรือใช้กันบ่อยในห้วงเวลานี้
ตามที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2555 บัญญัติไว้ ‘ราษฎร’ นั้นมีความหมายว่า ‘พลเมืองของประเทศ’ แต่มีนักประวัติศาสตร์ความคิดบางคนเสนอว่าคำนี้มีความหมายมากกว่านั้น เพราะในห้วงเวลาหนึ่ง คำว่าราษฎรได้สื่อถึงความเป็นการเมืองหรือสภาวะตรงกันข้ามกับ ‘เจ้าผู้ปกครอง’ หรือ ‘บรรดาชนชั้นเจ้านาย’ ด้วยเหตุที่คำว่าราษฎรนั้นไม่ได้นับรวมบุคคลชนชั้นปกครองเข้าไปด้วย รวมไปถึงข้าราชการและคนในบริวารทั้งหลายด้วยซ้ำ
‘ราษฎร’ เป็นคำที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยมีนัยถึง ‘คนสามัญ’ และเคยเป็นชื่อของหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกมาในช่วงปี 2471-2472 สื่อสิ่งพิมพ์ในเวลาดังกล่าวมักเลือกใช้คำนี้ในข่าวที่เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทระหว่างคนสามัญกับชนชั้นเจ้านาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ ‘คณะราษฎร’ ผู้นำพาประเทศสยามไปสู่การอภิวัฒน์จะเลือกใช้คำนี้เป็นชื่อกลุ่มของตน ว่ากันว่าในช่วงที่คำว่า ‘ราษฎร’ ปรากฏให้เห็นเกลื่อนกลาด สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพแสลงใจจนถึงขั้นต้องลบล้างแก้ไขเอาคำว่า ‘ราษฎร’ และ ‘ประชาชน’ ออกจากพระนิพนธ์ของท่านเลยทีเดียว
‘ราษฎร’ เป็นคำที่มีรากมาจากคำสันสกฤต राष्ट्र ซึ่งมีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ความเป็นรัฐ ชาติ ราชอาณาจักร ราชวงศ์ ไพร่ฟ้า และประชาชน ถึงอย่างนั้นตลอดระยะเวลาที่คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นมาความหมายเหล่านี้กลับไม่เคยปรากฏในพจนานุกรมไทยเล่มใด เหมือนดังเช่นที่ธเนศ วงศ์ยานนาวา ตั้งข้อสังเกตไว้ในหนังสือ ว่าด้วยประชาชน ว่า “ในโลกภาษาไทยนั้น ผลงานที่บรรยายและช่วยทำความเข้าใจว่า ‘ประชาชน’ คืออะไรนั้น เป็นสิ่งที่ขาดแคลนมากๆ”
บทความชิ้นนี้จึงขอเป็นอีกหนึ่งตัวบทที่นำพาทุกคนย้อนกลับไปตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบอันอยู่รอบๆ ราวๆ คำว่า ‘ประชาชน’ แบบพอสังเขป
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัชกาลที่ 5 เรายังไม่มีคำว่า ‘ประชาชน’ คำที่ใช้เรียกคนโดยทั่วไปมีเพียงแค่ ‘สัปเยก’ (subject) หรือ ‘คนในบังคับ’ เท่านั้น ความเป็นคนสยาม ณ เวลานั้นจึงเป็นเพียงแค่สัปเยกสยามหรือคนภายใต้การปกครองของสยามซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อแบ่งแยกชาวสยามจากคนชาติอื่นๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก เป็นต้น การมีอยู่ของสัปเยกจึงเป็นเรื่องข้อกฎหมายหรือความสัมพันธ์อันซับซ้อนยุ่งเหยิงในโลกของสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (สิทธิพิเศษทางกฎหมาย) ที่คนในบังคับของชาติอื่นๆ ต่างก็ต้องการใช้กฎหมายของตัวเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อคำว่า ‘ประชาชน’ ถือกำเนิดขึ้น สิทธิและเสรีภาพต่างๆ ก็ไม่ได้มาพร้อมกับคำเรียกโดยอัตโนมัติ ภายใต้คำคำนี้เรายังคงอยู่ใต้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์แทบไม่ต่างจากระบอบมูลนายเดิม และต้องรอจนถึงกระทั่งก่อนการอภิวัฒน์ 2475 เพียงไม่นานที่ ‘ประชาชน’ หรือ ‘ราษฎร’ จึงได้เริ่มชิมลางความหมายของประชาชนในโลกสมัยใหม่ที่เชื่อกันว่า “เสียงของมหาชนคือเสียงของพระเป็นเจ้า” (หรือที่ในภาษาละตินกล่าวว่า Vox Populi, Vox Dei)
คำว่า ‘ประชาชน’ เกิดขึ้นจากการผนวกรวมของคำว่า ‘ประชา’ และ ‘ชน’ คำแรกมาจากคำสันสกฤต प्रजा (prajā) ที่หมายความถึงคน มวลมนุษย์ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ คำหลังมาจาก जन (jana) ที่มีความหมายตั้งแต่สิ่งมีชีวิตทั่วไป ไปจนถึงมนุษย์ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ต่างๆ จะเห็นว่าทั้งสองคำต่างก็มีนัยความหมายเหลื่อมซ้อนกันอยู่ การผนวกรวมกันจึงควรเป็นการขยายกำลังหรืออำนาจอธิบาย แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น นักภาษาศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าคำที่เหมือนจะมีความหมายเชิงอุดมคติกว้างไกลนี้สามารถแสดงถึงความขัดแย้งไม่ลงรอยกันเองได้ด้วยคำว่า ‘ชน’ ในภาษาไทยซึ่งมีนัยว่าเป็นการปะทะ ทำให้สามารถแปลได้ว่าเป็นการต่อสู้กันเองของ ‘ประชา’ ทั้งหลายหรือการที่ ‘ประชา’ ไปปะทะกับอะไรบางอย่าง
ในโลกของภาษาอังกฤษ คำว่า people หรือ peple ถูกใช้ครั้งแรกในศตวรรษที่ 13 โดยมีรากศัพท์มาจากคำฝรั่งเศสเก่าคือ pople หรือ peupel ซึ่งมาจากคำว่า populus ในภาษาละตินอีกที คำนี้หมายความถึงผู้คนและมวลชนทั้งหลาย และสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงสังคมโรมันยุคโบราณที่ในสายตาของผู้ปกครอง ประชาชนไม่ได้เป็นเสียงสวรรค์แต่อย่างใด นักทฤษฎีการเมืองชาวโรมันโบราณอย่าง Cicero มองว่าพวก populus คือบรรดาชนชั้นต่ำไร้หัวนอนปลายเท้าที่ย้ายเข้ามาในพื้นที่ของชาวโรมัน เป็นคนต่างด้าวประเภทที่ไม่อาจจะนำมาฝึกฝนเป็นกำลังในกองทัพโรมันอันเกรียงไกรได้
ในขณะที่มหากวี Virgil กลับเห็นว่า populus แท้จริงก็คือชาวนาและมีหน้าที่ภาระไม่แตกต่างจากทหารโรมัน หากพวกเขาไม่ได้รบกับมนุษย์แต่ทำการรบกับธรรมชาติ แม้คำว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” จะเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย แต่สำหรับชาวโรมันนั้นงานหนักทำให้ชาวนาจำนวนไม่น้อยตัดสินใจฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายรวมไปถึงคำตัดสินต่างๆ ของผู้ปกครองที่ขาดความชอบธรรมนำไปสู่การลุกฮือเพื่อเรียกร้องคำอุทธรณ์ที่เรียกว่า provocatio มวลชนต่างรวมตัวกันต่อต้านไม่ว่าจะเป็นตามลานประหาร หรือสถานที่ที่ใช้ตัดสินพิจารณาคดีต่างๆ
ปริมาณคนที่มากจนทำให้กองกำลังติดอาวุธโรมันหวาดหวั่นว่าอาจจะตายได้จากการโดนรุมประชาทัณฑ์กลายเป็นที่มาของสิทธิในการคัดค้านของประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของสิทธิความเป็นพลเมืองในเวลาต่อมา ถึงอย่างนั้น ในสายตาของชนชั้นปกครอง ประชาชนก็เป็นเพียงมวลชนที่อาจประทุษร้ายตัวพวกเขาได้ และเมื่อใดที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายก็อาจนำมาสู่การถอดถอนสิทธิดังกล่าว เปลี่ยนให้ผู้ปกครองกลายเป็นเผด็จการ (dictator)
จนล่วงเลยเข้าสู่ยุคกลาง ประชาชนจึงได้เริ่มมีบทบาทในฐานะกลุ่มคนที่จะช่วยทัดทานหรือคานอำนาจระหว่างผู้ปกครองที่อ้างเทวาสิทธิ์ (แนวคิดที่เชื่อกันว่าผู้ปกครองสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้า) กับผู้ปกครองในปริมณฑลทางศาสนา ทำให้กลุ่มชนต่างๆ มีส่วนร่วมในการเลือกผู้ปกครอง แต่เสรีภาพก็ยังเป็นสิ่งที่จำกัดไว้ในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น ดังความหมายดั้งเดิมของคำว่า liberal ที่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 แปลว่ามีสายเลือดขัตติยา อันหมายความถึงชนชั้นที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจตนเอง การเป็นเสรีชนในความหมายนี้จึงมาควบคู่กับอำนาจซึ่ง ณ เวลานั้นไม่ได้เป็นของประชาชนแต่อย่างใด หรือหากจะมีได้ก็มาจากการรวมตัวกันเป็นกลุ่มชนเพื่อเรียกร้องเท่านั้น
สำหรับนักปกครองแล้ว มวลชนหรือประชาชนเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และคงยังไม่มีความคิดว่ากลุ่มคนที่มากมายหลากหลายนี้จะสามารถเลือกผู้ปกครองได้ หรือหากทำได้ คนเหล่านี้ก็ไม่ควรมีสิทธิหรือเสียงที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นการที่ประชาชนถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมจึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หรือหากจะควบคุมได้ก็ต้องดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ
บุคคลแรกๆ ที่เสนอให้ประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการปกครองก็คือ Thomas Hobbes นักปรัชญาชาวอังกฤษจากศตวรรษที่ 17 ซึ่งเสนอว่าการรวมกันของมวลชนจะก่อประโยชน์โพดผลหรือทำให้มวลชนอยู่รอดปลอดภัยจากภัยร้าย แต่ทั้งหมดจะเป็นไปได้ก็เมื่อมวลชนเข้าร่วมกันเป็นประชาสังคมและยินยอมมอบสิทธิในการปกครองโดยตัวแทน หรือบุคคลสมมติ
ข้อเสนอของฮอบส์สร้างจุดตัดหรือการแบ่งแยกระหว่างความเป็น ‘ประชาชน’ กับ ‘กลุ่มชน’ และนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแนวคิดแบบสัญญาประชาคม (social contract) ที่จะถูกส่งทอดและพัฒนาต่อในศตวรรษต่อมา ทั้งในการอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา และการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 ที่ทำให้ความเป็นประชาชนนั้นเชื่อมต่อกับแนวคิดเรื่องความเสมอภาค
ดังที่ Pierre Rosanvallon ได้เสนอไว้ในหนังสือ The Society of Equals ว่าการปฏิวัติของชาวอเมริกันและฝรั่งเศสนั้นไม่ได้แบ่งแยกระหว่างประชาธิปไตยที่เป็นระบอบแห่งปวงชนและประชาธิปไตยในฐานะของสังคมแห่งความเท่าเทียม โดยโรซ็องวายงได้ยกเอาถ้อยคำของ Pierre-Louis Rœderer หนึ่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสที่กล่าวกันว่าเป็น ‘สายกลาง’ ที่สุดแล้วซึ่งให้ความรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่มีอยู่โดยทั่วไปของประชาชนในเวลานั้นก็คือ ‘ความรักในความเสมอภาค’ เช่นเดียวกับที่อเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดเรื่องความเท่าเทียม การปฏิวัติทั้งสองจึงเปรียบได้กับพี่น้องร่วมอุทร
นับจากยุคโบราณมาสู่โลกสมัยใหม่ ความหมายที่ยึดโยงกับ ‘ประชาชน’ หรือ ‘ราษฎร’ ยังคงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และยังคงเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองยังคงหวาดกลัว ไม่เว้นแม้กระทั่งเผด็จการ
เราทิ้งท้ายด้วยบทกวีชิ้นหนึ่งของนักเขียนบทละครชาวเยอรมัน Bertolt Brecht ที่มีชื่อว่า ‘คำถามจากกรรมกรผู้อ่านหนังสือ’ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ความหมายของคำว่า ‘ประชาชน’ กระจ่างชัดในใจเรา
ใครเล่าคือผู้สร้างประตูแห่งธีบส์ทั้งเจ็ด
เธอจะพบก็แต่เพียงนามกษัตริย์บนหน้าหนังสือ
เจ้าเหล่านั้นลากหินผาขึ้นมาเองหรือ
ยังมีนครบาบิโลนอีกเล่า ที่ถูกทำลายลงหลายครา
ใครกันสร้างขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า มีบ้านหลังไหน
ในนครลิม่าที่ส่องแสงสีทองพร่างพราวซึ่งเหล่าผู้สร้างได้เคยพำนัก
เมื่อเสร็จจากการสร้างกำแพงเมืองจีนยามเย็นย่ำ
ช่างก่อสร้างพักพิง ณ ที่ใด อาณาจักรแห่งโรมอันยิ่งใหญ่
รุ่มรวยด้วยซุ้มโค้งประตูชัย ใครกันเล่าสร้างมันขึ้นมา
ซีซาร์กำราบผู้ใด แล้วไบแซนทิอุมที่รุ่มด้วยเพลงสดุดี
จะมีปราสาทสำหรับชาวเมืองบ้างไหม
แม้แต่นครแอตแลนติสในตำนาน
ในค่ำคืนที่มหาสมุทรกวาดกลืน
คนที่กำลังจมลงไปยังคงตวาดใส่ข้าทาสไม่ขาดเสียง
ยุวจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์พิชิตอินเดีย
แต่ด้วยตัวพระองค์เพียงลำพังหรือ
ซีซาร์กำชัยเหนือชาวโกลส์
โดยไม่ได้พาแม้แต่พ่อครัวไปด้วยใช่หรือไม่
พระเจ้าฟิลลิปแห่งสเปนร่ำไห้ยามเรืออาร์มาดา
อับปาง มีเพียงพระองค์ผู้เดียวหรือที่เสียน้ำตา
เฟรเดอริกที่สองพิชิตสงครามเจ็ดปี ยังมีใคร
อื่นไหมในชัยชนะนั้น
ทุกหน้าแห่งการประกาศชัย
ยังมีใครบ้างคอยปรุงอาหารในงานฉลองชัยแด่ผู้ชนะ
ในทุกทศวรรษที่ก่อเกิดมหาบุรุษ
ใครเล่าคือผู้รับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง
เต็มไปด้วยเสียงร่ำลือ
เต็มไปด้วยคำถาม